ตอนที่ 830 แขกแปลกหน้า
“งั้นรีบกลับเข้าไปดูก่อนดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วมากขึ้น
เขาและกงกงกลับมาถึงหมู่บ้านผู้อพยพในเวลาไม่นาน
แต่กลับไม่พบเจอหลู่เหวินหยวน
ปรากฏว่าพวกของเกาเฉิงฮั่นเดินทางกลับไปเสียแล้ว
มีเพียงเสี่ยวเย่คนเดียวเท่านั้นที่รออยู่
“คุณชายหลินกลับมาแล้วหรือขอรับ…”
เมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน นายทหารหนุ่มก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก “มีกลุ่มคนถูกส่งมาจากวังหลวง สถานการณ์ของเราไม่ค่อยสู้ดี อาจมีผลเสียต่อคุณชายโดยตรง ท่านแม่ทัพเกาบอกให้ข้าช่วยอยู่แจ้งเรื่องนี้แก่คุณชายขอรับ…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“อะแฮ่ม…”
ได้ยินเสียงกระแอมไอดังขึ้นไม่ห่างออกไป
สีหน้าของเสี่ยวเย่ปรากฏความเคร่งเครียดมากกว่าเดิมเล็กน้อย เช่นเดียวกับความโกรธแค้นไม่ชอบใจ
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปมอง
และเด็กหนุ่มก็ได้พบเข้ากับชายฉกรรจ์วัยกลางคนผู้สวมใส่ชุดเครื่องแบบสีแดงเข้ม เขามีใบหน้าขาวซีด สีหน้าบึ้งตึง สองเท้าก้าวเดินด้วยความรวดเร็วพร้อมกับจ้องมองเสี่ยวเย่อย่างข่มขู่คุกคาม
เมื่อรู้สึกได้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังมองมาที่ตนเอง ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็หันกลับมามองหน้าเขา ก่อนที่รอยยิ้มเหยียดหยามจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินกวาดตาสำรวจมองชายฉกรรจ์ฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า แล้วสบถออกมาว่า “ขันทีตัวบัดซบอีกแล้วหรือ?”
เขาดูออกโดยทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นขันที
เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม ชายฉกรรจ์ชุดแดงก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปราวกับสุนัขถูกเหยียบหาง รอยยิ้มเหยียดหยามกลายเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย ราวกับว่าพร้อมจะกระโดดเข้ามาขย้ำคอหลินเป่ยเฉินได้ทุกเมื่อ
“คนบาปไร้การศึกษาย่อมพูดจาสามหาวเช่นนี้แหละนะ…” เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากด้านหลังชายฉกรรจ์ ปรากฏว่าเป็นขันทีหนุ่มวัยต้น 20 เห็นรุ่นพี่ของตนเองถูกข่มเหง จึงทนไม่ไหวต้องออกหน้าเข้าช่วยเหลือ
“ลากตัวไปทำงานขนหิน”
หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง
ทันใดนั้น นายทหารคนงานขุดเหมืองกลุ่มหนึ่งที่ยืนจ้องมองกลุ่มขันทีด้วยแววตาไม่เป็นมิตรตั้งแต่แรก ก็รีบกระโดดออกมาลากตัวขันทีหนุ่มไปทันที
ขันทีหนุ่มพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ก็ถูกกลุ่มนายทหารรุมต่อยตีจนใบหน้าบวมช้ำ ริมฝีปากเจ่อยิ่งกว่าปากเป็ด ตอนที่ถูกลากตัวจากไป แม้แต่เสียงครางในลำคอก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้อีกแล้ว…
ขันทีฉกรรจ์มีผู้ติดตามมาด้วยสี่คน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะเข้ามาช่วยเหลือผู้คน
แต่เมื่อเห็นแววตาที่ดุร้ายของหลินเป่ยเฉินจ้องมองมายิ่งกว่าอสูรกายจากป่าดงดิบ เหงื่อของพวกเขาก็ไหลหยดลงมาจากหน้าผากโดยไม่รู้ตัว แม้แต่จะขยับตัวยังไม่กล้า นับประสาอะไรจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือขันทีหนุ่มที่ถูกลากตัวจากไป…
แม้แต่ขันทีฉกรรจ์ผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ก็ยังไม่กล้าลงมือ
“หากท่านมีคำใดจะพูด ได้โปรดรีบพูดออกมาโดยเร็ว”
เสี่ยวเย่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพพอเป็นพิธี
เขาเองก็ไม่พอใจขันทีผู้นี้เช่นเดียวกัน
กองทัพประจำนครเจาฮุยทำหน้าที่ปกป้องเมืองสำคัญในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของจักรวรรดิ ถือเป็นการทำความดีความชอบให้แก่ประเทศชาติใหญ่หลวง แต่กลับปรากฏว่าขันทีเหล่านี้ทันทีที่มาถึงกลับไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตา ราวกับว่าชีวิตของนายทหารแนวหน้าไม่มีความสำคัญแม้แต่น้อย
บุคคลเช่นนี้สมควรให้คุณชายหลินล้างบางไปให้หมด
“ไปคุยกันที่กองทัพดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินไม่ให้ค่าขันทีผู้เป็นแขกสักเท่าไหร่ขณะกล่าวต่อ “พี่เสี่ยว พวกเราไว้คุยกันระหว่างเดินทางเถอะ”
ทันใดนั้น กงกงที่ยืนอยู่ด้านข้างเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นว่า “นายท่านขอรับ หน่วยผู้พิทักษ์สีเงินที่นายท่านสั่งให้จัดตั้งขึ้นมา บัดนี้ได้จัดตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว ลองใช้งานดูเลยดีไหมขอรับ?”
“หืม?”
หลังจากใช้เวลานึกทบทวนอยู่เล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็จำได้ว่าตนเองต้องการสร้างหน่วยคุ้มกันหมู่บ้านผู้อพยพขึ้นมา โดยตั้งชื่อว่าหน่วยผู้พิทักษ์สีเงิน
พอสั่งเสร็จแล้วก็ลืมไปเลย
ตอนนี้หน่วยผู้พิทักษ์สีเงินอะไรนั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ?
ลองใช้งานดูเลยดีกว่า
“เรียกออกมาได้”
เขาพูดอย่างมีความสุข
ปรากฏใครคนหนึ่งนำฝูงม้าเดินเข้ามา
พวกมันทุกตัวล้วนแต่เป็นม้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์
พวกมันทุกตัวล้วนเป็นม้าที่ยึดมาจากหน่วยม้าขาวของแม่ทัพกงซุนไป๋แห่งกองทัพเว่ยซาน
เมื่อหาสมุนไพรชั้นดีมาให้อานมู่ซีหลอมโอสถนับไม่ถ้วน บางครั้ง หลินเป่ยเฉินก็จะขอร้องกึ่งบังคับให้อานมู่ซีช่วยผลิตโอสถสำหรับสัตว์ขึ้นมาบ้าง หลังการทดลองผ่านไปหลายเดือน ม้าขาวเหล่านี้ก็เปลี่ยนแปลงไปแทบกลายเป็นตัวใหม่ พวกมันมีมัดกล้ามเนื้อกำยำ มีสง่าราศีราวกับเป็นม้าจากแดนสวรรค์
ส่วนอดีตแม่ทัพกงซุนไป๋เมื่อถูกจับตัวมาเป็นครั้งที่สองระหว่างที่รับคำสั่งจากเหลียงหยวนเตาให้มาบุกโจมตีค่ายที่พักผู้อพยพ บัดนี้ เขามีหน้าที่การงานอันมั่นคงในค่ายผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยการดูแลฝูงม้านับร้อยตัวเหล่านี้นี่เอง
ตลอดชีวิตของกงซุนไป๋ เขาชักกระบี่ฆ่าฟันศัตรูมานับไม่ถ้วน ทว่าม้าขาวเหล่านี้เขารักและทะนุถนอมยิ่งกว่าบุตรีของตนเองเสียอีก ดังนั้นขณะนี้ แม่ทัพหนุ่มจึงจูงม้าที่ตนเองรักยิ่ง เดินตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพนอบน้อม…
ม้าขาวตัวนี้ยังเยาว์วัย มันมีสายเลือดบริสุทธิ์ ถือเป็นม้าที่สง่างามที่สุดในหมู่ม้าขาวด้วยกัน บนลำตัวของอาชาสีขาวตัวนี้สวมใส่ชุดเกราะที่มีน้ำหนักนับพันชั่ง ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นม้าธรรมดาก็คงหลังหักตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อมันได้รับประทานยาวิเศษจากอานมู่ซี เจ้าม้าขาวเหล่านี้ก็สามารถสวมใส่ชุดเกราะและแบกรับน้ำหนักทั้งหมดได้อย่างสบายๆ หายห่วง
มันหันจมูกและดวงตากลมโตมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินคล้ายกับรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้กำลังจะเป็นเจ้านายของมันในอนาคต และดูเหมือนว่าเจ้าม้าขาวจะรับรู้ได้ถึงพลังลมปราณที่อยู่ในร่างกายของหลินเป่ยเฉิน มันจึงเดินมาหาเขาอย่างเชื่อฟัง ไม่มีทีท่าว่าจะพยศแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินรับสายบังเหียนไป กงซุนไป๋ก็รู้สึกขมขื่นราวกับเห็นบุตรสาวของตนเองต้องแต่งงานไปกลายเป็นภรรยาน้อยของผู้อื่น
หลินเป่ยเฉินไม่ทันสังเกตเห็นความเศร้าสร้อยบนสีหน้าของกงซุนไป๋
เขารับสายบังเหียนมาแล้วก็กระโดดขึ้นไปอยู่บนหลังม้าทันที
“บ๊ะ รู้สึกดีเหมือนกันนะเนี่ย”
อย่างน้อยก็ดีกว่าขี่หลังเจ้าเสือมีปีกผู้เป็นลูกเลี้ยงของอากวงหลายต่อหลายเท่า
ไม่ต้องเป็นอัศวินในเทพนิยาย ก็สามารถขี่ม้าขาวได้เหมือนกัน
แน่นอนว่าในชีวิตของเด็กหนุ่มหลายคน ย่อมใฝ่ฝันที่จะได้เป็นอัศวินขี่ม้าขาว
โดยเฉพาะคนที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่นอย่างหลินเป่ยเฉิน
ม้าเหล่านี้จึงมีความพิเศษสำหรับเขามาก
ในเมื่อไม่มีมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์เท่ๆ ให้ขี่ อย่างน้อยมีม้าขาวให้ขี่ก็ยังดี
ด้านหลังหลินเป่ยเฉินปรากฏนายทหารในชุดเกราะสีเงินอีก 30 คนจากหน่วยคนงานขุดเหมืองกระโดดขึ้นสู่หลังม้า เสียงชุดเกราะที่สั่นกระทบกันดังแกร่งกร่างช่างชวนให้ขนหัวลุกยิ่งนัก
สมาชิกในหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินนั้นมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แทบทุกคน พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะสีเงิน ห้อยกระบี่สีเงินที่ข้างเอว พาหนะของทุกคนคือม้าสีขาว ซึ่งสวมใส่ชุดเกราะสีเงินเช่นกัน
ยังไม่ต้องพูดถึงเลยว่าหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินจะมีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งระดับไหน
เอาแค่เรื่องภาพลักษณ์อย่างเดียวก็ถือว่าข่มขวัญศัตรูได้มากมายแล้ว นี่คือกลยุทธ์ที่หลินเป่ยเฉินวางเอาไว้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าหน่วยผู้พิทักษ์สีเงินจะย่างกรายไปที่แห่งใด พวกเขาล้วนได้รับความสนใจจากทุกผู้คนแน่นอน
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
ขบวนม้าขาวพุ่งทะยานออกไปข้างหน้า
บัดนี้ เสี่ยวเย่ก็กำลังควบขี่ม้าขาวอยู่เช่นกัน เขารู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นายทหารหนุ่มควบคุมม้าเข้าไปอยู่ใกล้ๆ หลินเป่ยเฉินและรายงานว่า “ผู้ที่ทางวังหลวงส่งมาในครั้งนี้มีนามว่าเฉียนเฟยเซวีย ถือเป็นหนึ่งในขุนพลคนสำคัญจากหกกองทัพใหญ่ประจำวังหลวง เมื่อปีก่อน เขามีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย โดยปกติเป็นบุคคลที่มีนิสัยเรียบง่าย ชอบชักใยอยู่เบื้องหลัง มากกว่าออกหน้าลงสู่สนามรบด้วยตนเอง”
“เฉียนเฟยเซวียมีผู้ติดตามคนสนิทซึ่งเป็นมือซ้ายและมือขวานามว่าโหลวซานกวนและเจิ้งหลงเซียง ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนึ่งในขุนพลจากหกกองทัพใหญ่ของวังหลวงอีกเช่นกัน ระดับพลังของพวกเขาไม่ต่ำต้อย เช่นเดียวกับสถานะและความเคารพที่ได้รับจากคนในวังหลวง เจิ้งหลงเซียงเป็นถึงบุตรชายของตระกูลเจิ้ง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ประจำจักรวรรดิ พวกเขาจึงมีเส้นสายใหญ่โต นอกจากนี้ กลุ่มคนที่ทางวังหลวงส่งมาก็มีคนจากตระกูลหลิงด้วยเช่นกันขอรับ…”
“พี่เสี่ยวรู้ข้อมูลเยอะเหมือนกันนะนี่?”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความประหลาดใจ
รายชื่อของแม่ทัพใหญ่ในจักรวรรดิคงไม่ใช่ความลับอันใด
แต่การรู้ภูมิหลังของนายทหารแต่ละคนนี่สิที่น่าสนใจ ก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่ฮันเคยบอกเอาไว้ว่าเสี่ยวเย่คือนายทหารเพื่อนร่วมรบที่ร่วมเป็นร่วมตายกันในสมรภูมิชายแดนเหนือ แต่ตอนหลังถูกย้ายมาประจำการอยู่ที่นครเจาฮุยแล้ว นายทหารระดับล่างอย่างเสี่ยวเย่สามารถรู้ข้อมูลเบื้องลึกเช่นนี้ได้อย่างไร?
เสี่ยวเย่ตอบกลับมาว่า “ท่านแม่ทัพเกาเป็นคนบอกข้อมูลเหล่านี้ให้ข้าทราบ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ทำไมเกาเฉิงฮั่นถึงเชื่อใจเสี่ยวเย่ขนาดนี้นะ?
แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ นอกจากพูดว่า “ท่านบอกว่าคนที่มาจากเมืองหลวงก็มีคนจากตระกูลหลิงด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าเป็นตระกูลหลิงไหนหรือ อย่าบอกนะว่าเป็น…”
เสี่ยวเย่ตอบ “ตระกูลหลิงที่เคยเป็นผู้ว่าการเมืองหยุนเมิ่งนั่นแหละขอรับ”