ตอนที่ 171 ไม่ควรแต่งงานกับคนแถวบ้าน
เมื่อเห็นจี้เจี้ยนเยี่ยกลับบ้านมาด้วยสภาพเหนื่อยล้าเป็นศพเดินได้ จี้มู่ตานก็ถามขึ้น “ทำไมวันนี้กลับเร็วจังคะ?”
ช่วงนี้เขางานยุ่งมากจนแทบไม่ได้เจอกัน แต่หล่อนก็ไม่มีปัญหา ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องปกติของผู้ชายอนาคตไกล
นอกจากนี้ยังได้เงิน 30 หยวนเป็นประจำทุกเดือน หล่อนเก็บออมไว้โดยไม่ได้ใช้แม้แต่เฟินเดียว จนตอนนี้เก็บได้เกือบ 100 หยวนแล้ว!
ดังนั้นหล่อนจึงสนับสนุนให้สามีออกไปทำงานข้างนอก ส่วนตัวหล่อนจะจัดการงานสวนในบ้านเอง!
จี้เจี้ยนเยี่ยบอกด้วยท่าทางอ่อนแรง “เจี้ยนอวิ๋นให้ผมหยุดพักได้ 2 วันน่ะ” เขาถอนหายใจก่อนเอ่ย “หลายเดือนมานี้ผมเหนื่อยสุด ๆ เลย!”
“เอาอะไรมาเหนื่อยคะ? แค่ขับรถส่งของเอง ไม่ต้องออกไปทำงานตากแดดเสียหน่อย” จี้มู่ตานท้วง “ฉันว่าช่วงนี้คุณอ้วนขึ้นด้วยซ้ำ น้องสามคงเลี้ยงดีใช่ไหมล่ะ?”
จี้เจี้ยนอวิ๋นกับจี้เจี้ยนเยี่ยงานรัดตัว กว่าจะถึงบ้านก็เกือบทุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่จึงมักกินข้าวที่นั่นกัน
ซูตานหงทำอาหารเตรียมไว้หลายอย่าง บางครั้งเขาก็จะได้กินของอร่อยอย่างบะหมี่น้ำเคียงกับอาหารรองท้องอีกหลายอย่าง ซึ่งทั้งหมดรสชาติดีมาก
นึกถึงเรื่องนี้เขาก็นิ่งไป แม้จะงานยุ่งแต่เขาก็ยังได้กินอาหารดี ๆ
อีกทั้งเพราะว่าต้องเทียวไปเทียวกลับส่งผลไม้ตลอด เจี้ยนอวิ๋นจึงมักหามื้ออร่อยกินนอกบ้าน
ตอนที่เข้าไปส่งของในเมืองมหาวิทยาลัย เขาได้ยินว่าบางคนยังได้เงินเดือนไม่ถึง 30 หยวนด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่ได้มากที่สุดก็เพียง 27-28 หยวนเอง
แต่จี้เจี้ยนอวิ๋นกลับให้เงินเดือนทุกคนสูงถึงขนาดนี้
ตอนนี้ยังให้วันหยุดพักอีก เขาจึงคว้าโอกาสไว้อย่างไม่รอช้า
2 วันที่ผ่านมานี้เขาถึงได้พักผ่อนเต็มที่ ส่วนจี้มู่ตานก็ปล่อยให้เขาพักโดยไม่ได้ไปเร่งให้เขาออกไปทำงาน
ซูตานหงเองก็รู้เรื่องที่จี้เจี้ยนเยี่ยได้หยุดพัก แต่เธอก็ปล่อยให้สามีตัดสินใจโดยไม่ได้ไปก้าวก่าย
เธอกำลังจัดการค่าจ้างที่ต้องจ่ายให้คนงาน ครั้งนี้มีการจ้างคนงานชั่วคราวมาช่วยในช่วงฤดูกาลผลไม้ โดยจะจ่ายค่าจ้างทุกครึ่งเดือน จึงยังไม่ต้องลงบัญชีค่าแรงในครึ่งเดือนหลัง
“อวิ๋นอวิ๋นช่วยงานได้บ้างหรือเปล่าครับ? ได้ยินมาว่าน้องกินผลไม้ในสวนทั้งวันเลย” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามขณะพลิกไปเห็นค่าจ้างของน้องสาวที่ลงบัญชีเอาไว้
ตอนเขาเข้าไปที่สวนเมื่อวาน เยียนเอ๋อร์ก็มาฟ้องว่าอาเล็กขี้เกียจและเอาแต่กินผลไม้ไปเรื่อย ไม่ควรได้ค่าจ้างแม้แต่น้อย
จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มก่อนจะเด็ดสาลี่มาหั่นให้เด็กหญิงผู้อายุได้ราว 3-4 ขวบกิน
ขนาดเขายังรู้และเอ่ยเตือนหล่อนไปแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้คงไม่พ้นสายตาภรรยาเขาไปได้
ซูตานหงบอก “ถ้าเป็นเงินแค่เล็กน้อยก็ให้ไปเถอะค่ะ ยังไงหล่อนก็ไม่น่าเลิกนิสัยแบบนี้ได้หรอก”
เธอรู้นิสัยของจี้อวิ๋นอวิ๋นดี ถึงจะอุตส่าห์กลับจากเมืองมหาวิทยาลัยมาช่วยงาน แต่นับจากช่วงเวลาที่เชอร์รี่เริ่มสุกจนถึงตอนนี้ หล่อนก็เอาแต่กินไม่ได้ช่วยอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแต่อย่างใด
เพราะที่นี่เลี้ยงดูคนงานเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่คนที่มาทำงานก็จะตั้งใจทำงานขึ้น
แต่คงไม่ใช่สำหรับน้องสามีคนนี้ที่ยังนิสัยเหมือนเดิมไม่มีผิด
หากแต่เธอก็คร้านจะเจอหน้าอีกฝ่าย ส่วนใหญ่จะไปพบแค่คุณพ่อกับคุณแม่จี้ เพราะช่วงนี้งานในสวนยุ่งมาก ผู้อาวุโสทั้งสองจึงมาช่วยบ่อย ๆ ทำให้จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ทำงานหัวหมุนอยู่กับงานข้างนอกเบาใจได้มาก
ด้านซูตานหงก็คอยเลี้ยงเหรินเหรินกับฉีฉี บางครั้งก็ยังช่วยดูแลเยียนเอ๋อร์ให้ด้วย นอกจากนี้ยังง่วนอยู่กับการทำอาหารสามมื้อ
ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่จี้นั้นก็งานยุ่งกันทั้งคู่
แม้เธอจะไม่ถูกชะตากับจี้อวิ๋นอวิ๋นนัก แต่ก็ไม่ได้คิดจะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับอีกฝ่าย
ผิดกับเยียนเอ๋อร์ที่ดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็ก เด็ก ๆ มักไม่โกหกและไม่รู้จักวิธีรับมือแบบผู้ใหญ่อยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าอาเล็กเอาแต่กินไม่ยอมทำงานก็พูดไปตามนั้น ปกติเธอเป็นคนที่คอยคุมเด็ก ๆ ที่มาช่วยเก็บสตรอเบอรี่จึงเคยชินกันการทำแบบนี้ ดังนั้นต่อให้เป็นคนอื่นเธอก็คงจะพูดเหมือนกัน
หากเยียนเอ๋อร์เป็นลูกของพี่ชายคนอื่น จี้อวิ๋นอวิ๋นก็คงแสดงท่าทางหยาบคายใส่แน่ แต่เพราะเป็นลูกของพี่ชายคนเล็ก ในฐานะที่สนิทสนมกับครอบครัวพ่อของเธอ จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงรู้สึกกับเยียนเอ๋อร์ต่างออกไป
จี้อวิ๋นอวิ๋นจึงไม่ได้ตำหนิเยียนเอ๋อร์ กลับระบายความโกรธลงกับซูตานหงแทน โดยอ้างว่าเด็กหญิงติดนิสัยมาจากซูตานหง
หากแต่ซูตานหงก็ไม่ได้นึกเอามาใส่ใจ
เป็นคุณแม่จี้ที่ทนให้ลูกสาวทำตัวหน้าไม่อายไม่ไหวจนต้องลากอีกฝ่ายมาสั่งสอน หลังจากนั้นจี้อวิ๋นอวิ๋นก็สงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง แต่ก็ยังขี้เกียจตัวเป็นขนและเอาแต่กินเช่นเคย
ชาวบ้านที่มาช่วยงานต่างก็เห็นกันทั่ว อีกทั้งแอบไปนินทาลับหลังไม่ให้พี่ชายหล่อนได้ยินอีก
พี่สามเธอเป็นคนเก่งขนาดนี้จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะ?
บางคนถึงกับคิดว่าใครจะอยากแต่งงานกับผู้หญิงพรรค์นี้กัน
ทันทีที่พูดถึงเรื่องนี้ บางคนก็บอกว่าดูเหมือนอวิ๋นอวิ๋นจะไม่ค่อยถูกกับพี่สะใภ้สามนักหรือเปล่า?
เรื่องนี้ช่างน่าฉงน ต่อให้ไม่ถูกชะตากับพี่สะใภ้คนอื่น ๆ แต่หล่อนก็ไม่น่าจะเป็นกับซูตานหง
ทุกคนต่างรู้กันดีว่าพี่สะใภ้สามของหล่อนเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นมิตร
แม้งานจะยุ่ง แต่เธอก็เอากระดูกและเนื้อมาฝากแม่สามีเพื่อให้เอาไปทำซุปกระดูกบำรุงร่างกายนางเอง
ยังมีอีกหลายเรื่องที่ทุกคนต่างก็เห็นกับตาว่าเธอกตัญญูเพียงไหน
ตั้งแต่ที่เธอแต่งเข้าครอบครัวเจี้ยนอวิ๋น ทั้งคุณพ่อกับคุณแม่จี้ต่างก็ดูอ่อนเยาว์ลงไม่ใช่เหรอ? แม้จะทำงานหนักไปบ้างแต่ก็รู้สึกได้ว่าสุขภาพดีขึ้นมาก
คงเป็นเพราะอาหารการกินอย่างแน่นอน ได้ยินคุณแม่จี้บอกว่าครอบครัวซูตานหงมักจะต้มซุปกินกันในช่วงหน้าหนาว ทั้งนางกับคนในครอบครัวต่างก็ซดซุปอุ่น ๆ บำรุงร่างกายกันไปคนละชามสองชาม
2 ปีที่ผ่านมาคุณแม่จี้ถึงผมดกดำขึ้นมาก ก่อนหน้านี้นางยังดูมีอายุพอ ๆ กับพวกเขา พอมาตอนนี้กลับดูอายุน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
“น้องสามีคงไม่ได้คิดจะแต่งงานกับคนที่นี่หรอกใช่ไหมคะ?” ซูตานหงกล่าวขึ้นเมื่อทำบัญชีเสร็จ
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า
เธอคาดเดาว่าอีกฝ่ายไม่น่าคิดจะแต่งงานกับคนแถวนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่วางท่าเป็นศัตรูกับเธอ และเกียจคร้านเช่นนี้ให้ชาวบ้านเห็นกันไปทั่วหรอก
แม้จะขอให้คุณแม่จี้ช่วยออกหน้าได้ แต่นางก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ ระหว่างลูกสาวกับลูกสะใภ้นางจะเข้าข้างใครกันล่ะ?
“เอาล่ะ คุณอยู่ดูแลฉีฉีนะคะ ฉันจะไปจ่ายค่าจ้างให้คนงานค่ะ” ซูตานหงเอ่ยหลังหยิบเงินออกมา
“ให้คุณแม่ไปก็ได้ครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก
“ช่วงนี้คุณแม่เหนื่อยแล้ว ฉันจะไปจัดการเองค่ะ อีกไม่นานฉีฉีก็คงจะตื่น คุณพาเขาไปฉี่แล้วค่อยให้กินน้ำนะคะ เดี๋ยวฉันกลับมาค่ะ” เธอตอบกลับ ด้วยคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเพราะต้องจ่ายค่าจ้างให้ชาวบ้านจำนวนไม่มากนัก………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รู้สึกภูมิใจในตัวหนูจริง ๆ ค่ะเยียนเอ๋อร์ ขอให้หนูเติบโตมาอย่างดีแบบนี้เรื่อย ๆ นะคะ
หรือว่านี่เป็นแผนดึงพยานดึงแนวร่วมของตานหงกันนะ? ทำตัวไม่ดีใช่ไหม? ก็ให้ชาวบ้านเห็นกันไปเลยว่าใครกันแน่ที่ทำตัวไม่ดี ถึงเวลาก็มีแต่คนรุมด่าอวิ๋นอวิ๋นแทนโดยที่ตัวเองก็นับเงินสวย ๆ ลอยตัวไป สังหารคนโดยที่มือไม่เปื้อนเลือดงี้
ไหหม่า(海馬)