< < 170 > >
ภายในอาณาจักรเนลยอนได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้น บนท้องฟ้ามีหัวใจสีทองอยู่ และทันทีที่มันปรากฏได้ไม่นาน อาณาจักรเนลยอนก็จมลงสู่ความโกลาหล ผู้คนพากันวิ่งหนีไฟและการระเบิดจากเหตุการณ์ประหลาด
ชายชราคนหนึ่งยืนมองหัวใจสีทอง อ้าปากค้าง อ้าตาค้าง ก่อนจะหัวเราะออกมาท่ามกลางการระเบิดพร้อมกันในหลายๆจุด
“..สงคราม?”
พูดจบ ร่างของชายชราก็ได้หายไปพร้อมกับก้อนหินที่ตกลงมา จะมีก็แค่คราบเลือดตรงพื้น
ตำรวจภายในอาณาจักรพากันวิ่งให้ว่อน
“เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!?”
“ทำไมจู่ๆ–หอคอยแปดทิศถึงได้หยุดทำงานกันเล่า!!?”
หอคอยแปดทิศที่คอยปกป้องอาณาจักรจากอันตรายภายนอกได้ถูกหยุดการทำงาน และนั่นก็คือต้นเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ต่างๆนานาเกิดขึ้นได้ภายในอาณาจักร ความวุ่นวายผุดขึ้นอย่างกระทันหันทันทีที่หอคอยใช้งานไม่ได้
บนยอดหอคอยแปดทิศบริเวณริมแม่น้ำ— ‘อามาเทราสึ ฮิโรโตะ’ ผู้นำคนปัจจุบันของตระกูลอามาเทราสึ ได้มองทิวทัศน์ที่เกิดขึ้น และหลั่งน้ำตาออกมา
“อาณาจักรเนลยอนที่น่าสงสาร ..เพราะสายเลือดชั้นต่ำมันเฮิมเกริมมากเกินไป มันจึงต้องลงเอยเช่นนี้” ฮิโรโตะยิ้มออกมา “แต่อย่าได้เสียใจไป ทันทีที่พระอาทิตย์วันถัดไปได้ขึ้นมา ความสงบสุขและความสวยงามจะกลับมาหานายอีกครั้ง อย่างแน่นอน”
ฮิโรโตะให้คำสัญญานี้อย่างจริงใจ เพราะเขาคือชายที่รักอาณาจักรเนลยอนแห่งนี้มากกว่าใครๆ ..มันคือสมบัติชิ้นสุดท้ายที่นายเหนือหัวที่เขาเคราพรักฝากไว้ให้ดูแลต่อ เพราะอย่างนั้นจึงต้องทำให้ทุกอย่างกลับเข้าที่ตามที่ควร
“เป็นทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆนะครับเนี่ย”
“..อะไรกัน ไม่ใช่ว่ามีหน้าที่ที่ต้องทำหรือไงกัน มิสเตอร์เรน”
ฮิโรโตะมองเหยียดใส่เรน ถึงจะร่วมมือกัน แต่เขาเกลียดเรน แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเรนคือภัยพิบัติของโลกที่น่าขยะแขยง ตัวเขาเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน
“น่าๆ ไม่เห็นต้องรีบร้อนไปเลยนี่ งานเลี้ยงพึ่งจะเริ่มต้นเองแท้ๆ”
“งานเลี้ยง? รสนิยมชั้นต่ำจริงๆนะครับ”
“ไม่อยากให้คนขายชาติอย่างคุณมาพูดหรอกนะ ท่านฮิโรโตะ”
“ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยนะ ที่ทำน่ะคือสิ่งที่ควรจะทำที่สุด มันคือการเปลี่ยนแปลงอาณาจักรแห่งนี้ที่กำลังแปดเปื้อนด้วยน้ำมือของพวกชั้นต่ำ แม้ว่าสิ่งที่กำลังทำต่อจากนี้หรือก่อนหน้านี้จะเป็นการหักหลัง แต่แท้จริงแล้ว–มันคือการกอบกู้อาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามที่สุดกลับมา!” ฮิโรโตะอ้าแขนออก รับสายลมที่แสนสดชื่อ และแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยอง “เพื่อการนั้นแล้ว ต่อให้ต้องทำลายมันและสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ฉันก็จะทำมัน!!”
เรนมองฮิโรโตะที่ดูน่าสยองสุดๆ ชายชราที่เอาแต่ดีใจอย่างกับเด็ก โคตรสยอง พอเห็นแบบนี้เรนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“อะไรกันเนี่ย อะไรกันเนี่ย ท่าทางแบบนั้นมันอะไรกันเนี่ย น่าขำชะมัด ไม่ไหวๆ กลั้นขำไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ เฮ้อ! บ้าไปแล้ว ฮิโรโตะคุณมันบ้าสุดๆไปเลย—”
เรนหัวเราะออกมา จับจ้องไปที่ฮิโรโตะ พลางคิดว่า ..คนอย่างฮิโรโตะคือคนแรกที่จะต้องตายเมื่อโลกใบใหม่ได้ถือกำเนิด ว่าแล้วเรนก็กระแอ่มเบาๆพลางทำเสียง “ฟู่ว” ปรับอารมณ์ใหม่
“เรื่องตลกไว้พอหอมปากหอมคอ ทางผมเองก็ต้องไปทำงานของตัวเองซะแล้วสิ”
“เจ้าพวกนั้นเองก็ทำงานเร็วเหมือนกัน ..ไรเดน อาคาสะ น่าเสียดายที่คนๆนี้เองก็แปดเปื้อนไปกับกระแสพวกชั้นต่ำ เป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆที่ต้องสูญเสียบุคลากรชั้นยอดอย่างเขา”
“คนใต้ตีนเอเธอร์พรรค์นั้นจะมีอะไรที่สุดยอดกัน อ๋อ ใช่ อย่างน้อยก็ทักษะเอาตัวรอดกับเล่นเหลี่ยมแหละนะที่ฉันพอยอมรับได้ ในหมู่พวกชั้นต่ำที่ใช้วิธีน่าเกียจ หมอนี่คือที่หนึ่งเลย”
ฮิโรโตะถอนหายใจใส่
“ไรเดน อาคาสะ คือวีรบุรุษของอาณาจักรเนลยอน ทั้งยังเป็นผู้ถือครองสายเลือดที่ถูกต้อง ช่วยระวังปากกับวีรบุรุษคนนี้ด้วย”
“แค่รอดจากเอเธอร์ได้หน่อยก็แต่งตั้งตัวเองไว้ซะสูงเกินความเป็นจริง ผมละเหลือจะเชื่อเลยนะ”
“นี่แก”
เรนทำเมินเสียงเรียกของฮิโรโตะ เขาเดินไปอยู่ที่ปลายหอคอยแปดทิศ
“ถ้านั้นไว้เจอกันหลังงานเลี้ยงจบ”
เรนกระโดดลงไป ฮิโรโตะมองส่งอยู่พักหนึ่งและหันกลับไปมองข้างหลัง ทะเลเองก็ ..เต็มไปด้วยกองเรือจู่โจมของเรน เช่นเดียวกัน ทหารเรือก็ส่งกองเรือมากมายออกไปรับมือ
“ต่อจากการเปลี่ยนแปลงอาณาจักรเนลยอนก็คือการกำจัดแกนั่นแหละนะ ..ไอ้ตัวประหลาดที่ร่วมมือกับพวกจอมมาร ไม่ควรอยู่บนโลกนี้”
..
ฟึบ!
แสงสีขาวได้เปล่งขึ้นบนอากาศ มันคือแสงทรงกลมที่กำลังฉายภาพรัฐมนตรีแห่งเนลยอน ‘ทานากะ ฮิโรชิ’
“แล้วก็คุณด้วยละนะ ทานากะ ฮิโรชิ”
****
เกิดการต่อสู้หลายจุด ทั้งในอาณาจักรและนอกอาณาจักร ขณะเดียวกัน—
“ไม่ได้พบกันนานนะครับ ไรเดน อาคาสะ”
“ภัยพิบัติของโลก ในที่สุดก็ได้เจอตัวเสียที”
สองฟากของตัวเมือง บริเวณที่มีสายน้ำตัดผ่าน อีกฝั่งที่ตัวบ้านหรือสิ่งก่อสร้างยังมีสภาพที่ดี และอีกฝั่งที่ทุกอย่างถูกทำลายจนเหลือแต่ซาก
ราชาดาบมาร ‘ไรเดน อาคาสะ’
สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม บุตรีแห่งตระกูลเท็งงุ ‘เท็งงุ เบ็นจิโร่’
เทพแห่งธรรมชาติ ‘อานิม่า’ และ เด็กหนุ่มผู้ถือครองดวงตามหาปราชญ์ ‘เคียวยะ’ ยืนอยู่ฝั่งที่เต็มไปด้วยซาก
กลับกัน
ภัยพิบัติแห่งโลก ‘เรน’
มือขวาของภัยพิบัติ ‘อลิซาเบธ’
สามมหามังกรเทียม ‘สโนว์’ มหามังกรน้ำแข็ง ‘ปีเตอร์’ มหามังกรสายฟ้า และสุดท้าย มหามังกรแสงและความมืด ‘เมอัน’ พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ในฝั่งที่ตัวเมืองเต็มไปด้วยความสวยงาม หากแต่ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใดๆนอกจากพวกเขา
“อย่างไรก็ช่าง ทางนายเหมือนว่าจะมีของน่าสนใจติดมาด้วยนะ”
เรนส่งสายตามาทางอานิม่า
“ให้เดา เรเซอร์ ดราแคล์ คงเป็นคนพาท่านๆนี้มาสินะ ให้ตายสิ หมอนั่นเป็นตัวสร้างปัญหาซะเหลือเกิน”
“เรน ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุย”
“..นั่นสินะ—”
ไรเดน อาคาสะ พุ่งเข้าใส่ด้วยความรวดเร็ว สามมหามังกรเทียมยกมือขึ้นมาและปล่อยพลังเข้าใส่—เบ็นจิโร่กระโดดถอยหลังพร้อมกับยิงธนูออกไปราวสามดอก
ลูกธนูอากาศสามดอกได้เข้าไปหักล้างความเสียหายกับการโจมตีของมหามังกรเทียม ไรเดน อาคาสะ หลุดเดี่ยวเข้าไปหาเรน ทว่าอลิซาเบธก็โผล่มาพร้อมกับเคียวแห่งการช่วงชิง อำนาจแห่งทวยเทพ ‘บาคุนาว่า(เทพแห่งการสูญสิ้น)’
เคียวเข้าไปเกี่ยวดาบ และเหวี่ยงการโจมตีของไรเดนทิ้ง ทว่าไรเดนก็ยังไม่หยุดการจู่โจม–เขาปล่อยมือจากดาบ และใช้หมัดขยี้เข้าที่หน้าของอลิซาเบธ ก่อนจะพุ่งตัวไปคว้าดาบและฟาดเข้าใส่เรนอย่างต่อเนื่อง
เรนเข้าปะทะกับไรเดน การปะทะของทั้งสองส่งผลให้สายน้ำที่ตัดผ่านได้แห้งอย่างฉับพลับ–ร่างของทั้งสองดีดออกจากกันจากแรงปะทะ
“คุณน่ะต่างกับเอเธอร์ คุณน่ะคือมนุษย์ เพราะอย่างนั้น–จึงง่ายที่จะรับมือหากเตรียมตัวมาให้ดี”
เรนสะบัดมือที่มีเลือดไหลออกมาของตัวเอง และหรี่ตามองหน้าท้องของไรเดนที่มีรอยเกาะแตกเผยให้เห็นเสื้อรองแขนยาวสีดำซึ่งฉีกขาด และแผยให้เห็นรอยแผลบนหน้าท้อง
“ไรเดน อาคาสะ ..คุณจะต้องตายที่อาณาจักรเนลยอนที่คุณรักนักรักหนา เป็นจุดจบที่ไม่เลวเลยใช่มั้ย?”
****
เพลิงจากสงคราม รอยเลือดของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ของผู้เคราะร้ายผุดขึ้นมากมายตามเวลาที่ล่วงเลยไปเรื่อยๆท่ามกลางความโกลาหล ณ ที่แห่งนี้ ‘วิน’ อาวุธสงครามเพื่อวันๆนี้ได้เดินผ่านซากปรักหักพัง รวมถึงซากศพของผู้คนมากมาย เธอเดินผ่านชีวิตที่ดับไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ แต่ยังคงปั้นซึ่งรอยยิ้มไว้
แน่นอนว่ารอยยิ้มนี้ของเธอ เป็นรอยยิ้มของจอมเสแสร้ง
ผ่านชีวิตนับร้อยที่ดับไป ผ่านอนาคตนับพันที่ดับลง วินได้มาหยุดอยู่ที่ซากดินซึ่งทับร่างๆคนหนึ่งอยู่
หญิงสาวธรรมดาๆที่คอยดูแลเด็กๆในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทั้งยังเป็น ..
“…”
‘เอมิ’ ถูกหินทับ ดวงตาของเธอยังเปิด สภาพที่เห็นคือเธอที่พยายามจะยื่นมือออกมาจากหิน แต่ก็ทำได้แค่มือ นอกจากมือและหัวแล้ว ร่างกายของเธอคง ..ชีวิตมากมายที่ดับไป ไม่อาจเทียบได้กับชีวิตของเธอคนนี้ที่วินรู้จักกันดี
“อุตส่าห์ให้อยู่ในจุดที่ปลอดภัยที่สุดแล้วแท้ๆเชียวนะ ซวยจริงๆนะ”
วินก้มตัวลงตั้งใจจะสัมผัสที่คอของเอมิ แต่ก็หยุดมือก่อนเมื่อเห็นร่างของเธอที่ถูกหินทับ
“แบบนี้นี่เอง ไม่ใช่ดิ้นรนแต่หนีไม่พ้น แต่โดนทับและตายไปในทันทีสินะ ..ตายได้ย่ำแย่ที่สุดเลยนะ”
วินผละร่างออกจากเอมิ เธอคาดหวังว่าจะยังมีทางรักษาอยู่ แต่ทันทีที่เห็นสภาพก็ทำให้รู้เลยว่า ..เอมิตายไปแล้วอย่างแน่นอน
“ขอโทษนะ”
เธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการถล่มอาณาจักรเนลยอน ..เป็นผู้ร้ายที่คร่าชีวิตของผู้คนมากมาย รวมถึงชีวิตของเอมิที่แบกรับชีวิตของเด็กๆหลายสิบคนเอาไว้ และเธอคนที่มีส่วนสำคัญกับชีวิตอื่นมากมายขนาดนั้นกลับต้องตายลงเยี่ยงนี้
“ไว้เจอกันนะ เอมิ”
พูดจบ วินก็เดินไปต่อด้วยสีหน้าที่ ‘พยายาม’ ซ่อนความรู้สึกเอาไว้
****
สงคราม ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะจำเป็นหรือไม่จำเป็น มันก็คือเรื่องราวที่น่ารังเกียจเสมอ ไม่มีเหตุผลดีๆให้สำหรับการที่คนเราต่างเข่นฆ่ากันเอง และไม่ควรมีอย่างถึงที่สุด ถ้าหากว่ามันคือวัฐจักรของชีวิตที่จะต้องอยู่ในห่วงโซ่อาหารก็คิดว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก แต่ว่า–การแย่งชิงอำนาจบนกองศพนับพันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย
และน่าเศร้า ตัวผมที่เอาแต่บ่นก็ไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากต่อสู้แย่งชิงในสิ่งที่ต้องการบนซากศพของผู้คน
ไม่ได้ต่างจากคนอื่น แม้จะบอกว่าไม่ชอบสงคราม แต่ก็เข้าร่วมสงครามเพื่อบางสิ่ง ก็จริงถ้าหากไม่เข้าร่วมก็คงได้ แต่นั่นเป็นอุดมคติที่สวยงามเกินไปหน่อย เหมือนกับที่เกริ่นเอาไว้ ..ที่กำลังทำตอนนี้ ไม่อาจมองว่าเป็นเรื่องที่ดีได้เต็มร้อย
ผมมองจอมอนิเตอร์ที่ฉายภาพของ ทานากะ ฮิโรชิ ผู้ที่รู้ว่าการสูญเสียจะเกิดขึ้นในวันนี้ แต่ก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น เพื่อที่จะรวบหัวผู้ร้ายในอาณาจักรทั้งหมดมาประหารให้จบๆกัน
‘สถานการณ์ฉุกเฉิน’ ที่ถูกสลักเอาไว้ข้างๆฮิโรชิ แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน ก็แค่เรื่องที่หมอนั่นและคนอื่นๆเลือกจะปล่อยผ่านเพื่ออนาคตที่ดียิ่งกว่าเดิม
หากรู้ว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นก็สามารถหยุดได้อยู่แล้ว แต่มันก็เป็นเพียงการยืดเวลาออกไป พวกเขาจึงตัดสินใจให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ และวางแผนเก็บกวาดแทน
ตัวผมให้ความช่วยเหลือพวกเขาที่เลือกอนาคตต่อจากนี้ มากกว่าอนาคตไม่รู้กี่อนาคตที่ต้องดับไป ทั้งตาย หรือว่าสูญเสียบ้านและทรักสินย์ อย่างไรก็ตาม ต่อให้ไม่ใช่ชีวิต หลังสงคราม ชีวิตคนเราก็จบได้ไม่ต่างกัน
“..พักนี้ รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีเยอะเลยแฮะ”
ไม่ใช่โดยตรง แต่แค่โดยอ้อม ผมก็ควรแบกรับบาปทั้งหมดเอาไว้ ..ถ้าเกิดต้องตกนรกจากสิ่งที่ทำ ก็ขอยอมลงไปโดยไม่ขัดขืนเลยละ
นรกในที่นี้หมายถึงสถานที่ที่คนเราต้องไปชดใช้บาปกรรมแหละนะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่น่ามีอยู่จริงในความคิดของผม ..
“บังเอิญรึเปล่านะ?”
เสียงของแฟนสาวชั่วคราวดังขึ้นจากข้างล่าง บนหลังคาบ้านที่ผมนั่งอยู่ วินยืนโบกมือทักทายผมด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กี่วันก่อน ฉันติดต่อไม่ได้เลยนะ”
“งานยุ่งน่ะ”
คงจะอย่างนั้น ทำซะอลังการณ์ทีเดียวเชียว
ผมยิ้มให้วินกลับ และกระโดดลงจากหลังคา
“เอาเป็นว่า อรุณสวัสดิ์ละกัน”
“อือ ..เมื่อกี้ เจอเอมิที่ตายไปแล้วด้วยละ”
“นั้นเหรอ”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน? เกือบจะถามไปอย่างนั้นแต่ก็ยั้งตัวเองได้ทัน
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน บอกมาทางสีหน้าหมดเลยนะ”
“จริงเหรอ?”
ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยสินะ–
“ไม่หรอก แค่พูดมั่วๆเอา แต่ดันจริงซะงั้น ใจร้ายจริงๆนะคุณแฟนเนี่ย”
อะไรละนั่น?
ระหว่างที่พูดตอบโต้กันแบบติดตลก แต่น้ำเสียงของเธอและของผมกลับไม่มีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย
“แค่บอกให้รู้เฉยๆน่ะ ถึงเรื่องไม่ดีที่ฉันมีส่วนร่วม”
มีส่วนสำคัญในการทำให้คนหนึ่งคนที่แบกรับชีวิตกว่าสิบไว้ตาย ทั้งคนๆนั้นยังเป็นเพื่อนของตัวเองอีก ดูเลวสุดขั้วเลย
“เรเซอร์”
“ว่าไง”
“ถ้านรกมีจริง ฉันคงจะตกนรก น่าเสียดายเนอะที่ต่อให้ตายไป ฉันกับนายก็คงไม่ได้เจอกัน”
….
ทุกชีวิตล้วนเกิดมาเพื่อดำเนินไปตามวัฐจักร นั่นคือกฏพื้นฐานที่แม้แต่ทวยเทพก็หนีไม่พ้น การฆ่าฟัน การถูกช่วงชิง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะผิดหรือถูก ไม่ว่าสิงโตจะกินกวาง หรือมนุษย์จะกินหมู แต่ทุกอย่างมันก็เหมือนเดิม มันคือวัฐจักร คงไม่มีทางตกนรกหรอก แต่ถ้าเกิดเป็นการทำเพื่อตัวเองโดยที่มันไม่ใช่วัฐจักรล่ะ? อาทิเช่นการระเบิดอาณาจักรที่มีคนอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้คนจำนวนมากที่ว่าตายไปหลายชีวิต อย่างนี้จะเรียกว่าวัฐจักรได้อีกหรือ?
ผมถอนหายใจเฮือกโต ชำเลืองมองพื้นที่โดยรอบที่เต็มไปด้วยการสูญเสีย
“ถ้านรกมีจริง พวกเราคงจะได้เจอกัน”
“อย่างเรเซอร์เนี่ยนะจะตกนรก”
มองผมในแง่ดีเหลือเกิน
“แต่ว่า–ถ้าเพื่อสิ่งที่ฉันต้องการในตอนมีชีวิตแล้ว ต่อให้ต้องตกนรกหลังตายไปก็ไม่มีปัญหา ..แน่นอน ว่าตอนนี้ฉันและเธอก็ยังไม่ถึงเวลาตกนรก ยังมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ จะเห็นแก่ตัว จะทำเลวแค่ไหนก็ได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่ตกนรกหรอกตอนนี้”
เพราะอย่างนั้น ..ผมยื่นมือไปให้วิน
“เก็บไว้เศร้าเสียใจหลังจากตกนรกไปแล้วดีกว่า ตอนนี้ต่างคนก็ต่างทำความปารถนาของตัวเองให้เป็นจริง–บนซากศพที่เป็นตราบาปของพวกเรา”
“เข้าใจแล้ว เอาอย่างนั้นดีกว่า”
ผมกับวินหันหลังให้กันและเดินออกไปราวยี่สิบเก้าก่อนหยุด และหันหน้ากลับมาหากัน
พวกเราจะต้องสู้กันจนถึงตาย และคนที่ตายคนนั้น ..
“ฝากส่งข้อความมาบอกด้วยละ ว่านรกหน้าตาเป็นยังไง”
“ไปเห็นด้วยตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ? คุณแฟน”
ในท้ายที่สุด ผมก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่านรก นรกคืออะไรกันแน่? ตามที่ผมเข้าใจจากการพูดคุยกับอานิม่า นรกคือพื้นที่ที่ว่างเปล่า ตัวตนของเรา แก่นแท้ของเราจะหลุดออกจากวัฐจักรโลก จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นแม้แต่ก้อนพลังขับเคลื่อนโลกยังไม่ได้ด้วยซ้ำ นั่นคือนรกที่แท้จริง แต่ว่านรกตามความเข้าใจของผมกับวินมันเป็นยังไงกัน ต่อให้ตายก็คงไม่พบหรอก เพราะนรกในจิตใจ มันอยู่ในจิตใจของพวกเรามาตั้งนานแล้ว ผมพึ่งได้ข้อสรุปนั้นหลังจากที่เห็นภาพตัวเองต่อจากนี้ในอีกไม่กี่นาที
เสียใจที่ได้กระทำบางอย่างลงไป แต่ก็ยังทำสิ่งที่ไม่อยากทำต่อไป ..นั่นต่างหากคือนรกที่แท้จริง
ถ้าหากลงมือฆ่าวินแล้ว หลังจากนั้นผมคงจะได้เยือนนรกที่ว่านั่น
เปลวเพลิงพุ่งเข้าใส่ ไสยศาสตร์เปิดใช้งาน ทั้งสองหักล้างกัน ตามมาด้วยกระแลกหมัดที่ทำให้บ้านโดยรอบปลิวไปกับลมกรรโชก
ใบหน้าของวินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พอเห็นอย่างนั้นผมก็มีแต่ต้องปั้นยิ้มตามเท่านั้น
ป.ล.ทีแรกผมตั้งใจจะเขียนบทพิเศษชิลๆเนื่องในโอกาสวัน คริสต์มาส แต่พอเขียนตอนนี้จบไม่มีอารมณ์เลยครับ (ฮา)