บทที่ 76 ปรมาจารย์
“ขิงโลหิต สมบัติขั้นสามแล้ว ถ้ากินเข้าไปมันจะช่วยเร่งการกลั่นกรองพลังไฟในร่างกายและสามารถบรรลุขั้นวิชาได้ในเวลาเดียวกัน” เมื่อฉู่เหินได้ยิน เขาจึงต้องตัดสินใจ
ถ้าสิ่งนี้มีฤทธิ์ที่แก่กล้าเกินไป ฉู่เหินจะไม่แตะต้องมัน แต่ขิงโลหิตนี้อยู่แค่ขั้นสาม ถ้าเขาเอาเจ้าสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งออกมาแลก ฉู่เหินก็จะสามารถเอาขิงไปได้ หลังจากนึกไตร่ตรองดู เขาจึงตัดสินใจ
“เสี่ยวฟู๋ ฉันขอแลกขิงโลหิตนี้ด้วยสมบัติอีกชิ้นหนึ่งนะ” เมื่อได้ยินฉู่เหินกล่าวเช่นนั้น ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ก็รู้สึกรำคาญขึ้นมา
“บอกให้กินก็กินสิ จะอะไรนักหนา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่เหินก็อดยิ้มไม่ได้ ว่าแล้วเขาจึงเอาขิงทั้งชิ้นเข้าปาก
ขณะที่กำลังจะยื่นกล่องไม้คืนให้ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ ฉู่เหินก็นึกอะไรบางอย่างได้ กล่องไม้นี้ไม่ใช่กล่องไม้ธรรมดา หลังดูอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้ว่ากล่องไม้นี้ไม่ต่างจากแหวนมิติของเขาเลย แต่ถึงแม้จะมีคุณสมบัติพอ ๆ กัน แต่มันกลับพกพายากกว่าแหวนมิติ ข้างในกล่องมีพื้นที่เล็ก ๆ ขนาด 10 ตารางเมตรอยู่ข้างในเท่านั้นเอง
ฉู่เหินสะบัดมือ แล้วใส่ปูยักษ์ลงไปข้างใน แน่นอนว่าเขาต้องทำอย่างรวดเร็ว ทำให้แม้แต่ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยังมองไม่ทัน หลังเขากินขิงนี้เข้าไป ฉู่เหินก็เริ่มกลั่นกรองพลังของมัน ไฟในร่างกายเขาก็เริ่มก่อตัวขึ้น ดวงดาวในร่างกายของเขาก็เริ่มเปล่งพลังอย่างรวดเร็ว
ขณะที่กลุ่มดาวเนบูล่าก่อตัวขึ้นในร่าง ส่วนหนึ่งของดวงดาวก็เริ่มผนึกกันเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายเขาเช่นกัน ถึงตอนนี้ ฉู่เหินรู้สึกว่าทั้งร่างของเขากำลังจะระเบิดออก
ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจพลาดเสียแล้ว แทนที่จะกินแค่ครึ่งชิ้น เขากลับกินเข้าไปมากเกินไป ฉู่เหินนึกบ่นอยู่ในใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากฝึกต่อ และปล่อยหมัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
น่าแปลกที่เมื่อชกไปเรื่อย ๆ เขาก็สามารถทำได้คล่องขึ้นอย่างช้า ๆ ดวงดาวในร่างกายกลั่นพลังบริสุทธิ์ออกมาอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกประหลาดใจกับร่างกายของเขาที่กำยำขึ้นรวดเร็วมาก ฉู่เหินฝึกเพียงนาทีเดียวกลับได้ผลลัพธ์ดีกว่าการฝึกช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเสียอีก
แต่เมื่อมาลองคิดดู ปกติแล้วเขาจะรับดวงดาวเข้าสู่ร่างกายเพื่อปรับความยืดหยุ่นของร่างกาย แต่ขิงโลหิตนี้ทำให้เขาสามารถเค้นพลังออกมาได้เร็วขึ้นอีกหลายเท่า
เมื่อเวลาผ่านไป ฉู่เหินก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มบึกบึนขึ้นทุกที ๆ เชื่อได้เลยว่าตอนนี้เขาสามารถชกได้ที่แรงอัด 6000 ถึง 7000 ปอนด์และอาจเพิ่มได้ถึง 10,000 ปอนด์เมื่อได้พลังเต็มที่
การฝึกร่างกายภายนอกเป็นเหมือนกับการกระโดดข้ามรั้ว ถ้าก้าวไปข้างหน้า ร่างกายก็ต้องพัฒนาไปข้างหน้าด้วยอย่างไม่มีทางเลือก ฉู่เหินรู้ว่าเขาต้องพัฒนาให้มากขึ้น ถ้าร่างกายของเขายังติดอยู่ที่เดิม เขาก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้บรรลุขั้นวิชา
ด้วยพลังของขิงโลหิต ตอนนี้ฉู่เหินสามารถบรรลุขั้นวิชาได้เร็วยิ่งขึ้น มันคือโอกาสที่หยิบยื่นมาให้เขา เพราะฉะนั้น ระหว่างที่เขากำลังฝึกฝนร่างกายด้วยการเตะต่อย เขาก็ต้องฝึกสมาธิในใจไปพร้อมกันด้วย เพราะนั่นจะทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นไปอีกถ้าฝึกควบคู่กัน
แม้ร่างกายภายนอกของเขาจะพัฒนาขึ้น แต่เขายังไม่เคยรู้สึกว่าบรรลุถึงขีดสุด ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมันยังมีเลือดคอยช่วย ถ้าเขาฝึกเอง ก็คงยังติดอยู่ขั้นนี้ไปอีกนาน
เวลาฉู่เหินเตะและต่อย บางครั้งกล้ามเนื้อของเขาจะขยับและโป่งพองออกมา ซึ่งมันดูน่ากลัวไม่น้อย ราวกับมีแมลงไต่อยู่ในร่างกายอย่างไงยังงั้น
ฉู่เหินไม่ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ เขาแต่รู้สึกว่าเขามีพละกำลังมากขึ้น แต่การทำสมาธิกลับเหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงรั้งเอาไว้ไม่ให้พัฒนาไปข้างหน้า ฉู่เหินรู้ว่านี่คืออุปสรรคที่หลายคนพูดถึง เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาสามารถก้าวข้ามอุปสรรคนี้ เขาจะต้องสามารถบรรลุวิชาไปอีกขั้นได้อย่างแน่นอน
การก้าวข้ามอุปสรรคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ขิงโลหิตจะปล่อยพลังให้ร่างกายของเขาอยู่เรื่อย ๆ และเขาก็รู้สึกว่าเริ่มจะเอาชนะอุปสรรคนี้ได้แล้วก็ตาม แต่มันก็แค่เริ่ม เขายังไม่สามารถก้าวข้ามมันไปได้ง่าย ๆ ถึงฉู่เหินจะรู้ว่าร่างกายมีพลังมหาศาล แต่มันก็ยังไม่พอจะเอาชนะอุปสรรคนี้ โอกาสนั้นมาถึงแล้ว ถ้าพลาดไป ใครจะรู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนกว่าจะบรรลุขั้นวิชาได้กัน
เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ฉู่เหินกัดฟัน นำเนื้อเสือออกมาจากแหวน แล้วเอาเข้าไปเคี้ยวในปาก เนื้อเสือเขี้ยวดาบก็เป็นสัตว์ประหลาดขั้นสอง และมีพลังแรงกล้าเช่นกัน
ปกติแล้วเขาจะกินอย่างช้า ๆ แต่ตอนนี้เขาพร้อมจะสู้เพื่อบรรลุขั้นวิชาแล้ว เขากินมันคำแล้วคำเล่า จากนั้นไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกได้ถึงความร้อนในร่างกาย ดูเหมือนพลังปริมาณมากกำลังถูกส่งออกมา
ความเร็วในการเตะต่อยของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าในทันที ไม่นานเขาก็เริ่มชิมกับมัน ซึ่งมันก็เร็วเสียจนแม้แต่ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ยังมองตามไม่ทัน
ขณะที่ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การฝึกร่างกายของเขาก็เริ่มเร็วขึ้นเช่นกัน ทุกอย่างเป็นเหมือนกับที่เขาวาดไว้ การฝึกเริ่มดำเนินเร็วขึ้น เขาก็เริ่มซึมซับพลังในร่างกายได้เร็วขึ้นเช่นกัน
“อีกนิดเดียวก็จะเกือบจะบรรลุขั้นแล้ว” ฉู่เหินคิดกับตัวเองพร้อมกับค่อย ๆ เร่งความเร็วของหมัดไปด้วย
ความเร็วของการเตะต่อยของเขาเริ่มพัฒนามาระดับหนึ่งแล้ว ตอนนี้เขาได้ยินเสียงกระดูกในร่างกายของตัวเอง นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังของเนบูล่ากำลังจัดเรียงกระดูกของเขาใหม่ เขารู้สึกว่าเมื่อร่างกายของเขาเรียงกระดูกเสร็จ เขาก็อาจได้บรรลุขั้นวิชา
‘ตั้งใจฝึกเข้า นายต้องบรรลุไปอีกขั้นให้ได้ ไม่อย่างนั้นความพยายามที่ผ่านมาจะเสียเปล่า!’ ขณะที่ฉู่เหินพูดปลุกใจตัวเองอยู่ในใจ เขาก็เริ่มวิ่งได้เร็วกว่าเดิม
เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขาได้ยินเสียงในร่างกายพร้อมกับพละกำลังที่เพิ่มมากขึ้น ฉู่เหินเริ่มรู้สึกอยากจะตะโกนออกมา นี่เป็นเพราะพลังงานในร่างกายของเขามีมากเกินไป ถ้าเขาไม่ปลดปล่อยมันออกมา มันอาจทำให้เขาบาดเจ็บภายใน
ฉู่เหินยังไม่เริ่มส่งเสียงใด ๆ เขาบอกให้ซ่างกวนเสี่ยวฟู๋เอามือปิดหู จากนั้นเขาจึงเริ่มอ้าปากหอนและร้องคำรามเหมือนเสือ คลื่นเสียงที่ทรงพลังดังก้องกังวานเพราะพลังของเนบูล่าที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คลื่นเสียงที่ว่าค่อย ๆ แผ่ออกไป ซึ่งมันก็ดังเสียจนคนที่กำลังตามล่าเขาอยู่นอกถ้ำสัมผัสได้ถึงมัน คนที่ฝีมือยังไม่ถึงขั้นปรมาจารย์ก็ถึงกับต้องอึ้งกับคลื่นเสียงที่พวกเขาได้ยิน
แม้กระทั่งยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ยังต้องกระอักเลือดเมื่อได้ยินคลื่นเสียงนี้ คนที่กำลังตามล่าพวกเขาในป่าพากันมองหน้าเลิ่กลั่ก พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ที่แน่ ๆ ต้องเกิดเรื่องน่าทึ่งขึ้นอย่างแน่นอน หรือไม่ก็มีสัตว์ร้ายโผล่มาอย่างแน่นอน
แม้จะเชื่อกันว่าพลังฟ้าดินบนโลกนี่ยังไม่เพียงพอ แต่โลกใบนี้ก็กว้างใหญ่เสียจนเต็มไปด้วยผู้คนและสัตว์ร้ายมากมาย การเปล่งพลังตามธรรมชาติแบบนี้จะทำให้ดวงดาวบนท้องฟ้าเปล่งแสง เพื่อดึงเอาพลังจากดวงดาวผสานเข้ากับความกายเนื้อ เชื่อกันว่าไม่มีใครสามารถทำได้มาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ถ้ามันเกิดขึ้นละก็ นี่ต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แน่
เผ่น!
ในเวลานี้ คำแรกในหัวของทุกคนคือ เผ่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ร้าย ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่สามารถต่อกรด้วยได้ ส่วนคนที่ตามล่าซ่างกวนเสี่ยวฟู๋ พวกเขาเผ่นหนีไปนานแล้ว เมื่อเทียบกับสมบัติที่กำลังตามล่า ชีวิตของพวกเขาสำคัญที่สุด