นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา หลังจากมีกลุ่มคนมาพาผู้เฒ่าฟู่ไปจากโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง อาการป่วยของผู้เฒ่าฟู่ก็หายดีราวกับปาฏิหาริย์
ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้เฒ่าฟู่ก็ไม่ได้เข้าโรงพยาบาลอีกเลย
คนกลุ่มนั้นไปมาอย่างไร้ร่องรอย ฟู่หมิงเฉิงส่งลูกน้องที่ซุ่มฝึกไว้ออกไปสืบก็ไม่พบเบาะแสใดๆ
เขาสงสัยว่าคนกลุ่มนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นคนที่เพื่อนทหารสักคนที่เมื่อก่อนผู้เฒ่าฟู่รู้จักส่งมา ซึ่งก็อาจจะเป็นมู่เฮ่อชิง
สมัยผู้เฒ่าฟู่หนุ่มๆ รู้จักคนมากมาย ถึงแม้พอแก่ตัวลงจะไม่ค่อยได้เจอหน้ากันเท่าไร แต่มิตรภาพระหว่างกันไม่มีทางน้อยลง อย่างไรเสียก็ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน
พอผู้เฒ่าฟู่หายดี ฟู่หมิงเฉิงก็บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือหงุดหงิด
นี่มันก็เกือบครึ่งปีแล้ว ร่างกายของผู้เฒ่าฟู่ไม่เคยมีอาการอะไร เหตุใดอยู่ๆ ก็เข้าโรงพยาบาลล่ะ
“ท่านผู้เฒ่าเหรอคะ” คุณนายฟู่ตกใจ “เกิดอะไรขึ้น”
หลายวันมานี้ผู้เฒ่าฟู่ไม่อยู่บ้าน ไปพักอยู่ที่บ้านตระกูลจง
พวกเขาจะพูดอะไรก็ไม่ได้ อย่างไรเสียผู้เฒ่าฟู่กับผู้เฒ่าจงก็สนิทกันมาก เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก
“ปลายสายไม่ได้บอก” ฟู่หมิงเฉิงเปิดประตู รีบร้อนเดินออกไป “พวกเราไปดูก่อน”
คุณนายฟู่รีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินตามไป
…
สิบห้านาทีต่อมา ฟู่หมิงเฉิงกับคุณนายฟู่ก็มาถึงโรงพยาบาลอันดับหนึ่ง
แต่เรื่องที่เหนือความคาดหมายของสองสามีภรรยาคือ ผู้เฒ่าฟู่ไม่ได้อยู่ในห้องไอซียู แต่อยู่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดา
หมอประจำตัวเพิ่งเดินออกมาจากห้องผู้ป่วย
“คุณหมอ” ฟู่หมิงเฉิงเดินเข้าไป “คุณพ่อผมเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง ท่านผู้เฒ่าก็ไม่ได้เป็นความดันโลหิตสูงแบบคนแก่ทั่วไปด้วยครับ” หมอเล่าผลตรวจให้ฟัง
“อาจเพราะเหนื่อยเกินไปก็เลยหน้ามืดขณะเดิน น่าจะใกล้ฟื้นแล้วครับ”
“เหนื่อยเกินไปเหรอครับ” ฟู่หมิงเฉิงขมวดคิ้ว แต่ก็วางใจแล้ว “ผมขอเข้าไปดูหน่อย”
แต่เขาเดินไปได้ก้าวเดียวก็ถูกหมอห้ามไว้
“เวลานี้คนป่วยต้องการการพักผ่อน อย่าไปรบกวนเลยครับ”
เท้าของฟู่หมิงเฉิงหยุดชะงัก ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์อะไร
“งั้นผมจะรอข้างนอกครับ”
คุณนายฟู่รอเป็นเพื่อนเขา
หมอประจำตัวพอเห็นพวกเขายืนกรานจะทำแบบนั้นก็ไม่ได้ยุ่ง เดินออกไป
อันที่จริงภายในห้องผู้ป่วยไม่ได้มีแค่ผู้เฒ่าฟู่ ผู้เฒ่าจงนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
วันนี้เช้าพวกเขาสองคนไปรำไทเก๊ก จากนั้นก็ไปเดินเล่นที่ภูเขาเล็กๆ ทางตะวันตก
ผู้เฒ่าจงคิดว่าผู้เฒ่าฟู่ก็แค่ติดนอน แต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ เดินเล่นขึ้นเขาไม่น่าจะมีปัญหา
นึกไม่ถึงว่าขณะลงจากเขา ผู้เฒ่าฟู่เดินๆ อยู่ก็ล้มไป
ผู้เฒ่าจงตกใจ รีบนำตัวเขาส่งโรงพยาบาลทันที
หมอทำการตรวจแล้ว ไม่ต่างอะไรกับที่บอกฟู่หมิงเฉิง
ผู้เฒ่าจงมองสีหน้าของผู้เฒ่าฟู่ที่มีเลือดหล่อเลี้ยง เขาก็วางใจลงไปมาก
เขาถึงหยิบโทรศัพท์มือถือแล้วกดโทรหาเบอร์หนึ่ง
นี่เป็นเบอร์ของฟู่อวิ๋นเซิน
เรื่องที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ผู้เฒ่าฟู่เหมือนจะรู้อาการของตัวเองในช่วงนี้ กำชับเขาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าบอกฟู่อวิ๋นเซิน
ผู้เฒ่าจงเพิ่งกดโทรออกไม่กี่วินาที ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูห้องผู้ป่วย
เขาเดินไปเปิดประตูก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเอามือยันกำแพง ผมดำที่ปรกหน้าผากเปียกชื้น เห็นได้ชัดว่ารีบร้อนมาที่นี่
“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ” ผู้เฒ่าจงประหลาดใจ “เมื่อกี้หมอมาตรวจไปแล้ว บอกว่าปู่เราแค่เหนื่อยเกินไป ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
ฟู่อวิ๋นเซินไม่ได้ตอบทันที
เขาโล่งอก เดินเข้าไป หลังจากที่ตรวจดูสภาพร่างกายของผู้เฒ่าฟู่อย่างละเอียด แผ่นหลังที่หดเกร็งถึงได้ผ่อนคลายลง
ผู้เฒ่าจงมองสีหน้าของเขาแล้วแอบส่ายหน้า
อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ ถึงแม้ฟู่อวิ๋นเซินจะไม่เอาไหนที่สุดในตระกูลฟู่ แต่ก็มีแค่เขาที่เป็นห่วงผู้เฒ่าฟู่อย่างแท้จริง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผู้เฒ่าฟู่ถึงสะลึมสะลือฟื้นขึ้นมา
ผู้เฒ่าจงที่ใจคอไม่ดีก็วางใจได้อย่างสิ้นเชิง “ตาฟู่ ในที่สุดก็ฟื้นสักที”
เขากลัวจริงๆ ว่าผู้เฒ่าฟู่หลับแบบนี้แล้วจะหลับไปตลอดกาล
ฟู่อวิ๋นเซินเงียบไปชั่วครู่แล้วถึงเอ่ยขึ้น “คุณปู่”
“ปู่ไม่เป็นอะไร” ผู้เฒ่าฟู่จับขอบเตียงค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง ถอนหายใจ “เฮ้อ ทำให้เจ้าเจ็ดเป็นห่วงอีกแล้ว”
ขณะพูดเขาก็หันไปถลึงตาใส่ผู้เฒ่าจง
“บอกว่าอย่าบอก แกก็ยังจะบอก”
“ตาฟู่ เอาจริงเหรอ” ผู้เฒ่าจงโมโห “แกเพิ่งฟื้นก็ด่าฉันเลยเหรอ”
“คุณปู่ ผมมาเองครับ” ดวงตาฟู่อวิ๋นเซินขยับ ยิ้มเล็กน้อย
“ตอนปู่จงโทรหา ผมก็มาถึงโรงพยาบาลแล้ว”
คราวนี้ผู้เฒ่าฟู่หาโอกาสอวดได้แล้ว
“ดูสิ เห็นหรือยัง เจ้าเจ็ดของฉันกตัญญูขนาดไหน”
“เอาล่ะๆ ไอ้เด็กหน้าเหม็น เฝ้าปู่ของนายไปนะ” ผู้เฒ่าจงเอามือไพล่หลัง เดินฮึดฮัดออกไป
“ฉันจะไปซื้อโจ๊กมาบำรุง”
…
อีกด้านหนึ่ง
ฟู่อี้หันได้รับสายจากฟู่หมิงเฉิง
เขาไม่ได้พักอยู่ที่บ้านใหญ่ตระกูลฟู่ พอทราบข่าวว่าผู้เฒ่าฟู่เข้าโรงพยาบาลก็ร้อนใจ รีบเก็บของเดินออก
“อี้หัน คุณทำอะไร” ซูหร่วนกำลังมาร์คหน้า
“ไหนตกลงกันแล้วว่าตอนเย็นจะออกไปกินข้าวด้วยกัน”
“คุณปู่เข้าโรงพยาบาล” ฟู่อี้หันไม่ได้หยุด “ไปด้วยกันเถอะ”
คราวนี้ซูหร่วนไม่พูดอะไร
เธอไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับผู้เฒ่าฟู่ ถึงขั้นที่ยังแอบไม่พอใจด้วยซ้ำ
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้เฒ่าฟู่กับผู้เฒ่าซูต้องการทำสัญญาแต่งงาน ตอนนี้เธอก็คงยังอยู่ตี้ตู จากนั้นก็คงจะแต่งงานกับคุณชายในตี้ตูไม่มีทางมาที่ฮู่เฉิง
แต่คำพูดแบบนี้เธอย่อมไม่กล้าพูดออกไป
ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่คนในตระกูลฟู่เลย แม้แต่ผู้เฒ่าซูก็คงด่าเธอชุดใหญ่
ซูหร่วนดึงแผ่นมาร์คหน้าออก ไม่ค่อยพอใจ “ได้ๆ ไปสิ”
ทันใดนั้นฟู่อี้หันก็หยุดเดิน รับโทรศัพท์อีกครั้ง
พอรับสายเสร็จสีหน้าของเขาก็ชะงัก “ไม่ต้องแล้ว”
ซูหร่วนหงุดหงิด มองเขาอย่างเย็นชา “ทำไมไม่ต้องแล้วล่ะ”
“อวิ๋นเซินอยู่ที่นั่น” ฟู่อี้หันวางของในมือลง “คุณปู่ก็ฟื้นแล้วด้วย ไม่ได้เป็นอะไรมาก”
คำพูดนี้กลับเป็นชนวนระเบิดอารมณ์ของซูหร่วนอย่างสิ้นเชิง
ฟู่อวิ๋นเซินอีกแล้ว!
“ฟู่อี้หัน คุณมันไม่เอาไหน!” ซูหร่วนโกรธจนหน้าเขียว
“ฉันแต่งกับคุณ ไม่ใช่เพื่อมาลดตัวอยู่ในตระกูลฟู่ ทำไมเขาอยู่แล้วจะไปไม่ได้ นั่นก็ปู่คุณเหมือนกัน ถ้าคุณไม่ไปสร้างความประทับใจบ้าง ถ้าอนาคตตระกูลฟู่ไม่ใช่ของคุณแล้วจะทำอย่างไร”
หุ้นจำนวนเยอะที่สุดกับกิจการอื่นๆ อย่างเช่น อวี้เซียงฟัง ยังอยู่ในมือของผู้เฒ่าฟู่
แววตาของฟู่อี้หันขรึมลง
เขาไม่พูดอะไร เปิดประตูเดินออกไป
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเขาก็หยุดแล้วหันกลับมา
“เดิมทีตระกูลฟู่ก็ไม่ใช่ของผม ครั้งสุดท้ายแล้วนะ ซูหร่วน”
แล้วประตูก็ถูกปิดลงไปทั้งแบบนี้
ซูหร่วนโมโหจนหยิบแจกันดอกไม้ที่หัวเตียงเขวี้ยงออกไป
เธออดทนไม่หลั่งน้ำตา หยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรไปที่บ้านตระกูลซู
คนที่รับสายคือพ่อของซูหร่วน ซูเหลียงฮุย ซึ่งก็คือลูกชายคนที่สามของผู้เฒ่าซู
ซูเหลียงฮุยฟังซูหร่วนตัดพ้อน้อยใจ เดิมทีทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว จนกระทั่งได้ยินว่าผู้เฒ่าฟู่เข้าโรงพยาบาล
เขากดตัดสายพลางครุ่นคิด จากนั้นก็ไปหาผู้เฒ่าซู
ผู้เฒ่าซูอายุน้อยกว่าผู้เฒ่าฟู่ ปีนี้อายุแปดสิบสามปี
แต่ขาของเขากลับไม่แข็งแรง ได้แค่นั่งเก้าอี้รถเข็นเวลาไปไหนมาไหน
“อี้ชางเข้าโรงพยาบาลเหรอ” ผู้เฒ่าซูขมวดคิ้ว “ฉันจะโทรไปหน่อย”
อายุขนาดเขานั่งเครื่องบินไม่ไหว
ถ้าไปฮู่เฉิงจะยุ่งยาก
ขณะพูดผู้เฒ่าซูก็กดโทรไป โทรเสร็จก็ส่ายหน้า
ซูเหลียงฮุยถาม “เป็นไงบ้างครับคุณพ่อ”
“ฉันว่าอี้ชางน่าจะใกล้ไม่ไหวแล้ว” ผู้เฒ่าซูถอนหายใจ
“แต่ก็ปกติ ขนาดฉันยังรู้สึกว่าช่วงไม่กี่ปีนี้อาการไม่ค่อยดีแล้ว”
คนเรามักจะรับรู้ได้ถึงขีดจำกัดของตัวเอง
ซึ่งความรู้สึกนี้ ต่อให้เครื่องมือของโรงพยาบาลจะมีความละเอียดแค่ไหนก็ตรวจออกมาไม่ได้
“ไม่ไหวแล้วเหรอครับ” ซูเหลียงฮุยอึ้ง
“งั้นพวกเราควรจะหาฝ่ายได้แล้ว”
ตระกูลซูไม่ถือเป็นตระกูลใหญ่ในตี้ตู ความสามารถโดยรวมก็เหมือนกับตระกูลฟู่ ยังจำเป็นต้องได้ตระกูลฟู่คอยสนับสนุนกันและกัน
ตระกูลฟู่แตกออกไปหลายฝ่าย หากยืนผิดฝ่ายก็จะไม่เป็นผลดี
ผู้เฒ่าซูขมวดคิ้วอีกครั้ง “ต่อไปห้ามพูดแบบนี้อีก”
เขากับผู้เฒ่าฟู่เป็นเพื่อนร่วมรบกันมา มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายที่ไหนกัน
แต่ซูเหลียงฮุยกลับไม่คิดแบบนั้น
เขาเป็นนักธุรกิจ มองแต่ผลประโยชน์ ก่อนหน้านี้สาเหตุที่เขาเห็นด้วยกับผู้เฒ่าซูยอมให้ซูหร่วนแต่งงานกับฟู่อวิ๋นเซินเป็นเพราะฟู่อวิ๋นเซินเป็นคนโปรดของผู้เฒ่าฟู่
ไม่แน่ในอนาคตอาจเป็นฟู่อวิ๋นเซินที่สืบทอดฟู่ซื่อกรุ๊ป
เรื่องเดียวที่ซูเหลียงฮุยคาดไม่ถึงคือ ซูหร่วนไม่ถูกใจฟู่อวิ๋นเซินแม้แต่น้อย
แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่เขาจะเข้าหาฟู่อวิ๋นเซิน
เขาเองก็รู้ว่าถึงแม้ฟู่หมิงเฉิงกับฟู่อวิ๋นเซินจะเป็นพ่อลูกกัน แต่ก็ไม่ต่างจากศัตรู
ซูเหลียงฮุยครุ่นคิด สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจสนับสนุนฟู่หมิงเฉิงอย่างเต็มที่
ส่วนฟู่อวิ๋นเซินน่ะเหรอ
พอผู้เฒ่าฟู่ตาย ฟู่อวิ๋นเซินยังจะมีอำนาจอะไรได้
เกรงว่าพอถึงตอนนั้นคงจะอยู่ในวงการไฮโซของฮู่เฉิงไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ
ซูเหลียงฮุยมีความคิดในใจแล้ว เขาคุยกับผู้เฒ่าซูอีกเล็กน้อยก็ออกไป
…
วันต่อมา
ภายในห้องสิบเก้า
อิ๋งจื่อจินนั่งพิงเก้าอี้หลับตาพักผ่อน
เมื่อวานเธอช่วยตรวจดูอาการของผู้เฒ่าฟู่อีกครั้ง ยังคงไม่พบความผิดปกติอะไร
หรืออาจไม่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ แต่เป็นโรคทางด้านจิตใจ
อาการป่วยทางใจแบบนี้เกรงว่าจะไม่มียารักษา ต้องให้ผู้เฒ่าฟู่ปลงได้เองเท่านั้น
ซิวอวี่ที่อยู่ข้างๆ หลังจากตั้งใจทำข้อสอบเสร็จหนึ่งชุดก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเล่นผ่อนคลาย
“พ่ออิ๋ง” เล่นๆ อยู่ทันใดนั้นซิวอวี่ก็พูดขึ้น “เธอติดอันดับประเด็นร้อนอีกแล้ว ไม่สิๆ ไม่ใช่แค่ในเวยปั๋ว เว็บนอกด้วย ฮอตปรอทแตกเลยนะ”
สีหน้าของอิ๋งจื่อจินชะงัก “อะไรเหรอ”
ซิวอวี่วางโทรศัพท์ลงตรงหน้าอิ๋งจื่อจิน “ดูสิ”