รถจี๊ปของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เคลื่อนผ่านเทือกเขาสูงตระหง่านมุ่งหน้าลงใต้ไปตามถนนที่สภาพชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องมาจากไม่ได้รับการดูแล
จุดหมายของพวกเขาก็คือสถานที่ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ‘ทาร์นัน’
ที่นั่นเป็นจุดทำการค้าภายนอกเพียงแห่งเดียวที่ ‘สวรรค์จักรกล’ จัดตั้งขึ้นมา มีเพียงกองกำลังที่ได้รับความเชื่อถือไว้วางใจหรือสามารถจัดหาวัตถุปัจจัยเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญให้ได้เท่านั้นถึงจะรู้ถึงการดำรงอยู่
ของมัน ซึ่งชุมชนศิลาแดงและเมืองหญ้าไพรก็เป็นหนึ่งในนั้น
กลุ่มคาราวานการค้า ‘คนไร้ราก’ ที่ทำการขนส่งเป็นธุรกิจหลักนั้นไม่ผ่านคุณสมบัติข้อนี้ เพราะ ‘สวรรค์จักรกล’ นับเป็นกองกำลังใหญ่ที่ไม่มีทางขาดแคลนความสามารถด้านการขนส่งมากที่สุด
ตัวตนของพวกเจี่ยงไป๋เหมียนในตอนนี้ก็คือตัวแทนการค้าของเมืองหญ้าไพร ซึ่งได้รับมาจากสวี่ลี่เหยียน ประธานภาคีภราดรภาพแห่งซางเจี้ยนเย่าสาขาเมืองหญ้าไพร รับประกันว่าเป็นของแท้และแน่นอน ไม่มีการหลอกลวงเด็ดขาด
ก่อนที่พวกเขาจะออกจากชุมชนศิลาแดงก็ยังขออนุญาตผู้แจ้งเตือนซ่งเหอว่าต้องการเป็นตัวแทนของชุมชนศิลาแดง เป็นการสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินว่าจู่ๆ สวี่ลี่เหยียนเกิดจำซางเจี้ยนเย่าผู้เป็นพี่น้องไม่ได้ขึ้นมากะทันหัน
ถึงแม้ว่าต่อหน้า ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จะทำให้สวี่ลี่เหยียนทำอะไรเจี่ยงไป๋เหมียนและซางเจี้ยนเย่าตรงๆ ไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถแอบส่งโทรเลขบอก ‘สวรรค์จักรกล’ ได้ว่าทั้งสี่คนนี้เป็นพวกหลอกลวง เพื่อเป็นการระบายความขุ่นเคืองใจแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
“หิวจัง หิวจัง หิวจัง ฉันหิวจริงๆ[1]”
เพลงนี้เปิดจากลำโพงตัวเล็กของซางเจี้ยนเย่าดังซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่ในรถจี๊ปจนทำให้หลงเยว่หงแทบจะมีอาการประสาทหลอนเพราะเพลงติดอยู่ในหัวจนเอาไม่ออก
“หิวน้ำ หิวน้ำ หิวน้ำ ฉันหิวน้ำจริงๆ”
ตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ในพื้นที่ซึ่งเป็นภูเขา จึงขาดแคลนน้ำอย่างสุดๆ
ในฤดูหนาวที่มีฝนน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งน้อยลงไปอีก
ตั้งแต่เมื่อวานซืน ‘ทีมสำรวจเก่า’ ดื่มน้ำที่พกพาไว้จนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือ หลังจากนั้นก็ยังไม่อาจหาแหล่งน้ำได้อีก พวกเขาตามรอยแหล่งน้ำไปสองแห่งทว่าสุดท้ายกลับพบว่าพื้นที่แถบนั้นมีมลพิษรุนแรง ตัวชี้วัดบางอย่างเกินกว่าค่ามาตรฐานไปไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เนื่องจากยังพอขุดหารากไม้ของต้นไม้บางอย่างได้บ้าง ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ จึงยังไม่ถึงขั้นรู้สึกว่ากำลังตกอยู่ในวิกฤตไฟไหม้ขนคิ้ว ทว่านี่ก็เพียงแค่ยืดระยะเวลาประทังชีวิตออกไปเล็กน้อยเท่านั้น
“ข้างหน้าน่าจะมีแหล่งน้ำอยู่” เจี่ยงไป๋เหมียนสังเกตสภาพภูมิประเทศนอกหน้าต่างรถ พูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างมั่นใจ
“ใช่” ไป๋เฉินเห็นพ้องด้วย
ฟู่… หลงเยว่หงถอนใจโล่งอก
ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจะตระหนักว่าความรู้สึกที่ขาดน้ำนั้นมันอึดอัดเสียยิ่งกว่าการเผชิญกับมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขาที่บุกมา
มากนัก เพราะอย่างหลังนั้นเป็นช่วงเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ผ่านไปแล้ว และถึงแม้จะผ่านไปไม่ได้แต่ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
ทว่าสถานการณ์ที่กำลังประสบในขณะนี้มันเป็นความทรมานเรื้อรังชนิดหนึ่ง
เพื่อจะลดการเสียน้ำลาย เขาจึงไม่อยากจะพูดอะไรออกมา
ซางเจี้ยนเย่าที่เป็นคิวขับรถในตอนนี้ยังคงมีกำลังใจดี นอกจากริมฝีปากที่แห้งผากเล็กน้อยก็ดูราวกับว่าไม่ได้รับผลกระทบอะไร
“เฮ้อ ดันลืมแลกหน้ากากราชามังกร[2]มาด้วย ไม่งั้นจะได้ขอให้ฝนตกสักหน่อย” เขามีสีหน้าเศร้าใจ
นับตั้งแต่ออกจากชุมชนศิลาแดงเป็นต้นมา เหล่าสมาชิกของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็ไม่ได้สวมหน้ากากต่ออีก มีเพียงซางเจี้ยนเย่าที่ในบางครั้งยังคงสวมหน้ากากลิงหน้าตาเจ้าเล่ห์อันนั้นเพื่อแกล้งหลอกหลงเยว่หง
บางครั้งเขายังร้องเรียก ‘เจ้างั่ง’ ออกมาตามเรื่องไซอิ๋วด้วยซ้ำ
“ราชามังกรเสกฝนเองได้ ไม่ต้องไปขอฝนจากใคร” เจี่ยงไป๋เหมียนแก้คำพูดของซางเจี้ยนเย่า
ในระหว่างที่พูดกันนั้น เมื่ออ้อมหน้าผาสูงเบื้องหน้าไปก็เป็นหุบเขาที่มีดินสีน้ำตาลที่ชุ่มชื้นเล็กน้อย
“ช้าลงหน่อย” เจี่ยงไป๋เหมียนเตือนออกมา “ทัศนวิสัยที่นี่ไม่ค่อยดี พอออกไปแล้วไม่รู้ว่าจะเจออะไรเข้า”
การตรวจจับของเธอกับซางเจี้ยนเย่าถูกจำกัดด้วยระยะทาง ไม่ได้ยอดเยี่ยมจนไร้ขีดจำกัด
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเจี่ยงไป๋เหมียนในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับแล้วยกขาผ่อนคันเร่ง ชะลอความเร็วรถ
เขาไม่เคยปฏิเสธความปรารถนาดี
รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าค่อยๆ แล่นช้าๆ ไปบนถนนซึ่งเป็นดินอัด ขับอ้อมผนังหินผา
จากนั้นเบื้องหน้าของซางเจี้ยนเย่ากับเจี๋ยงไป๋เหมียนก็พลันสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที
สิ่งแรกในครรลองสายตาของพวกเขาก็คือลำธารคดเคี้ยวสายหนึ่ง ก้อนกรวดหินเม็ดเล็กเม็ดน้อยในลำน้ำช่วยขับเน้นให้เห็นความกระจ่างใส
สองฟากฝั่งของลำธารขนาบไปด้วยหินก้อนเขื่อง มีตะกอนโคลนแทรกอยู่ระหว่างช่องว่างจนเป็นโทนสีหลักของบริเวณโดยรอบ
ไกลออกไปเป็นไม้ยืนตระหง่าน มีทั้งแห้งเหี่ยว มีทั้งที่ยังคงมีสีเขียวแซมอยู่บ้าง ขึ้นเรียงรายไปตามถนนที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นดิน
หลังจากนั้นสายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนก็เลื่อนไปจนมองเห็นว่าที่ต้นน้ำห่างไปราวร้อยเมตรนั้นมีคนอยู่หลายสิบคน
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย แต่งกายหลากหลายรูปแบบ พกพาอาวุธสารพัดประเภท
สายตาของเจี่ยงไป๋เหมียนเลื่อนจากเสื้อคลุมผ้าฝ้ายเก่าๆ เสื้อขนเป็ดสกปรก เสื้อหนังมันเยิ้ม ไปยังริมถนนและเห็นว่ามียวดยานพาหนะกับเต็นท์กางไว้มากมาย
พวกคนที่ถืออาวุธบางส่วนก็กำลังค่อยๆ ตักน้ำ บ้างก็ง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารมื้อเที่ยง บ้างก็นั่งอยู่บนพื้นหัวเราะเฮฮาเสียงดังลั่น บ้างก็กำลังลวนลามผู้หญิงที่ถูกมัดสองมือไพล่หลังเอาไว้ ในบางครั้งก็ตบหน้านักโทษชายสองสามคนที่กล้าจ้องมองพวกเขา
“พวกกลุ่มโจร” ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถจี๊ปมองผ่านกระจกหน้าต่างรถแล้วแสดงความเห็นออกมา
เป็นโจรกลุ่มใหญ่ที่เพิ่งปล้นกองคาราวานหรือไม่ก็นิคมคนเร่ร่อนแดนร้างมา
ในตอนที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ มองเห็นโจรกลุ่มนี้ โจรที่รับหน้าที่เฝ้าระวังก็พบพวกเขาเช่นกัน
“หัวหน้า มีเหยื่อรายใหม่มา!” โจรผมดำตาฟ้ารีบรายงานให้หัวหน้ารู้ด้วยความตื่นเต้น
หลังจากเข้าฤดูหนาวเป็นต้นมา คาราวานการค้าก็ลดลง นิคมต่างๆ ก็ล้วนแต่ปิดประตูเพิ่มเวรยาม ทำให้การเก็บเกี่ยวของพวกเขาแทบจะไม่พอกิน มีเพียงแค่ให้พอยาไส้ประทังชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
แต่ในวันนี้คงเป็นเพราะผู้ครองกาลอำนวยพรให้ ตอนเช้าพวกเขาเพิ่งจะตามรอยคาราวานกองหนึ่ง และปล้นวัตถุปัจจัยกับผู้คนมาได้ไม่น้อย มาตอนนี้ก็ยังได้เจอรถจี๊ปเข้ามาในหุบเขาเพียงคันเดียวอีก
หัวหน้าพวกเขาเป็นชายฉกรรจ์วัยสามสิบ สูงเกือบ 175 เซนติเมตร ผมสีบลอนด์ยาวกระเซิง ร่างกายค่อนข้างกำยำ
ดวงตาสีฟ้าของเขานั้นจางมาก ใบหน้าหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง บนศีรษะสวมหมวกที่มีเขายื่นออกมา ไม่ทราบว่าไปขุดออกมาจากซากเมืองที่ไหน
เมื่อได้ยินลูกน้องรายงานมา หัวหน้าโจรก็มองไปแล้วหัวเราะร่า
“นี่มันลูกแกะหลงเข้ามาในรังราชสีห์ชัดๆ
“รีบไปจับพวกมันมาซะ อยากรู้นักว่าเป็นนักเดินทางพวกไหนที่อาจหาญ กล้าเดินทางเข้ามาในภูชีลาร์ตอนหน้าหนาวแบบนี้”
นี่เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูโบราณ
หลังจากหยุดไปอึดใจ หัวหน้าโจรก็พูดเสริม
“เอารถไปสี่คัน
“พวกมันอาจเป็นกองสอดแนมของขบวนคาราวานก็ได้”
ไม่แน่ว่าด้านหลังอาจมีรถตามมาอีกหลายคัน รวมทั้งคนและอาวุธด้วย
“ได้ หัวหน้า!” โจรผมดำตาฟ้าตอบรับเสียงดังแล้วตะโกนเรียกพวกพ้อง
แล้วในตอนนี้พวกเขาก็เห็นว่ารถจี๊ปสีเขียวขี้ม้ากำลังวิ่งถอยหลังออกจากหุบเขาไป
ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังหวาดกลัวขวัญหนีดีฝ่อเสียจนลืมไปว่ารถสามารถหักเลี้ยวได้
“ฮ่า ฮ่า!” พวกโจรร้องเสียงประหลาดสารพัดเสียงออกมาพลางกวัดแกว่งอาวุธรีบวิ่งตรงรี่ไปยังรถที่จะใช้ไล่กวด
พวกเขาชื่นชอบเหยื่อขี้ขลาดขวัญอ่อนแบบนี้ที่สุด!
เพราะทำให้พวกเขาประหยัดกระสุนไปได้ไม่น้อย
เมื่อรถสตาร์ทและไล่ตามเป้าหมายไป บรรดาชายหญิงที่ถูกจับตัวไว้ก็ละสายตากลับมาด้วยความสิ้นหวังและผิดหวัง
พวกเขายังคิดว่าจะมีคนมาช่วยเสียอีก
แต่ที่ไหนได้ กลับมีรถจี๊ปมาเพียงแค่คันเดียวเท่านั้น
ดูแล้วน่าจะเป็นทีมนักล่าซากอารยะที่ต้องการจะมาตักน้ำ จึงผ่านมาโดยบังเอิญ
ท่ามกลางเสียงร้องเชียร์อย่างตื่นเต้น รถออฟโรดสองคันกับรถกระบะสองคันที่บรรทุกโจรไปด้วยสิบกว่าคน ขับไล่กวดอย่างบ้าคลั่งตรงไปยังหัวมุม ไม่คิดจะปล่อยให้เหยื่อหลุดรอดจากสายตาไปได้
เมื่อรถคันแรกเลี้ยวผ่านมุมหน้าผาไป สายตาคนขับก็พลันชะงักค้างทันที
รถจี๊ปสีเขียวขี้ม้าจอดนิ่งห่างออกไปไม่กี่สิบเมตร ตัวถังรถเอียงเล็กน้อยเหมือนเป็นกำแพงเตี้ยๆ
ด้านท้ายของรถจี๊ปมีร่างชายคนหนึ่งซึ่งไม่ต่ำเตี้ย เพื่อนเขากำลังช่วยสวมชุดที่เป็นโครงโลหะสีดำ ด้านข้างฝั่งหนึ่งของรถจี๊ปก็มีหญิงสาวร่างเล็กกำลังติดตั้งปืนไรเฟิลไว้บนฝากระโปรงหน้ารถ ส่วนด้านข้างอีกฝั่งเป็นหญิงสาวสวมเครื่องแบบลายพรางสีเทามัดผมเป็นหางม้าอยู่ในท่าคุกชันเข่าประทับปืนบาซูก้าไว้บนบ่า
ปืนบาซูก้า!
รูม่านตาของโจรที่ขับรถคนแรกและ ‘ผู้โดยสาร’ เบิกกว้างขยายออก
วินาทีต่อมา ‘มัจจุราช’ ก็มีประกายเพลิงวาบขึ้น
ตูม!
ในระหว่างที่หัวหน้าโจรกำลังจุดบุหรี่มวนเองสีเหลืองไหม้ รอให้ลูกน้องนำเหยื่อกลับมาที่ลำธาร ก็พลันได้ยินเสียงดังสนั่นจนทำให้หูอื้อ
บรึม!
บุหรี่ทำมือนั้นยังไม่ทันจะใส่เข้าไปในปากของเขาก็ร่วงลงพื้นเสียก่อน
ในดวงตาของเขาปรากฏภาพบอลเพลิงขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว
ลูกไฟสีแดงเข้มกลืนกินรถกระบะที่กำลังพุ่งตรงไปข้างหน้า กำลังจะหักเลี้ยว
ฉากนี้ตราตรึงอยู่ในใจของผู้พบเห็นทุกคนราวกับเป็นภาพวาดสีน้ำมัน
ตูม!
รถออฟโรดคันที่สองที่กำลังพุ่งเข้าไปไม่อาจหยุดได้ทันการ มันพุ่งปะทะกับรถกระบะคันหน้าที่กำลังลุกไหม้อยู่
เปรี้ยง!
กระจกด้านข้างรถแตกกระจาย ลูกกระสุนพุ่งเข้าใส่ห้องโดยสาร
ในขณะที่เลือดคนขับสาดกระเซ็น ในหัวสมองของหัวหน้าโจรที่อยู่ห่างออกไปนั้นอดเกิดความคิดวุ่นวายผุดวาบขึ้นมาไม่ได้
“กับดัก! นี่เป็นกับดัก!
“พวกเราถูกล้อมแล้ว!”
* * * * *
[1] เพลง 投食歌 (I am so hungry) ขับร้องโดย 洛天依 (ลั่วเทียนอี)
[2] ราชามังกร (龙王) ชาวจีนมีความเชื่อว่า ราชามังกรเป็นจ้าวสมุทรที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้