ตอนที่ 846 วิธีพูดคุย
ก้อนเมฆลอยล่องนภา
เรือเหาะลอยตัวอยู่ในอากาศด้วยความสูงที่ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ 300 จั้งจากพื้นดินเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่น อุณหภูมิค่อนข้างต่ำ มวลอากาศรอบเรือเหาะปั่นป่วน
เรือเหาะเเล่นได้ไม่เร็ว
บางครั้งถึงกับมีการตกหลุมอากาศ
หลินเป่ยเฉินได้แต่สงสัยว่าเรือเหาะจะตกกลางทางหรือไม่
โชคยังดีที่เรือเหาะลำนี้มีม่านพลังสีน้ำเงินเข้มครอบคลุมอยู่รอบทิศทางเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนที่โดยสารอยู่บนเรือกระเด็นตกออกไปในอากาศด้านนอก
“นี่มันเครื่องบินเปิดประทุนชัดๆ ตื่นเต้นกว่านั่งเครื่องบินเฟิร์สท์คลาสตั้งหลายเท่าเลยแฮะ”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือและกวาดสายตามองรอบตัว
เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นภูมิประเทศด้านล่างได้อย่างชัดเจน เขาเห็นภูเขาเคลื่อนผ่านไปลูกแล้วลูกเล่า รวมไปถึงถนนและแม่น้ำ ผืนป่าและดงหญ้า บางครั้งถึงกับเห็นสัตว์ป่าออกหากินอยู่บนพื้นดินด้านล่างด้วยเช่นกัน
นี่คือครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้จ้องมองพื้นดินจากมุมมองนี้
กล่าวโดยสรุปก็คือ…
นี่เป็นประสบการณ์ที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
เรือเหาะลำนี้มีความยาวสิบวาและมีความกว้างแปดศอก พื้นผิวเป็นสีเงินซีดจาง ซึ่งเป็นสีประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ หลินเป่ยเฉินเดาไม่ออกเลยว่าวัสดุที่นำมาใช้สร้างเรือเหาะคืออะไร แต่น่าจะเป็นไม้พิเศษบางชนิด มันมีความหนา แกะสลักเป็นลวดลายอักขระสีดำเข้ม และม่านพลังก็พุ่งออกมาจากร่องอักขระเหล่านี้ กลายเป็นคลื่นพลังที่เกือบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าในการโอบอุ้มเรือเหาะให้ลอยอยู่ในอากาศ…
นี่คือหลักการทำงานคร่าวๆ ของเรือเหาะ
หลินเป่ยเฉินลองสอบถามข้อมูลจากเสี่ยวเย่และได้รู้ว่านี่คือเรือเหาะระดับสูงซึ่งมีต้นทุนในการสร้างแพงมาก
ในจักรวรรดิใหญ่อย่างเช่นจักรวรรดิเป่ยไห่ มีเรือเหาะรวมกันทั้งหมดไม่เกิน 1,000 ลำด้วยซ้ำ
หนึ่งในเหตุผลที่มีเรือเหาะน้อยเป็นเพราะว่าพาหนะชนิดนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในยุทธวิธีการรบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรือเหาะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องเดินทางระยะไกล หากต้องเดินทางระยะสั้นหรือโจมตีศัตรูทางอากาศ การขี่สัตว์อสูรที่สามารถบินได้ หรือการฝึกฝนวิชาจนมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ก็จะสามารถบินได้เช่นกัน และนั่นก็เป็นเรื่องที่ใช้ต้นทุนน้อยกว่ากันหลายเท่า
“น่าสนใจแฮะ สงสัยเดี๋ยวต้องลองหาซื้อเอาไว้นั่งเล่นสักลำแล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินแอบคิดอยู่ในใจ และมองหาช่องทางทำเงินโดยทันที
ระหว่างที่ยังเดินทางอยู่ในมณฑลเฟิงอวี่ บนพื้นดินด้านล่าง พวกเขาพบเห็นกองทัพของชาวทะเลอยู่ทุกหนทุกแห่ง
นั่นเอง หลินเป่ยเฉิน เสี่ยวเย่และผู้ร่วมคณะเดินทางคนอื่นๆ ถึงได้รู้ว่าในระหว่างที่นครเจาฮุยถูกปิดล้อม พวกชาวทะเลก็แอบยกกองทัพอ้อมเมืองของพวกเขาไปตีเมืองอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลัง แต่ด้วยผลของการลงนามในสัญญาสงบศึก กองทัพชาวทะเลเหล่านี้จึงต้องถอนกำลังกลับมา บางครั้งเรือเหาะก็จะลอยผ่านเมืองที่มีควันไฟลอยขึ้นเต็มท้องฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าเมืองด้านล่างถูกเผาไหม้ไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อมองสภาพเมืองที่เสียหายใหญ่หลวงเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินก็รู้ทันทีว่าสงครามครั้งนี้คงไม่จบง่ายๆ น่าสงสารชะตากรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองอื่นๆ ของมณฑลเฟิงอวี่เหลือเกิน เพราะพวกเขาไม่ได้โชคดีอย่างผู้คนที่อาศัยอยู่ในนครเจาฮุย
“ผู้คนตกตายดั่งใบไม้ร่วง แต่ถึงจะเป็นห่วงแค่ไหน เราก็คงช่วยไม่ได้ทั้งหมดสินะ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
หลังจากถอนหายใจแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกเศร้าซึมขึ้นมาทันที
เพราะไม่มีใครคอยปลอบใจเขาเลย
ตาเฒ่าหวังจงตั้งแต่ที่ขึ้นเรือเหาะมาก็ไม่รู้เลยว่าหายหัวไปไหน ป่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่
ทันใดนั้น…
“นับเป็นบทกวีที่ไพเราะยิ่งนัก”
เสียงที่น่าเคารพเสียงหนึ่งดังขึ้น
หลังจากนั้น
เฉียนเฟยเซวียก็หรี่ตามองและเดินยิ้มตรงเข้ามาหา
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปทันทีว่า “จริงหรือ? ข้าก็คิดอยู่แล้วว่ามันเป็นบทกวีที่ไพเราะ เสียแต่ว่าผู้คนไม่ค่อยเห็นด้วยเท่านั้น… เสี่ยวเซวีย ท่านมาหาข้าเช่นนี้มีเรื่องอะไร?”
นั่นคือบทกวีที่ไพเราะอย่างนั้นหรือ? เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่ามันจะเรียกเป็นบทกวีได้ด้วยซ้ำ
เฉียนเฟยเซวียตอบว่า “โชคร้ายที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ ‘หัวใจ’ รับฟัง”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ
เฉียนเฟยเซวียไม่สนใจเสียงหัวเราะหึๆ ของเด็กหนุ่มและพูดต่อ “การเดินทางเข้าสู่นครหลวงของคุณชายหลินในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการปล่อยเสือเข้าป่า ปล่อยมังกรลงสู่ทะเล ในนครหลวงต้องเกิดความโกลาหลแน่นอน ไม่ทราบว่าคุณชายหลินเตรียมการวางแผนอย่างไรไว้บ้างหรือไม่?”
วางแผน?
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นตาที่เขาไม่ได้สวมใส่ ก่อนตอบ “ย่อมวางไว้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าผู้ตรวจการเฉียนมีสิ่งใดจะแนะนำบ้างหรือไม่?”
เฉียนเฟยเซวียยังคงยิ้มตอบกลับมาว่า “คุณชายหลินแต่งบทกวีห่วงใยชีวิตของผู้คน ย่อมมีความทะเยอทะยานใหญ่หลวงในหัวใจ ข้าเดาว่าคุณชายคงอยากจะช่วยเหลือประชาชนให้อยู่ดีมีสุขมากกว่านี้…”
หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นว่า “ผิดแล้ว”
“ว่าไงนะ?”
เฉียนเฟยเซวียขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินถามว่า “ทำไมท่านถึงตัดสินใจมารับราชการล่ะ?”
“คุณชายหลินหมายถึงอะไร?”
เฉียนเฟยเซวียยิ่งงุนงงหนักมากกว่าเดิม
คำถามของเด็กหนุ่มหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “ในโลกนี้มีใครบ้างไม่รู้ว่าข้าคือบุตรชายของนักโทษหลบหนีคดี แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังมีพระราชโองการละเว้นโทษประหารชีวิตให้แก่ข้า เพราะเห็นว่าข้าเป็นบุคคลสมองเสื่อม แล้วท่านผู้ตรวจการเฉียนคิดหรือว่าบุคคลสมองเสื่อมเช่นข้าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนตาดำๆ เหล่านั้นได้สำเร็จ ที่ท่านบอกว่าข้ามีจิตใจห่วงใยอยากช่วยเหลือผู้อื่น ขอถามหน่อยเถอะว่าท่านเชื่อในสิ่งที่ตนเองพูดออกมาจริงหรือ?”
เฉียนเฟยเซวียขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะพันกันแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้…
พูดจาดีๆ ไม่ต้องยอกย้อนไม่ได้หรือ?
“เสี่ยวเซวีย…”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง
แต่เฉียนเฟยเซวียกลับสะดุ้งโหยงเหมือนสุนัขถูกเหยียบหาง ก่อนขัดจังหวะขึ้นว่า “ได้โปรดอย่าเรียกข้าเช่นนั้น”
“อ้อ เหล่าเซวีย…”
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกใหม่
เฉียนเฟยเซวียพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
เอาเถอะ
อย่างน้อยก็ฟังดูรื่นหูมากกว่าเสี่ยวเซวียละนะ
“นับว่าคุณชายหลินมีความคิดลึกซึ้ง ข้าตามไม่ทันจริงๆ”
นี่คือครั้งแรกที่ผู้ตรวจการหนุ่มรู้สึกว่าตนเองคุยกับหลินเป่ยเฉินไม่รู้เรื่อง มันเหมือนกับว่าเขากับเด็กหนุ่มพูดคุยกันคนละภาษา “คงจะมีเพียงแต่ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลเช่นเดียวกับคุณชายหลินเท่านั้น ถึงจะล่วงรู้ว่าคุณชายคิดอะไรอยู่…”
“เดี๋ยวก่อนนะ”
หลินเป่ยเฉินพูดแทรกขึ้นมาทันที “นี่ท่านกำลังจะพูดว่าองค์จักรพรรดิก็สมองเสื่อมเช่นข้าเหมือนกันหรือ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเฉียนเฟยเซวียหายวับไปทันที
เขาจะหมายความเช่นนั้นได้อย่างไร?
นี่เขากำลังชมเชยหลินเป่ยเฉินอยู่ต่างหาก
“ข้าหมายถึงว่าฝ่าบาททรงมีวิสัยทัศน์กว้างไกลที่ไว้ชีวิตคุณชาย…” เฉียนเฟยเซวียพยายามอธิบาย
แต่หลินเป่ยเฉินกลับพูดตัดบทว่า “ถ้าอย่างนั้น ท่านก็คงหมายความว่ารอบตัวขององค์จักรพรรดิ คงมีแต่บุคคลสมองเสื่อมสินะ?”
เฉียนเฟยเซวียแทบจะสำลักน้ำลายตายแล้ว
เจ้าเด็กคนนี้นี่มัน…
จะคุยกันดีๆ ไม่ได้เลยหรือไร?
“สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดก็คือ ในเมื่อคุณชายหลินมีจิตใจห่วงใยประชาชนเช่นนี้ เมื่อไปถึงนครหลวงแล้ว ก็สมควรคบหาแต่กับผู้คนที่มีจิตใจห่วงใยประชาชนเช่นกัน…” ยิ่งเฉียนเฟยเซวียพูดคุยกับหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ามากขึ้นเท่านั้น จึงรีบตรงเข้าประเด็นสำคัญทันที
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าถามกลับไปว่า “อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านคงอยากจะให้ข้าเลือกอยู่ฝ่ายเดียวกับท่านสินะ?”
ยังไม่ทันจะเดินทางถึงนครหลวง เด็กหนุ่มกลับต้องเผชิญหน้ากับเกมการเมืองเร็วกว่าที่คิด
และเขาคงทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองทุกอย่างให้รอบด้านที่สุด
เมื่อมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง เฉียนเฟยเซวียก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาอย่างชัดเจน มือที่เขาซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อถึงกับกำแน่นจนข้อนิ้วขาวโพลน
เส้นเลือดบนขมับของผู้ตรวจการหนุ่มเต้นตุบๆ
“ข้าก็แค่อยากมาแบ่งปันข้อมูลกับคุณชายหลินเท่านั้น”
เฉียนเฟยเซวียพยายามสงบจิตใจไม่สบถคำหยาบออกไปและทำได้เพียงยิ้มแย้มเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า…”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะด้วยความขบขัน “ท่านปั้นหน้ายิ้มแย้มออกมาเช่นนี้ แต่ในใจคงก่นด่าข้าไปถึงรุ่นบรรพบุรุษแล้วกระมัง”
เส้นเลือดบนขมับของเฉียนเฟยเซวียปูดโปนจนแทบจะระเบิดแตก
หลินเป่ยเฉินพูดอีกครั้งว่า “ท่านใจร้อนเกินไปแล้ว ท่านใจร้อนเกินไปจริงๆ”
เฉียนเฟยเซวียสูดหายใจลึกอยู่พักใหญ่ เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาจึงพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มต่อจากเดิม “คุณชายหลิน เราจะพูดคุยกันดีๆ ไม่ได้เชียวหรือ? อย่างน้อยท่านก็สมควรเปิดโอกาสให้ข้าได้ยื่นข้อเสนอบ้าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในนครเจาฮุย พวกเราก็สามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นไม่ใช่หรือ? นั่นถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เมื่อเริ่มต้นได้ดีแล้วก็ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง จริงไหม?”
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าอย่างผิดหวัง แล้วตอบกลับมาว่า “ดูเหมือนท่านจะยังไม่รู้จักข้าดีพอ ข้าไม่ใช่บุคคลที่ซับซ้อนอันใดเลย”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็ปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น “หากจะพูดคุยกับข้าจงอย่าใช้ความรู้สึก แต่จงพูดคุยกับข้าด้วยเงินทองเท่านั้น!!”