ตอนที่ 835 ข้าจะรับราชโองการนี้เอง
“ข้ามีนามว่าเว่ยซือเซวียน เจ้าจงจำชื่อของข้าเอาไว้ให้ดี เพราะมันจะกลายเป็นฝันร้ายของเจ้าไปอีกนานแสนนาน” เด็กหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะเหยียดหยาม
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจิ้งหลงเซียงก็อดนึกสงสารเด็กหนุ่มผู้มาจากตระกูลเว่ยไม่ได้
ช่างโชคร้ายเหลือเกิน
คณะเดินทางของพวกเขามาถึงนครเจาฮุยตั้งแต่เมื่อวาน แต่คนในคณะกลับมีโอกาสได้พบเกาเฉิงฮั่นเพียงไม่กี่คน นอกจากพวกเขาทั้งสามที่ได้รับทราบว่าหลินเป่ยเฉินเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จแล้วนั้น ก็ไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้อีกเลย อาทิ เว่ยซือเซวียนผู้ไม่ได้อยู่ร่วมในวงประชุม แต่เลือกมาเข้าพักที่จวนสกุลหลิงแทน หากเด็กหนุ่มจะรู้ความจริงสักนิด ก็คงไม่คิดยั่วโมโหหลินเป่ยเฉินเป็นอันขาด
“ฝันร้ายอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวว่า “เป็นความคิดที่ดี”
เพี๊ยะ!
สายแส้ตวัดฟาดใสใบหน้าของเว่ยซือเซวียน
รอยแผลที่มีลักษณะคล้ายกับตะขาบสีแดงตัวยาวปรากฏขึ้นบนใบหน้าอันหล่อเหลานั้น
เว่ยซือเซวียนภูมิใจกับใบหน้าของตนเองเสมอมา ทว่าในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เขากลับตั้งตัวรับไม่ทัน
เพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมาเท่านั้น เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงร้องออกมาว่า “อ๊าก… ฆ่ามัน ฆ่ามันให้กับข้า…”
วูบ!
เงาร่างหลายสายถลันกายเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก
ไม่รู้เพราะเหตุใด แต่เขากลับรู้สึกดีที่จะได้ต่อยตีคนพวกนี้เหลือเกิน
ผลั่ก! ผลั่ก!
แต่ทว่ากงกงกลับปรากฏตัวออกมาจากกลางอากาศราวกับเป็นวิญญาณตนหนึ่ง ทุกครั้งที่ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ผู้นี้เหวี่ยงหมัดออกไป ก็จะเกิดเป็นแสงสว่างลากยาวราวกับลำแสงดาวตก บริวารของเว่ยซือเซวียนลอยกระเด็นออกไปคนแล้วคนเล่า
ตั้งแต่ที่กงกงได้รับการติดตั้งแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือ เขาก็กลายเป็นองครักษ์ส่วนตัวของหลินเป่ยเฉิน อานุภาพในการโจมตีด้วยแขนเทียมคู่นี้มีความรุนแรงเกินที่ใครจะคาดคิด
ถึงวันนี้เขาจะไม่ได้แบ่งปันพลังของหลินเป่ยเฉินผ่านสัญญาณไวไฟอีกแล้ว แต่กงกงก็มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้น
“แล้วพวกเจ้าจะต้องเสียใจ…”
เว่ยซือเซวียนร่ำร้องออกมาด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น
เพี๊ยะ!
กงกงใช้ฝ่ามือตบหน้าเด็กหนุ่มจนล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้น
“นายท่านจะให้ข้าน้อยทำอย่างไรกับมันผู้นี้ดีขอรับ?”
กงกงหันกลับมารอรับคำสั่ง
“ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ… ให้เขาได้มีฝันร้ายไปอีกนานแสนนาน”
หลินเป่ยเฉินยกด้ามจับแส้ตีม้าขึ้นชี้หน้าเว่ยซือเซวียนและกล่าวว่า “ส่วนผู้ติดตามคนอื่นๆ ให้จับตัวไปใช้แรงงานขุดหิน”
“ข้าน้อยรับคำบัญชา”
เพียงกงกงโบกมือวูบเดียว
นายทหารในชุดเกราะสีเงินก็กรููเข้ามาราวกับฝูงหมาป่าและลากผู้ติดตามของเว่ยซือเซวียนที่ถูกต่อยสลบเหมือดออกไปทั้งหมด
ผู้ติดตามเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือจากตระกูลเว่ย มีตำแหน่งเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเว่ยซือเซวียน แต่ละคนถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ทว่ากลับไม่มีใครสามารถต้านทานพลังหมัดของกงกงได้เลยสักคน
เว่ยซือเซวียนพยายามยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและส่งเสียงคำรามว่า “เจิ้งหลงเซียง เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่? เหตุไฉนถึงปล่อยให้อันธพาลผู้นี้ข่มเหงรังแกข้า…”
ได้ยินดังนั้น เจิ้งหลงเซียงก็อยากจะหลบซ่อนตัวอยู่หลังกลุ่มคนนัก
หัวหน้ากลุ่มองครักษ์หลวงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน และเบือนหน้าหนีมองไปทางอื่น
ผู้ตรวจการเฉียนเฟยเซวียมองเหตุการณ์ทั้งหมดราวกับเฝ้าดูละครฉากหนึ่ง สีหน้าไม่ปรากฏความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
ทางด้านของโหลวซานกวนก็แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และกำลังจ้องมองไปยังกลุ่มคนตระกูลหลิงด้วยความสนอกสนใจ
บัดนี้ สองพี่น้องหลิงฉือและหลิงอู๋ถือเป็นแม่ทัพคนสำคัญคอยรับศึกศัตรูอยู่ที่เขตชายแดนเหนือ นับดูในจักรวรรดิเป่ยไห่ ไม่มีนายทหารหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันคนใดจะสามารถเทียบเคียงสองพี่น้องคู่นี้ได้อีกแล้ว พวกเขาต่างก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบมือกระบี่รุ่นใหม่ที่น่าจับตามองของจักรวรรดิ และว่ากันว่าในอนาคต สองหนุ่มผู้นี้ก็จะเป็นเสาหลักค้ำจุนประเทศชาติอย่างแน่นอน
โหลวซานกวนอยากรู้เป็นอย่างยิ่งว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดยอดฝีมือเช่นนี้จะมีระดับพลังสูงล้ำขนาดไหน
โหลวซานกวนย่อมคิดสงสัย เพราะหลิงจุนเซวียนกับภรรยาแทบไม่เคยไปปรากฏตัวที่นครหลวงเลยสักครั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ราชองครักษ์หนุ่มประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ชายชราผู้ที่จะต้องรับราชโองการในวันนี้กลับไม่ได้มาปรากฏตัว
ทางด้านหลิงจุนเซวียนกับภรรยาก็จ้องมองเว่ยซือเซวียนด้วยแววตาอาฆาตแค้น ทว่าพวกเขาทำเป็นมองไม่เห็น… แม้แต่ชินหลันซูผู้ปฏิเสธหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่คิดห้ามปรามเด็กหนุ่มไม่ให้ทำร้ายเว่ยซือเซวียนแม้แต่น้อย
คล้ายกับว่านางพอใจเสียด้วยซ้ำกับการกระทำของหลินเป่ยเฉินในวันนี้
ส่วนคนอื่นๆ ที่ยืนดูเหตุการณ์ นอกจากไม่พูดอะไรแล้ว สีหน้าของพวกเขายังเรียบเฉยอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ทุกคนต้องรอคอยหลินเป่ยเฉินในครั้งนี้ ไม่ได้มีแค่พวกของเว่ยซือเซวียนคนเดียวเท่านั้นที่ต้องเสียเวลา แม้แต่พวกของเกาเฉิงฮั่นก็ยังต้องเสียเวลารอคอยเช่นกัน แต่ท่านแม่ทัพใหญ่กลับไม่ได้แสดงสีหน้าอึดอัดขัดใจออกมาเลยสักนิด นี่ก็คงเพียงพอที่จะอธิบายอะไรต่ออะไรได้แล้วไม่ใช่หรือ?
“เฮอะ ยังจะกล้าพูดมากอีก”
หลินเป่ยเฉินสะบัดสายแส้ออกไปอีกครั้ง
สายแส้นั้นฟาดเข้าใส่ปากของเว่ยซือเซวียนอย่างแม่นยำ
“ขอเชิญทุกท่านเข้าสู่จวนด้านใน วันนี้อากาศหนาวเย็น อย่าเสียเวลาอยู่ข้างนอกกันเลยดีกว่า” หลิงจุนเซวียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เขายังคงเป็นบุรุษที่มีหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและสง่างาม ให้ความรู้สึกที่น่าเคารพนับถือ
และทุกคนก็เดินเข้าไปในจวนสกุลหลิง
จวนแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่ก่อสร้างอย่างสวยงาม ไม่ได้หรูหราราคาแพงทว่าดูมีเสน่ห์และมีมนต์ขลัง บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว
ในห้องรับแขก หญิงรับใช้นำถ้วยน้ำชามาส่งมอบให้แก่แขกผู้มาเยือน
หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อย สุดท้ายพวกเขาก็เข้าประเด็นสำคัญ
แต่หลิงไท่ซวียังคงไม่มาปรากฏตัว
ทางด้านหลิงเฉินก็ไม่ได้มาปรากฏตัวเช่นกัน ต้องรอให้เกาเฉิงฮั่นถามถึงนั่นเอง ผู้เป็นมารดาจึงต้องส่งคนไปตามตัวมาอย่างเสียมิได้
หลินเป่ยเฉินแอบใช้ข้อศอกสะกิดเกาเฉิงฮั่นเป็นการชมเชย
ท่านแม่ทัพผู้นี้รู้ใจเขาจริงๆ
เมื่อเห็นหน้าหลิงเฉิน หลินเป่ยเฉินก็ยิ้มกว้าง
เด็กสาวยังคงมีดวงตาสดใส ใบหน้าผุดผ่องบริสุทธิ์ ทำให้ทุกคนรับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของความเยาว์วัย
แม้แต่เฉียนเฟยเซวียก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้ “ได้ยินมานานแล้วว่าบุตรชายและบุตรสาวของตระกูลหลิง ล้วนแต่เป็นมังกรคู่หงส์ฟ้า เมื่อได้มาเห็นด้วยตาของตนเองวันนี้ ข้าก็รู้แล้วว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นความจริง”
“หึหึ แน่นอนขอรับ เพราะว่านางเป็นแฟน… เอ๊ย เป็นสหายของข้าเอง”
หลินเป่ยเฉินยิ่งรู้สึกดีมากกว่าเดิมเมื่อได้ยินผู้คนชื่นชมว่าที่ภรรยาในอนาคตของเขา
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังประชุมกันไป หลินเป่ยเฉินและหลิงเฉินก็พูดคุยกันกะหนุงกะหนิงราวกับไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา
สุดท้าย หลังจากดื่มน้ำชาหมดไปหลายถ้วย เฉียนเฟยเซวียก็ต้องเอ่ยถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาอีกครั้ง “เหตุไฉนวันนี้ข้าถึงยังไม่พบเจอท่านผู้อาวุโสหลิงไท่ซวีเลยขอรับ?”
ตระกูลหลิงได้รับการแจ้งเตือนล่วงหน้าแล้วว่าวันนี้พวกเขาต้องรับราชโองการ
หลิงจุนเซวียนยิ้มแย้มอย่างขมขื่นและตอบ “เมื่อคืนบิดาของข้าร่ำสุราหนักเกินไปหน่อย บัดนี้จึงยังไม่ตื่น ดังนั้น…”
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินคำตอบของอดีตท่านเจ้าเมืองหยุนเมิ่ง เขาก็รู้แล้วว่าชายชราคงป่วยเป็นโรคพิษนารีเรื้อรังอีกแล้ว
นับเป็นโรคของคนแก่ที่ไม่ยอมแก่อย่างแท้จริง
เฉียนเฟยเซวียถอนหายใจออกมายาวแรง ชัดเจนว่าทางหลิงไท่ซวีคงพอจะคาดเดาได้ว่าราชโองการนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ชายชราจึงหาทางหลีกเลี่ยงไม่ยอมมารับราชโองการนั่นเอง
แต่การหลบซ่อนตัวเช่นนี้ หาใช่วิธีแก้ปัญหาไม่
ผู้ตรวจการหนุ่มนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ลุกขึ้นยืน ออกคำสั่งว่า “ไม่เป็นไร ในเมื่อท่านผู้เฒ่ายังไม่พร้อมรับราชโองการ ข้าก็คงต้องส่งมอบราชโองการนี้ให้ท่านหลิงจุนเซวียนรับแทนท่านผู้เฒ่าไปก่อน… ขอเชิญทุกๆ คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปรอด้านนอก”
เฉียนเฟยเซวียไม่ให้เหตุผลอธิบายเพิ่มเติมสักคำเดียว
ทุกคนในห้องรับแขกยกเว้นหลินเป่ยเฉิน เกาเฉิงฮั่นและคณะตัวแทนจากวังหลวงอีกไม่กี่คน ต่างก็รีบลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ข้อความในราชโองการนี้คือการแต่งตั้งหลิงไท่ซวีขึ้นเป็นผู้ปกครองมณฑลเฟิงอวี่ มีหน้าที่นำกองกำลังทหารและฝ่ายการเมืองเข้าเจรจาต่อรองกับพวกชาวทะเล
ถึงจะไม่มีรายละเอียดระบุว่าการเจรจาครั้งนี้ คือการยอมเสียสละดินแดนเพื่อแลกกับความสงบสุข แต่ข้อความส่วนใหญ่ก็สื่อความหมายอย่างชัดเจนว่า ผู้รับราชโองการต้องกระทำในสิ่งที่ไม่มีใครอยากกระทำ
เมื่อรับฟังราชโองการจบลง หลิงจุนเซวียนก็มีสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
เขาเป็นคนฉลาด ย่อมเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในราชโองการฉบับนี้
“จุนเซวียน เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบรับราชโองการอีก”
ชายชราผมสีเทาผู้หนึ่งพูดออกมาด้วยสีหน้าเริงร่า
ในการแนะนำตัวก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินจำได้ว่าชายชราผู้นี้มีนามว่าหลิงซือถุย ดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสลำดับสามของตระกูลหลิงจากนครหลวง
หลิงจุนเซวียนลุกขึ้นจ้องมองม้วนกระดาษสีทองคำในมือเฉียนเฟยเซวีย ก่อนมีท่าทีลังเล และในดวงตาปรากฏความโกรธแค้นชัดเจน
หากไม่รับราชโองการ ปัญหาใหญ่ก็จะตามมา
แต่ถ้ารับราชโองการ ปัญหาใหญ่ก็จะเกิดขึ้นเช่นกัน
หลิงจุนเซวียนทราบดีว่าบิดาของตนเองผ่านอะไรมามากมายแล้ว บัดนี้ ท่านผู้เฒ่าเพียงหวังใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับธรรมชาติอันร่มรื่นพร้อมด้วยหญิงสาวผู้งดงามไปอีกนานแสนนาน แล้วทำไมองค์จักรพรรดิถึงต้องลากบิดาของเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยเล่า?
เฉียนเฟยเซวียไม่รีบร้อนเร่งเร้า
ในห้องรับแขกปกคลุมด้วยความเงียบ
บรรยากาศน่าอึดอัด
บางคนส่งเสียงหัวเราะในลำคอ
บางคนส่งเสียงฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ
“หน้าที่อันทรงเกียรติเช่นนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสหลิงไม่ต้องการ ถ้าอย่างนั้นมอบให้ข้าก็ได้ขอรับ ฮ่าฮ่าฮ่า เดี๋ยวข้าจะเป็นผู้ปกครองมณฑลนี้เอง”
หลินเป่ยเฉินพลันยื่นมือออกไปคว้าม้วนราชโองการมาถือไว้หน้าตาเฉย