ตอนที่ 310 การใส่ร้าย
ตอนที่ 310 การใส่ร้าย
“ที่นี่คือตำหนักของข้า! แม่ทัพเหนียน อย่ากำเริบเสิบสานให้มากนัก!” ฉีเฉิงเฟิงยื่นมือออกไปขวางเขาเอาไว้ สือเฉิงชุนจับแขนอีกฝ่าย ชายหนุ่มกวาดสายตามองฉีเฉิงเฟิงอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ความผิดของตระกูลจ้าวเกี่ยวของกับดำรงชีวิตของราษฎร องค์ชายสามอย่างลืมคิดถึงความปลอดภัยของประชาชนเพียงเพราะความหลุ่มหลงในอิสตรีเพียงคนเดียว!”
“คำพูดของเขาดูสมเหตุสมผล” ฉีเฉิงเฟิงกระตุกยิ้ม เขาดึงมือของสือเฉิงชุนออกแล้วชี้มือไปยังห้องด้านใน “เช่นนั้นแล้วข้าจะไม่ถือสาคำพูดก่อนหน้านี้ของเจ้า แต่ข้าได้บอกไปแล้วว่าซูหวานหว่านได้หลบหนีออกไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว หากเจ้าอยากค้นหานางด้วยตนเองเพราะไม่เชื่อในคำพูดของข้าแล้ว ก็ย่อมได้เช่นกัน แต่ว่าเมื่อเจ้าหาคนไม่พบ เจ้าต้องมาขอโทษข้าที่เป็นการเสียมารยาท”
“แน่นอน” สือเฉิงชุนตอบรับ หากแต่ภายในใจของเขากลับไม่ได้รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อตอนที่มาถึงเขาเห็นซูหวานหว่านกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับฉีเฉิงเฟิง!
สือเฉิงชุนก้าวเท้าเข้าไปด้านในเพื่อตามหาซูหวานหว่าน เขากวาดสายตาสำรวจใบหน้าของเหล่าสาวใช้ หากแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ และไม่มีลักษณะใดที่คล้ายคลึงกับซูหวานหว่าน อีกทั้งสาวใช้คนนั้นยังมีไฝเม็ดสีดำขนาดใหญ่อยู่บนขมับ ยิ่งทำให้ดูอัปลักษณ์ยิ่งขึ้นไปอีก
ซูหวานหว่านอยู่ที่ไหน!
แต่ว่าเขาเห็นซูหวานหว่านหนีมาที่นี่! จะไม่ใช่ได้อย่างไรกัน
สือเฉิงชุนไม่เชื่อ เขาคิดว่าซูหวานหว่านสามารถมีใบหน้าหลากหลายได้ นางอาจจะสวมหน้ากากอำพรางหน้าตัวเองอยู่ก็ได้!
“เหตุใดเจ้าถึงต้องแตะเนื้อต้องตัวนางด้วย? สาวใช้ในตำหนักของข้าเป็นคนของข้าทั้งหมด” ฉีเฉิงเฟิงเอ่ยเยาะเย้ย “ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่ทัพเหนียนยังดูหนุ่ม และมีรูปร่างแข็งแกร่ง เดี๋ยวข้าจะส่งหญิงสาวไปปรนนิบัติเข้าสักสองสามคน
สีหน้าของสือเฉิงชุนภายใต้หน้ากากแปรเปลี่ยนไป เขาขบฟันแน่นและไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา เขายกมือขึ้นใบแตะหูของซูหวานหว่าน แต่ก็ยังหาขอบหน้ากากไม่พบเหมือนกับว่าหน้ากากที่ซูหวานหว่านสวมใส่เหมือนกับใบหน้าของคนจริง ๆ และอาจจะมีความหยาบกร้านเล็กน้อยของผิวหน้า
สือเฉิงชุนสัมผัสใบหน้าของซูหวานหว่านอยู่นาน จนกระทั่งหญิงสาวทนไม่ไหวหลั่งน้ำตาออกมา ก้มศีรษะลงพร้อมกับสะอื้นไห้ออกมา “แม่ทัพเหนียน ข้าน้อยคนนี้เป็นสตรีที่ยังไม่ได้แต่งงาน ท่านจะมาทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ”
สีหน้าขี้ขลาดและหวาดกลัวเช่นนี้จะเป็นซูหวานหว่านได้อย่างไรกัน!
อย่างที่ทุกคนนั้นรู้ว่านางคือซูหวานหว่าน! ส่วนหน้ากากอันนี้ก็คือหน้ากากที่ตั้งใจทำออกมาด้วยความละเอียด นางจึงนำออกมาสวมใส่
สือเฉิงชุนชักมือของตัวเองกลับไปทันที และก็พบว่ามือของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยแป้ง ทำให้เขารู้สึกรังเกียจเล็กน้อย และไม่สนใจซูหวานหว่านอีกต่อไป “ใครก็ได้ มาตรวจสอบแทนข้าที!”
“เชิญ” ฉีเฉิงเฟิงตอบรับออกมาทันที ทำให้สือเฉิงชุนเกิดความสงสัยอย่างมาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาว่า “องค์ชายสาม ท่านอย่ามาแสร้งทำเป็นไม่สนใจเลย หากข้าจับนางได้ จะเป็นท่านเองที่หมดความน่าเชื่อถือ”
“ในเมื่อแม่ทัพเหนียนไม่เชื่อคำพูดของข้า ข้าก็จะรอดูและรอฟังคำขอโทษจากแม่ทัพเหนียน” ฉีเฉิงเฟิงเรียกซูหวานหว่าน และกล่าวออกมาว่า “ข้าหิวแล้ว ไปนำอาหารมาทีสิ”
“เจ้าค่ะ” ซูหวานหว่านเดินออกไปอย่างช้า ๆ และเริ่มสวมบทบาทการเป็นสาวใช้ทันที
เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งสงบของฉีเฉิงเฟิง ก็ทำให้สือเฉิงชุนรู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อย และยิ่งสงสัยว่าซูหวานหว่านอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ๆ
สุดท้ายแล้วนางก็ไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ๆ
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามก็ยังไม่พบตัวซูหวานหว่าน
สีหน้าของสือเชิงชุนแปรเปลี่ยนไป เขารู้สึกอึดอัดมากเมื่อคิดว่าตนเองนั้นต้อง ‘ขอโทษ’ อีกฝ่ายแต่เขาก็ยังคงโค้งคำนับและเอ่ยขอโทษอีกฝ่าย “เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นเพราะว่าข้าน้อยมีความกระตือรือร้นที่มากเกินไป และอาจจะทำกิริยามารยาทที่ล่วงเกินองค์ชายสาม ทำให้พระองค์ต้องขุ่นเคืองใจ ข้าน้อยต้องขอประทานอภัย”
“ไม่เป็นไร” ฉีเฉิงเฟิงเผยรอยยิ้มบาง “คนเราจะต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันสิถึงจะถูก”
คำพูดของฉีเฉิงเฟิง ไม่ได้หมายความถึงนางใช่ไหม?
“ข้าน้อยขอตัวลา” สือเฉิงชุนก้าวถอยหลังออกไป และแม่ทัพสวีก็เดินตามออกไปด้วยทันที
ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงที่อยู่ในห้องมองหน้ากันและยิ้มออกมา การกระทำของพวกเขาทำให้พ่อบ้านตกตะลึง และชี้ไปที่ซูหวานหว่านและพูดว่า “เจ้า เจ้ามาจากไหน! เจ้าไม่ใช่สาวใช้ของตำหนักองค์ชายสาม! งั้น…แล้วคุณหนูจ้าวไปไหนแล้วล่ะ? นางไปไหนแล้ว!”
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น” ฉีเฉิงเฟิงเหลือบมองไปที่พ่อบ้านแล้วกล่าวออกมาอีกว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้ไปเยี่ยมหญิงชราคนหนึ่งที่มีอายุร้อยปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงมีอายุยาวนานนัก”
“เอ่อ…” พ่อบ้านคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาว่า “ไม่รู้”
“ที่นางมีอายุยืนยาว เพราะว่า…นางไม่เคยไปยุ่งเรื่องของคนอื่น” หลังจากพูดออกมาแบบนั้น ฉีเฉิงเฟิงก็ชำเลืองมองคนรับใช้ที่ยืนอยู่นอกประตูห้อง เมื่อสายตาของฉีเฉิงเฟิง พวกเขาก็ต้องตื่นตระหนก เห็นทีว่าผู้ใดปากมากคงจะต้องโดนพ่อบ้านจัดการเสียแล้ว
เมื่อเห็นสายตาลุกลี้ลุกลนของคนใช้ข้างนอก ซูหวานหว่านก็เกิดความสงสัยขึ้นมาทันที หากว่าคนเหล่านั้นคอยมาสอดแนมเรื่องของนาง เช่นนั้นแล้วควรทำอย่างไรดี
หญิงสาวรู้สึกตื่นตระหนก ทันใดนั้นซูหวานหว่านก็ได้ยินเสียงของมิติฟาร์มพูดออกมาว่า “สวัสดีเจ้าบ้านที่รัก เหลือเวลาเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น คะแนนที่ติดค้างของเจ้ายังไม่ได้ชำระ ระบบจะเปิดใช้งานการลงโทษโดยตัวมันเอง ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งรับภารกิจและสองรับภารกิจ”
นางมีทางเลือกอื่นที่ไหนกัน! ซูหวานหว่านทำอะไรไม่รู้ หญิงสาวยกแขนเสื้อขึ้นปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของตัวเอง แล้วถอดจิตเข้าไปในมิติฟาร์มแล้วพูดว่า “ข้าจะรับภารกิจ”
เสียงของมิติฟาร์มดังขึ้นมาอีกครั้ง “เพื่อเป็นการฝึกฝนความสามารถในการเอาตัวรอดของเจ้าบ้าน เจ้าจะต้องร่วมมือทำกิจการร่วมกับแม่ทัพเหนียนให้ได้รับเงินหนึ่งแสนตำลึงภายในสามวัน”
มันคือการฝึกฝนความสามารถในการเอาตัวรอดของนางตรงไหนกัน!
ซูหวานหว่านขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามิติฟาร์มกำลังให้นางทำภารกิจที่ไม่ดีอยู่ รู้ทั้งรู้ว่านางกับสือเฉิงชุนนั้นเป็นศัตรูคู่แค้นกัน อีกทั้งเขายังต้องการจับตัวนางไป นางจะไปเจรจาให้เขาทำกิจการร่วมกับนางได้อย่างไรกัน!
“เจ้าบ้าน ท่านอย่าได้ตำหนิข้าเลย ระวังว่าถ้าข้าอารมณ์ไม่ดีเมื่อไร อาจจะทำให้ระบบในนี้แย่ลงกว่าเดิม”
มิติฟาร์มเอ่ยออกมาอย่างเสียงดัง ซูหวานหว่านจึงเผยรอยยิ้มไม่พอใจออกมาเล็กน้อย และพยายามพูดเอาใจมิติฟาร์ม แต่มันก็ยังไม่ยอมยกเลิกภารกิจของนาง
ซูหวานหว่านถอดจิตออกมาจากในมิติฟาร์ม และเอ่ยถามฉีเฉิงเฟิงออกมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทรัพย์สินที่สือเฉิงชุนมีอยู่ในมือมันคืออะไร?”
“เขา?” ฉีเฉิงเฟิงเลิกคิ้วขึ้น และก้มมองมือของตัวเองที่กำลังถือถ้วยน้ำชาอยู่ และยกชาขึ้นจิบอย่างผ่อนคลาย
ซูหวานหว่านคิดว่าฉีเฉิงเฟิงจะรู้จึงรอคำตอบจากเขาอยู่เป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นริมฝีปากบางของฉีเฉิงเฟิงก็ขยับและเอ่ยเบา ๆ ว่า “ข้าไม่รู้”
ซูหวานหว่านถึงกับกลอกตาไปมา และฉีเฉิงเฟิงก็พูดออกมาอีกว่า “แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีหน้าที่ดูแลคลังทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แล้วแน่นอนว่าเขาจะต้องมีสิทธิ์ดูแลคลังเกลือแห่งอื่นด้วยเช่นกัน?”
“ที่เจ้าพูดมามันก็มีเหตุผล” ดวงตาใสสะอาดของซูหวานหว่านก็ผุดความคิดดี ๆ ขึ้นมา และถอนจิตของตัวเองเข้าไปในมิติฟาร์มเพื่อเรียกรวมตัวของเหล่าบรรดาสัตว์ทั้งหมดที่อยู่ด้านใน และเอ่ยสั่งอะไรบางอย่างกับพวกมัน พอสั่งการเสร็จนางถอนจิตออกมาทำเป็นหลับแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ซูหวานหว่านปลอมตัวกลายเป็นชายวัยกลางคนเข็นรถเข็นคันเล็กไปที่หน้าบ้านของแม่ทัพเหนียน ด้านหน้าของประตูมีคนคอยคุ้มกัน เมื่อเห็นซูหวานหว่านเดินมาก็จ้องมองเขม็ง แต่พอเห็นซูหวานหว่านหยิบทองออกมา คนคุ้มกันก็ทำความเคารพทันที “ไม่ทราบว่าท่านนั้น มีอะไรที่จะให้ข้าช่วยเหลืออะไรหรือเปล่า?”
“เจ้าแค่เข้าไปรายงานเรื่องนี้กับพ่อบ้านของพวกเจ้าว่าจะซื้อเกลือนี้หรือไม่ เกลือของข้าเป็นเกลือชั้นดี และมีราคาแต่เพียงสองตำลึงต่อหนึ่งจินเท่านั้น!” ซูหวานหว่านพูดออกมาเบา ๆ
ขายเกลืออะไรถึงมีราคาแพงเช่นนี้! คนคุ้มกันหน้าประตูบ่นอุบอยู่ภายในใจของตนเอง หากแต่ก็เข้าไปรายงานกับพ่อบ้านทันที ต่อมาพ่อบ้านเดินออกมาพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนหนึ่งแล้วพูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้ามาที่นี่ไม่รู้หรืออย่างไรว่าที่นี่คือที่ไหน ยังจะมาโกงกันขนาดนี้ได้อย่างไร! ข้าจะจับตัวเจ้าไปเดี๋ยวนี้เลย”
ปลายดาบจี้ไปอยู่ที่ลำคอของซูหวานหว่านทันที นางจึงบ่นภายในใจว่า ‘พ่อบ้านคนนี้เข้าใจอะไรผิดไปรึเปล่า? ในลำดับต่อไปเขาจะต้องมาขอร้องอ้อนวอนซื้อเกลือของนางถึงจะถูกสิ?’