เมื่อได้พบกับซ่งเหอ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เล่าบทสนทนาคร่าวๆ ระหว่างทีมตัวเองกับหานวั่งฮั่วให้ฟัง
หลังจากซ่งเหอได้ฟังจนจบก็ถอนหายใจ
“ในสายตาของผม เขานับเป็นมนุษย์ที่แท้จริงคนหนึ่ง
“น่าเสียดาย…”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้ว่าเขาเสียดายเรื่องอะไรกันแน่ ระหว่างเรื่องที่หานวั่งฮั่วตัดสินใจจากไป หรือว่าเสียดายที่ตัวเองไม่กล้าเดินไปข้างหน้าอีกก้าว ไม่กล้าขึ้นมาเป็นมุขนายก จึงไม่สามารถให้คำสัญญาที่หนักแน่นเพื่อยื้อให้หานวั่งฮั่วยังคงรั้งอยู่ที่นี่ ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ
หลังจากซ่งเหอทอดถอนใจเสร็จก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มให้
“มิน่าล่ะ ตอนที่ผมขอให้หานวั่งฮั่วหาผู้หญิงสักคนในชุมชนศิลาแดงมาร่วมชีวิต เขาถึงได้ยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ต้องการ บอกว่าเขาเป็นนายอำเภอก็เลยล่วงเกินคนเอาไว้มากมาย อาจทำให้ภรรยาเป็นอันตรายได้ ให้รอเอาไว้จนกว่าจะก่อตั้งยามเมืองขึ้นมาได้อย่างแท้จริง ก่อตั้งกฎระเบียบข้อบังคับที่ทำให้ทุกคนยินยอมพร้อมใจปฏิบัติตาม เก็บออมได้มีฐานะมากพอ ก็จะลาออกจากตำแหน่งนายอำเภอแล้วค่อยคิดเรื่องนี้”
เห็นได้ชัดว่าหานวั่งฮั่วกลัวว่าถูกคนใกล้ชิดพบเห็นเกล็ดบนร่าง ดังนั้นจึงยังไม่ปรารถนาจะแต่งงาน
“คนโกหก!” ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยความสะเทือนอารมณ์
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าทำไมซางเจี้ยนเย่าจึงพูดเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะอุดมคติก่อนหน้านี้ของหานวั่งฮั่วคือ ‘ความมั่นคงไม่เกิด บ้านเรือนไม่อาจสงบสุข’ จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่านับเขาเป็นสหายสนิท
แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นการคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อคิดเช่นนี้แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดปลอบใจเขาประโยคหนึ่ง
“อย่างน้อยในฐานะนายอำเภอและหัวหน้ายามเมือง หานวั่งฮั่วก็จริงจังและพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชุมชนศิลาแดง”
ตอนนี้หลงเยว่หงก็พลันคิดถึงคำถามเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“งั้นทำไมก่อนที่เขาจะมาชุมชนศิลาแดง ถึงไม่หามนุษย์ชั้นรองสักคนมาแต่งงานด้วยล่ะ บนแดนธุลีแบบนี้ถ้ามีสองคนคอยช่วยเหลือกันก็ดีกว่าอยู่ตัวคนเดียว”
ถ้าเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมด้วย
ขณะที่คนอื่นกำลังครุ่นคิดคำตอบ ไป๋เฉินก็พูดเสียงเรียบๆ ออกมาประโยคหนึ่ง
“เขาอาจจะไม่เห็นมนุษย์ชั้นรองคนอื่นอยู่ในสายตาก็ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนตะลึงไปชั่วขณะแล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
“นั่นสินะ”
ถึงแม้หานวั่งฮั่วจะเป็นมนุษย์ชั้นรองคนหนึ่ง แต่ในใจเขามักจะถือว่าตัวเองนั้นเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดความรู้สึกดูแคลนมนุษย์ชั้นรองคนอื่น อย่างมากสุดก็มีให้เพียงแค่ความเห็นอกเห็นใจ ความเป็นมิตร และความเข้าใจ แต่หากจะให้แต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันก็เลิกพูดได้เลย
ถ้าว่ากันตามความรู้สึกแล้วเขาก็เป็นคนเหยียดเชื้อชาติประเภทหนึ่ง เพียงแค่ว่ายืนอยู่ฝั่งมนุษย์ ในขณะที่ยังคงมีเมตตาจิตตามธรรมชาติต่อเชื้อชาติอื่นๆ
หลงเยว่หงคิดถึงรูปลักษณ์ของพวกมนุษมัจฉา จากนั้นก็ลองคิดว่าตัวเองเป็นหานวั่งฮั่ว
หากให้เขาหาหญิงสาวชาวมนุษย์มัจฉามาตกแต่งเป็นภรรยา เขาก็รู้สึกว่าขอยอมอยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่า
ส่วนปีศาจภูเขานั่น แค่ให้ยอมรับก็แทบแย่แล้ว มากสุดก็แค่ไม่ต้องจูบก็ถือว่าดีมากแล้ว
ซ่งเหอเห็นว่าหัวข้อสนทนานั้นยิ่งทีก็ยิ่งออกทะเลไปไกล จึงรีบดึงกลับมาให้เข้าเรื่องทันที
“ดังนั้นข้อสรุปของพวกคุณก็คือหานวั่งฮั่วไม่ได้ขายข้อมูลให้กับพวกพันธมิตรมนุษย์ชั้นรองสินะ”
“เป็นข้อสรุปเบื้องต้นตอนนี้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยืนยันฟันธง “ฉันบอกได้แค่เพียงว่าจากสถานการณ์ในปัจจุบัน เมื่อดูจากแรงจูงใจและจุดยืนแล้ว หานวั่งฮั่วไม่มีเหตุผลที่จะทรยศชุมชนศิลาแดง แต่ถ้าการสืบสวนมีความคืบหน้าก็จะได้รับเบาะแสเพิ่มเติมอีกมาก เมื่อถึงตอนนั้น คำตอบก็ไม่แน่ว่าจะต้องเหมือนเดิม”
เมื่อพูดเช่นนี้ก็เท่ากับไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ซ่งเหอได้ฟังแล้วก็ตะลึงไป
เขาครุ่นคิดอยู่อึดใจแล้วก็ยิ้มออกมาทันที
“ผมก็ว่าอยู่ว่าทำไมมันฟังคุ้นหูเหลือเกิน ที่แท้ตอนที่ผมไปรายงานให้สำนักงานใหญ่ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน
“พวกคุณ ดูท่าแล้วก็คงมาจากกองกำลังใหญ่เหมือนกันสินะ…”
มีเพียงกองกำลังที่มีการจัดระเบียบภายในที่ดีและมีขนาดกำลังพลในระดับหนึ่งขึ้นไปเท่านั้นถึงจะสามารถใช้ ‘รูปแบบอย่างเป็นทางการ’ ชนิดนี้ออกมาได้
เจี่ยงไป๋เหมียนคาดไม่ถึงว่าเพียงคำพูดเล็กน้อยแค่นี้กลับถูกเปิดโปงภูมิหลังออกมาได้บางส่วน ทำได้เพียงแค่หัวเราะแห้งๆ ออกมาสองครั้ง
“เป็นนักล่าซากอารยะ เวลาเจอกับลูกค้าที่มีภูมิหลังก็ต้องระวังตัวไว้สักหน่อยน่ะ”
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยแลกเปลี่ยนกันไปสองสามประโยคเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ก็เป็นอันรู้กันโดยไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าจะจำกัดการเคลื่อนไหวของหานวั่งฮั่วหรือไม่ ราวกับอีกฝ่ายนั้นคลายข้อกังขาเรื่องนี้ไปแล้ว
“ผมจะกลับไปคุยกับหานวั่งฮั่วอีกที ดูว่าพอจะทำให้เขาเปลี่ยนใจ ไม่ไปจากที่นี่ได้ไหม” สุดท้ายซ่งเหอก็แสดงทัศนคติของตนเองออกมา
ถ้าคุณไม่ใช้พลัง ‘ทำให้เป็นมิตร’ ก็คงไม่มีหวังหรอก… เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วก็พูดต่อ
“ผู้แจ้งเตือนซ่ง พวกเรามีผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งอยู่ในใจ อยากจะยื่นคำร้องเพื่อติดต่อพวกเขาจะได้ไหม”
“ยื่นคำร้อง…” ซ่งเหอครุ่นคิดอยู่อึดใจแล้วเอ่ยปากถามขึ้น “คนจาก ‘นาวาบาดาล’ นะเหรอ”
หัวไวดีนี่ เปี่ยมไปด้วยปัญญาสมกับที่ใช้ชีวิตมานานขนาดนี้… เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถูกต้อง ถ้าสามารถติดต่อกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ได้โดยตรงก็ยิ่งดี”
ซ่งเหอพูดอย่างลังเล
“สถานภาพของ ‘นาวาบาดาล’ ในโบสถ์ถือได้ว่าค่อนข้างสูง ผมบังคับพวกเขาไม่ได้”
“อืม ผมจะพยายามเชิญพ่อบ้านของมิสเตอร์ดิมาร์โก้มาที่โบสถ์แล้วลองคุยดูก่อน ถ้าพบว่ามีปัญหา จะรีบแจ้งไปที่สำนักงานใหญ่”
“ต้องให้พวกเราช่วยอะไรไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกกระตือรือร้นที่จะลองดู
ซ่งเหอเหลือบมองพวกเขาด้วยความสงสัย
“ตอนนี้ยังไม่ต้องหรอก
“พวกคุณรอที่นี่ก่อนก็แล้วกัน”
ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ก็คือทางเดินด้านหลังห้องโถง มีห้องนั่งเล่นเล็กๆ ที่มีชุดโซฟา โต๊ะวางถ้วยน้ำชา และเก้าอี้
ผนังของที่นี่ยังคงเป็นสีแดงกับสีทอง
หลังจากมองดูผู้แจ้งเตือนซ่งเดินออกไปแล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนใจ “เฮ้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“น่าเสียดายชะมัด ฉันไม่ควรพูดเรื่องนี้เลย น่าจะไปที่หน้าลิฟต์ที่ลงไปชั้นใต้ดินแล้วก็ติดต่อคนของ ‘นาวาบาดาล’ เอง
“ประหารก่อนแล้วค่อยกราบทูล!”
ขอเพียงแค่มีโอกาสพูดคุยแบบไม่ต้องผ่านวิดีโอ ก็สรรหาวิธีสืบสวนได้สารพัดอย่างล่ะ
หลังจากที่ทดลองมาหลายครั้ง ซางเจี้ยนเย่าก็ยืนยันได้ว่า ‘ตัวตลกชักจูง’ ไม่สามารถส่งอิทธิพลผ่านผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อนเกินไปเพื่อขยายระยะขอบเขตของพลัง ในตอนนี้มีเพียงแค่โทรโข่งเท่านั้นที่สามารถใช้ได้
“นั่นสิ” ซางเจี้ยนเย่าแสดงท่าทีว่าตนเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
ไป๋เฉินเหลือบมองพวกเขาแต่ละคนแล้วเอ่ยปากเตือน
“ความตั้งใจเดิมที่ทำเรื่องนี้ก็เพราะต้องการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับนิกายตื่นตัวไว้ไม่ใช่หรือไง”
เมื่อคิดถึง ‘การเฝ้ามองจากหลังประตู’ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ผงกศีรษะด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วย ‘ความเจ็บปวด’
“เมื่อต้องเผชิญหน้ากับนิกายระดับนี้ จะเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้”
โชคดีที่เธอสวมหน้ากากอยู่ จึงไม่มีใครมองเห็นสีหน้าว่าเป็นเช่นไร
“แต่คุณจัดการ ‘บาทหลวง’ ตัวปลอมได้นี่นา” ซางเจี้ยนเย่าชี้ออกมาให้เห็น
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะ
“นิกายทอนปัญญาจะไปเหมือนกับนิกายตื่นตัวได้ยังไง”
อย่างน้อย ‘ปัจฉิมมรรตัย’ ก็ไม่ได้ชอบ ‘เฝ้ามอง’ อาณาเขตของตัวเองเหมือน ‘ธชียมโลก’
และนอกจากนั้นก็คือ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ไม่เคยบุกเข้าไปถึงโบสถ์อย่างเป็นทางการของนิกายทอนปัญญาด้วย
พูดคุยสรวลเสเฮฮากันไปครู่ใหญ่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ช่องระบายอากาศในห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก
“ฉันเจอตัวนายแล้ว!” ซางเจี้ยนเย่าพลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที พลางตะโกนเสียงดัง
เพียงไม่นาน ตะแกรงตาข่ายของช่องระบายอากาศก็ถูกถอดออก วีลยื่นใบหน้าที่มีกระเล็กน้อยของเขาออกมามองดูด้วยดวงตาสีเขียว
“พวกคุณกำลังสืบสวนเรื่อง ‘นาวาบาดาล’ ใช่ไหม ผมได้ยินผู้แจ้งเตือนซ่งกำลังติดต่อกับพ่อบ้านของดิมาร์โก้”
เจี่ยงไป๋เหมียนคลี่ยิ้มออกมาแล้วตอบ
“อย่าบอกนะว่าเธอมีข้อมูลจะขายให้เราน่ะ”
วีลแสดงรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์
“แค่พวกคุณเอ่ยปากขอร้อง ผมก็ยอมบอกแล้วล่ะ”
เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็พลันดีดตัวขึ้นมาแล้วรีบวิ่งเข้าไปทันที
จากนั้นเขาก็ใช้เก้าอี้กระโดดขึ้นไปคว้าแผ่นกั้นทั้งสองด้านของช่องระบายอากาศ
นี่ทำให้วีลตกใจกลัวจนหดตัวกลับเข้าไปแล้วถอยออกไปเสียไกล
เขาถามด้วยน้ำเสียงตระหนกระคนหงุดหงิด
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าเงยหน้าขึ้นแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“จับเธอมัดไว้ แล้วค่อยขอร้อง”
“…” วีลขมวดคิ้วให้กับคนผู้นี้ ไม่เข้าใจว่านี่มันตรรกะแบบไหนกันแน่
พวกเจี่ยงไป๋เหมียนเห็นการตอบโต้ของทั้งสองก็ไม่ได้มีความคิดจะเข้าไปห้ามแม้แต่น้อย ราวกับมีความสุขที่ได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
วีลรีบถอยกรูดไปจนเกือบจะถึงทางแยกก่อนที่จะหยุดลง
เขามองไปที่ปากช่องระบายอากาศซึ่งมีแสงลอดมา ลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดเสียงดัง
“ตอนที่พวกยามของ ‘นาวาบาดาล’ คุยกัน เขาพูดเรื่องหนึ่งออกมา
“ดิมาร์โก้เป็นคนที่โหดร้ายมาก ไม่ว่าคนรับใช้จะทำผิดเรื่องอะไร ถ้าเขารู้หรือเจอเข้าละก็ จะต้องรับโทษตายทันที และบางครั้งที่เขาอารมณ์ไม่ดี ต่อให้ไม่ได้ทำผิดก็ยังถูกฆ่าอีกเหมือนกัน”
เมื่อได้ยินข้อมูลนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ปัญหาก่อนหน้านี้ถูกไขกระจ่างแล้ว นั่นก็คือ…
ทำไม ‘นาวาบาดาล’ ถึงต้องซื้อและฝึกคนรับใช้อยู่เป็นระยะ
เมื่อพิจารณาจากขนาดของ ‘นาวาใต้ดิน’ การรับคนรับใช้เข้ามาใหม่ทุกๆ แปดปีสิบปีก็นับได้ว่าเพียงพอแล้ว
เป็นเพราะความโหดร้ายของดิมาร์โก้ อัตราการสูญเสียคนรับใช้จึงอยู่ในระดับที่ทำให้ผู้คนตระหนก ทำให้ต้องเติมเข้ามาใหม่อยู่เป็นประจำ… ความคิดของเจี่ยงไป๋เหมียนวิ่งพล่าน พลางส่งสัญญาณให้ซางเจี้ยนเย่าลงมา
จากนั้นเธอก็ถามเข้าไปในช่องระบายอากาศ
“แล้วศพของคนรับใช้ที่ตายไปล่ะ”
ศพจำนวนมากมายขนาดนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บเอาไว้ในห้องเย็นของ ‘นาวาบาดาล’ ใช่ไหมล่ะ
เสียงวีลดังก้องอยู่ในช่องระบายอากาศ
“‘นาวาบาดาล’ ยังมีทางออกอีกทางอยู่ที่ด้านข้างเทือกเขา พวกซากศพดูเหมือนว่าจะถูกฝังอยู่ที่นั่น”
ยังมีทางออกอีกทางหนึ่งก็แปลว่ายังมีทางเข้าอีกทางหนึ่ง… เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังจะถามต่อแต่วีลก็ตะโกนขึ้นมาเสียก่อน
“ผมรู้แค่นี้แหละ นี่ผมยอมให้พวกคุณเอาเปรียบแล้วนะ!”
เสียงเขาค่อยๆ จางหายไป ราวกับเขาใช้ช่องระบายอากาศเคลื่อนย้ายไปที่อื่นแล้ว
‘ทีมสำรวจเก่า’ หันมาสบตากัน หลังจากที่รออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดผู้แจ้งเตือนซ่งเหอก็กลับมา
สีหน้าซ่งเหอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไรนัก เขาพูดขึ้น
“ผมได้สัมภาษณ์พ่อบ้านทั้งสามคนของมิสเตอร์ดิมาร์โก้แล้วล่ะ ยืนยันในเบื้องต้นได้ว่าพวกเขาไม่ได้เปิดเผยเรื่องมุขนายกเรนาโต้ให้พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขา
“ตลอดทั้ง ‘นาวาบาดาล’ แห่งนี้ นอกจากพวกเขาทั้งสามคนแล้วก็มีเพียงมิสเตอร์ดิมาร์โก้เท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ส่วนมิสเตอร์ดิมาร์โก้จะบอกคนอื่นหรือเปล่านั้น พวกเขาเองก็ไม่รู้”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างครุ่นคิด
“ถ้าจะขอพูดคุยกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ผ่านทางวิดีโอคอล พอจะเป็นไปได้ไหม”
“ไม่ได้” ซ่งเหอสั่นศีรษะ “นอกเสียจากว่ามุขนายกคนใหม่จะเดินทางมาถึง”
นี่ทำให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ค่อนข้างผิดหวัง ได้แต่เบนเข็มไปสืบสวนคนอื่นในรายชื่อเท่านั้น
เมื่อถึงเที่ยงวันพวกเขาก็กลับไปยังย่านที่พัก แล้วปรุงอาหารด้วยผักที่ซื้อมา
ตอนที่พวกเขากำลังง่วนกันอยู่นั้น เลห์แมน พ่อค้าอาวุธเถื่อนจาก ‘ยูไนเต็ดอินดัสทรีส์’ ก็แวะมาหาพวกเขาอีกครั้ง
พ่อค้าจมูกขี้เหล้าที่หน้าตาราวกับเกษตรกรแม่น้ำแดงถูมือแล้วพูดด้วยภาษาแดนธุลีแบบป่วยๆ
“ผมได้ยินมาจากสหายว่าพวกคุณกำลังสืบสวนดิมาร์โก้จาก ‘นาวาบาดาล’ อย่างนั้นใช่ไหม”
“ภารกิจที่เรารับมาก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมอย่างมากออกมาทันที
เลห์แมนเผยรอยยิ้มออกมา
“คิดว่าพวกคุณคงไม่รู้ คือเรื่องที่ผมอยากไหว้วานให้พวกคุณทำก็เกี่ยวข้องกับ ‘นาวาบาดาล’ นี่แหละ”