หลี่ชุ่ยฮัวมีจิตใจดีและมีความคิดใสซื่อจึงโน้มน้าวได้ง่ายมาก ตรงกันข้ามกับหลิวเต้าเซียงที่ทำให้ป้าหลี่ซานเสิ่นรู้สึกว่าบุตรสาวของตนนั้นมีเพื่อนที่หนักแน่นยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้นางคิดว่านิสัยของหลิวเต้าเซียงค่อนข้างดุร้าย มุทะลุดุดัน แค่สะกิดเพียงนิดก็ระเบิด แต่พอตอนนี้ดูนางพูดจาเป็นกิจจะลักษณะ พลันคิดว่าให้บุตรสาวได้อยู่ใกล้และฝึกฝนนิสัยบางอย่างได้ก็เป็นการดี กระนั้นจึงตกปากรับคำเรื่องที่ให้หลิวเต้าเซียงทำความสะอาดเล้าไก่
ด้วยเหตุนี้ หลิวเต้าเซียงจึงใช้เล้าไก่บ้านหลี่ เพราะมีการแลกเปลี่ยนด้วยการใช้แรงงาน นางจึงไม่รู้สึกเกร็งมากนัก
หลังจากพูดคุยรายละเอียดกับป้าหลี่ซานเสิ่นอีกครั้ง หลิวเต้าเซียงก็คิดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ในใจพลันนั่งไม่ติด จึงลาป้าหลี่และกลับบ้านไป
เมื่อหลิวเต้าเซียงกลับถึงบ้าน เห็นหลิวชิวเซียงก็กำลังซักเสื้อผ้าอยู่ตรงระเบียงปีกตะวันตก หลิวเต้าเซียงมองดูเสื้อผ้าสกปรกที่อยู่ในอ่างแช่เท้า มันเป็นเสื้อผ้าของหลิวฉีซื่อและหลิวเสี่ยวหลัน แต่มีกองที่สกปรกกว่านั้นวางอยู่นอกอ่างแช่เท้า ซึ่งเป็นเสื้อผ้าที่ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงใช้ผลัดเปลี่ยนสะสมอยู่เป็นกอง
“พี่ใหญ่ ข้าจะช่วยพี่ล้างเอง” หลิวเต้าเซียงวิ่งมาจะช่วยนาง
เพราะเรื่องอาการบาดเจ็บของคุณชายน้อย ช่วงนี้หลิวเสี่ยวหลันจึงสงบอารมณ์ได้มากขึ้น ตั้งแต่หลิวเต้าเซียงเปลี่ยนดวงวิญญาณมา หลิวเสี่ยวหลันก็ไม่เคยมาหาเรื่องนางแต่อย่างใด
“เต้าเซียง มานี่สิ”
หลิวเต้าเซียงทำราวกับไม่มีใบหู ยังคงวิ่งไปตรงหน้าหลิวชิวเซียง หยิบเสื้อผ้าขึ้นแล้วช่วยซักขยี้
“อาเล็กเรียกเจ้าแน่ะ!” แม้ว่านิสัยของหลิวชิวเซียงจะเปลี่ยนไป แต่ว่ากรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จเพียงวันเดียว ลึกลงไปในกระดูกนางเองก็ยังคงหวาดกลัวหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันอยู่ดี
หลิวเต้าเซียงยิ้มจนดวงตาโค้งขึ้น นางเอ่ยเสียงค่อย “มีคุณชายท่านนั้นอยู่ อาเล็กไม่มีทางแผดเสียงด่าแน่”
ตั้งแต่ที่คุณชายท่านนั้นเข้ามาพักฟื้นอาการบาดเจ็บในบ้าน ดูจากการที่หลิวฉีซื่อเก็บชุดถ้วยชามเครื่องปั้นธรรมดาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องปั้นสีขาว ก็รู้ว่านางมีแผนการอะไร
หลิวเต้าเซียงเพียงแค่ขำขันกับเรื่องนี้ นางต้องการสร้างฐานะเงียบๆ ไม่อยากให้เป็นที่สังเกต
หลิวชิวเซียงมองย้อนกลับไปที่ที่หลิวเสี่ยวหลันนั่ง แล้วเอ่ยเสียงค่อย “อาเล็กเพิ่งเจ็ดขวบก็มีความคิดเช่นนี้ แต่ข้าดูคุณชายท่านนั้นเหมือนจะสูงส่งมากกว่าพวกคนรวยในตำบลเสียอีก เกรงว่าความปรารถนาของเด็กสาวยากที่จะสมดั่งใจหมายแล้ว”
ในใจของหลิวชิวเซียง บุตรชายของคนในตำบลนั้นนับว่าเป็นพวกลูกหลานคนรวย
“อย่ายุ่งกับนางเลย นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไปเถิด เรามีชีวิตของเราให้ดีก็พอ” หลิวเต้าเซียงไม่อยากสนใจเรื่องไร้สาระของหลิวเสี่ยวหลัน
หลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าทั้งสองคนไม่สนใจ ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ ในสายตาของนางการที่หลิวเต้าเซียงบังอาจไม่ฟังคําพูด การกระทำนี้ทำให้นางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หลิวเต้าเซียงเห็นไฟในดวงตาของนาง จึงพูดอย่างเชื่อฟังว่า “อาเล็ก ไม่รู้ว่าคุณชายท่านนั้นอาการดีขึ้นบ้างหรือยัง? นี่ก็พักฟื้นมากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าต้องเชิญหมอใหญ่มาดูอาการอีกหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร หมอท้องถิ่นแถวนี้ก็ไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก”
ตั้งแต่ที่นางมาที่นี่ นางเข้าใจแล้วว่าหมอท้องถิ่นก็คือหมอชาวบ้าน ส่วนหมอใหญ่คือหมอที่จบจากสถาบันโดยตรง ด้วยเหตุนี้จึงมีการแบ่งประเภทที่ใช้เรียกขาน
หลิวเสี่ยวหลันกระทืบเท้าด้วยความโกรธและพูดว่า “รอก่อนเถอะ” แล้วหันขวับเดินกลับเข้าห้องทิศตะวันออกไป
“พี่ใหญ่ ฟังนะ ข้าว่านางไม่กล้าหรอก” หลิวเต้าเซียงพูดกับพี่สาวของตนอย่างได้ใจ
หลิวชิวเซียงถอนหายใจ ใบหน้าเล็กๆ ของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า “ถึงเวลาคุณชายท่านนั้นก็ต้องจากไปอยู่ดี”
“พี่จะกลัวไปไย ความเคยชินนั้นเป็นสิ่งที่ค่อยๆ สะสมมา”
หลิวชิวเซียงเห็นว่าหลิวเต้าเซียงไม่ได้ตื่นตระหนกเลย นางไม่อาจเข้าใจที่ความหมายที่น้องรองหมายถึง แต่คิดว่าน้องรองฉลาดกว่าตัวเองเสมอ ถูกแล้วที่จะต้องฟังนาง
ส่วนหลิวเสี่ยวหลันนั้นไม่รู้ว่าไปทำอะไร ผ่านไปนานก็ยังไม่ออกมา
ในแสงฤดูใบไม้ผลิ ที่บันไดขึ้นบ้านดินที่เก่าโทรม มีเด็กสาวสองคนกำลังนั่งออกแรงซักผ้า และหยอกล้อกันไปมา หัวเราะเริงร่า เปรียบเสมือนนกกระจอกตัวเล็กที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ฤดูใบไม้ผลิ
ซูจื่อเยี่ยกำลังสัมผัสแสงแดดอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิอยู่ใต้หน้าต่างห้องอย่างหาได้ยาก แสงแดดอ่อนๆ ผ่านหน้าต่างกรอบไม้จรดลงบนร่างกายของเขา เขารู้สึกตัวเบาทันใด ราวกับแสงตะวันที่เฉิดฉายท่ามกลางฤดูหนาวที่มัวหมอง จังหวะที่แสงตะวันจรดลงมา เขาก็ได้ยินเสียงสาดน้ำกันไปมา
“นี่ เด็กรับใช้คนนั้นน่ะ เอาน้ำให้ข้าที” มีเสียงที่ไม่น่าฟังดังออกมาจากในห้อง
หลิวเต้าเซียงหันศีรษะมองไป ใบหน้าซีดขาวที่หล่อเหลาปรากฏขึ้นตรงหน้าต่าง คงเพราะไม่ได้โดนแสงแดดเป็นเวลานาน ดวงตาของเขาไม่สามารถมองเห็นได้ดีนักจึงต้องหรี่ตาลง
หลังจากที่มองไปก็เอ่ยกับหลิวชิวเซียงต่อ “คุณชายน้อยผู้นั้นอาการดีขึ้นไม่น้อย”
หลิวชิวเซียงเห็นว่าน้องรองไม่ได้ลุกขึ้น นางคิดดูแล้วจึงตัดสินใจทำเป็นไม่ได้ยินด้วยแล้วพูดคุยกับหลิวเต้าเซียงต่อ “เขามีบุญ บ้านเราเองก็มีบุญ ย่าเองก็ไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากที่ใด ถึงกล้าเก็บคนใกล้ตายเข้ามาในบ้าน”
เดิมทีหลิวเต้าเซียงอยากจะบอกว่า นางเป็นคนแรกที่พบคุณชายน้อย จากนั้นก็นึกได้ว่าหลิวเสี่ยวหลันวันๆ เอาแต่บอกว่านางเป็นคนช่วยเขาขึ้นมา คิดดูแล้วก็ช่างเถอะ ไม่สร้างปัญหาจะดีกว่า ใครจะรู้ว่าคุณชายน้อยคนนั้นเป็นคนน่าคบหาหรือไม่ ตัวนางเองมีเป้าหมายเพียงแค่อยากอาศัยเจ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย อดทนต่อปัญหาและสู้เพื่อเป้าหมายในการเป็นสาวเจ้าของที่ดินผู้ร่ำรวย
หลิวชิวเซียงเห็นว่านางไม่พูดจา จึงคิดว่านางอาจไม่เต็มใจ “ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเขา ไม่แน่ว่าเดี๋ยวอาเล็กจะหาว่าเรายุ่งไม่เข้าเรื่องอีก”
“นี่ ข้าบอกว่าเด็กรับใช้คนนั้นน่ะ เอาน้ำมาให้ข้าหน่อย” เดิมทีซูจื่อเยี่ยไม่ได้รู้สึกกระหายน้ำมากนัก แต่ตอนนี้กลับกระหายขึ้นมาอย่างกระทันหัน อีกทั้งเด็กรับใช้คนนั้นดูแล้วคุ้นหน้า แต่เขาก็จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน
ดวงอาทิตย์สาดส่องอยู่ในลานที่ว่างเปล่า มีเพียงนกน้อยที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้และร้องเพลงอย่างเป็นอิสระ แต่ในสายตาของซูจื่อเยี่ย กระทั่งสัตว์ตัวน้อยก็เหมือนกำลังล้อเลียนเสืออย่างเขาที่กำลังตกอับ นี่ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่าง อยากจับเด็กรับใช้คนนั้นมากดลงบนตัก แล้วจับตีก้นเสียให้เข็ด
“คุณชายน้อย? ท่านกระหายน้ำหรือ? เหตุใดไม่รีบบอกข้าเล่า?” หลิวเสี่ยวหลันไม่รู้ว่ามาอยู่ที่หน้าประตูห้องทิศตะวันตกตั้งแต่เมื่อไร ขณะนี้นางเปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงผ้าฝ้ายสีชมพู ใบหน้ามีส่วนคล้ายกับหลิวฉีซื่อแทบทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาที่เป็นประกายทั้งสองข้าง เพียงแค่กะพริบตาก็เหมือนมันกำลังกระซิบกับเราอยู่
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยตอนนี้กำลังแย่ แต่เมื่อเห็นหลิวเสี่ยวหลันเข้ามาจึงผ่อนคลายสีหน้าลงไม่น้อย สำหรับ ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ของตนเอง เขารู้ว่าต้องมีมารยาท
“อืม”
หลิวเสี่ยวหลันดูเหมือนจะคุ้นเคยกับการที่เขาพูดน้อย นางยกกระโปรงขึ้นแล้วย่างเท้ากลีบบัวเข้าไป ยืนเคียงคู่กับคุณชายน้อยที่ริมหน้าต่าง กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชายหนุ่มแผ่ออกมา หลิวเสี่ยวหลันเริ่มจิตใจหวั่นไหว หัวใจนั้นดุจกวางน้อยที่วิ่งซนไปทั่ว เต้นเสียงดังตุบๆๆ…
นางสูดลมหายใจเข้าลึก แม่ของนางเคยบอกว่าคุณชายน้อยคนนี้ดูเหมือนจะร่ำรวยกว่าตระกูลหวง อิงจากหยกประจำตัวของเขา ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลทั่วไปจะมีได้ หลิวฉีซื่อยังบอกอีกว่าผ้าอวิ๋นจิ่น [1] บนตัวคุณชายน้อยคนนี้ก็ไม่ใช่ของทั่วไป มีเพียงตระกูลของขุนนางใหญ่ระดับสูงถึงจะสามารถใช้ได้
เมื่อครั้งที่หลิวฉีซื่อปรนนิบัติรับใช้ข้างกายท่านย่าหวง ก็มีบางคราที่ได้เห็นจากแขกที่มาที่บ้าน แต่นางก็จดจำได้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นตอนนี้เมื่อเห็นแล้วจึงสามารถแยกแยะได้
ซูจื่อเยี่ยก้มลงมองเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างกายตนเอง ขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับกระเถิบเท้าออกไปทางด้านข้าง เขาไม่ชินกับการที่มีผู้อื่นเข้ามาใกล้ นี่คือนิสัยประจำตัวตั้งแต่เด็กของเขา
เขาไตร่ตรองเล็กน้อยและรู้สึกว่าจําเป็นต้องเตือนผู้มีพระคุณของตนเองเสียหน่อย “เด็กรับใช้บ้านเจ้านั้นไม่ค่อยเชื่อฟัง”
ด้วยน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นฟังดูเหมือนเขากำลังบ่นอยู่ สำหรับเด็กรับใช้ที่ไม่เชื่อฟัง เขาแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างยิ่ง หากเป็นบ้านตนเองคงสั่งจับไปขายนานแล้ว
“พวกเจ้าสามารถนำนางไปขายแล้วแลกคนที่เชื่อฟังกลับมาแทน”
หลิวเสี่ยวหลันยิ้มเบาๆ ทำท่าทีน่ารักแล้วเอ่ย “โธ่ คุณชายน้อย คนในบ้านเรานั้นมีเมตตาเกินไป มิอาจทำเรื่องเช่นนั้นได้หรอก”
ไม่เพียงเมินเฉยที่จะบอกว่านั่นคือบุตรสาวของพี่สามของตนเอง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะขายทั้งสองคนออกไป
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจื่อเยี่ยเช่นนี้ นางเองก็มีความคิดบางอย่างในใจ ขอเพียงได้ปรึกษามารดาของตนเสียก่อน
ซูจื่อเยี่ยไม่พูดจามากความก็เลื่อนสายตาออกจากตัวของหลิวเต้าเซียง หึ ใครใช้ให้เรียกใช้เจ้าแล้วไม่เชื่อฟังกัน ข้ามีปัญญาทรมานเจ้าแน่
หลิวเต้าเซียงผู้ซึ่งไม่รู้ตัวว่าทำให้เขาโกรธกำลังช่วยพี่สาวซักผ้าอย่างสนุกสนาน และช่วยนางตากจนเสร็จ จากนั้นก็ส่งน้ำชาไปให้หลิวซานกุ้ยกับหลิวต้าฝูที่นา
นางต้องหาเวลาพูดคุยกับหลิวซานกุ้ยเรื่องการเลี้ยงไก่ แต่ก่อนหน้านั้นจางกุ้ยฮัวได้บอกสองพี่น้องเรื่องที่ถกกับหลิวซานกุ้ยแล้ว ประเด็นหลักที่พูดคุยก็คือ ให้ทั้งสองหาเงินได้อย่างสบายใจ เมื่อเก็บได้ก็จะเอาไว้เป็นเงินค่าสินเดิม
เมื่อรู้ว่าจางกุ้ยฮัวกลายเป็นนักปราบมือฉมังเหมือนในฮอลลีวูด หลิวเต้าเซียงก็ปรบมือให้ในใจเงียบๆ นิสัยของจางกุ้ยฮัวนั้นชัดเจนว่าอ่อนนอกแข็งใน ด้านนอกคือซาลาเปา แต่ด้านใน ฮี่ๆๆ…
ฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ซึ่งลมหนาว ช่างสบายตัวเหลือเกิน
หลิวเต้าเซียงหอบกระบอกไม้ไผ่อันใหญ่เดินไปทางเถียงนาของตระกูลหลิว ก่อนหน้านี้หลิวต้าฝูกับหลิวซานกุ้ยแบกมีดพรวนดินไป จัดการพรวนดินที่นาทั้งหมดสามสิบไร่ท่ามกลางสายฝน ทำให้เติมน้ำฝนลงบนที่นาได้เต็มทั้งหมด
นางเคยได้ยินหลิวซานกุ้ยบอกว่า รอเมื่อฟ้าแจ้ง ก็จะตากรำข้าวในนา
ที่ดินสวนสิบไร่นั้นอยู่ใกล้กัน นางได้ยินคนในบ้านบอกว่าที่นี่ปลูกป่านรามี [2] ใบสามารถนำไปให้อาหารหมูได้ ส่วนเปลือกที่ลอกออกมาหลังจากต้มแล้ว สามารถนำไปทำผ้าฤดูร้อนได้ นับว่าไม่เลว
เมื่อหลิวเต้าเซียงมาถึงข้างสวน หลิวซานกุ้ยกับหลิวต้าฝูเพิ่งจะพรวนดินได้นิดเดียว เห็นทีการจะถางหญ้าทั้งสิบไร่ให้หมดคงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน
“พ่อจ๋า ปู่จ๋า มาดื่มน้ำเร็วเข้า”
เสียงใสกังวานดังขึ้นทั่วสวน
“เอ๋ มาแล้วหรือ!” หลิวซานกุ้ยหยุดถางหญ้า ลุกขึ้นและมองไปที่บุตรสาวคนรองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาเคยคุยกับจางกุ้ยฮัวเป็นการส่วนตัว บุตรสาวคนรองของตนนั้นเก่งกาจไม่น้อย พวกโลภมากในชุมชนยังไม่สามารถหาไข่เจอได้ แต่มีเพียงนางที่ตาแหลมคม สามารถหาเจอได้
จางกุ้ยฮัวคิดว่าบุตรสาวคนรองของนางโชคดี บวกกับนิสัยของนางออกจะป่าเถื่อนเล็กน้อย ย่อมไม่มีทางแพ้เด็กผู้ชายเหล่านั้นแน่
หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าภรรยาของตนพูดถูก คิดถึงหลายคืนมานี้ ได้กินน้ำแกงไข่กับผักป่าติดต่อกัน บางทีก็เป็นน้ำแกงเห็ด ยิ่งเป็นไข่ตุ๋นเนื้อปลาที่ทำให้เขาแทบกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วย ด้วยความสดใหม่ทำให้ชายผู้ซื่อตรงรู้สึกว่า หากเทพเซียนได้กินเข้าไปก็คงยืนไม่มั่นคง รสชาติช่างล้ำเลิศเหลือคณา
หากเป็นเช่นนี้ บางทีในอีกหลายปีต่อจากนั้น เมื่อหลิวซานกุ้ยไม่ใช่หนุ่มที่เอาแต่ไถนาและก้มหน้ารับชะตากรรมชีวิต ตอนนั้นหลิวเต้าเซียงก็คงได้ออกเรือนไป ใช้ชีวิตอย่างมีคนคอยปรนนิบัติอยู่ในจวนแล้ว เมื่อรู้ว่าผู้เป็นพ่อชื่นชอบไข่ตุ๋นเนื้อปลาที่สุด ก็คงสั่งให้คนในจวนทำแล้วส่งมาให้ และเขาอาจจำต้องถมึงตึง ลุกขึ้นมาด่าว่าพ่อครัวไม่ใส่ใจ เพราะไม่สามารถดึงเอาความสดใหม่นั้นออกมาได้
—–
เชิงอรรถ
[1] อวิ๋นจิ่น ผ้าปักลายดอกของหนันจิง (南京云锦) ซึ่งมีชื่อเรียกว่า อวิ๋นจิ่น(云锦) เป็น 1 ใน 4 ศิลปะผ้าปักดอกอันเลื่องชื่อของประเทศจีนผ้าปักดอกฯ นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมแห่งมนุษยชาติ (Intangible Cultural Heritage of Humanity) ของยูเนสโก
[2] ป่านรามี (苎麻) ป่านรามี เป็นพืชในวงศ์ Urticaceae เป็นพืชพื้นเมืองในเอเชียตะวันออก เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ใบมีขนสีเงิน ทำให้บางครั้งเรียกว่าป่านรามีขาว