บทที่ 858 ข้าไม่พอใจ
เจ้าหน้าที่เจาห่าวก้มหน้ามองกระบี่ที่เสียบทะลุหน้าอกตนเอง อ้าปากออกคล้ายกับจะพูดอะไรออกมา
วูบ!
หลิวเหวินฮุยชักกระบี่กลับมาและตวัดกระบี่อีกครั้ง
หัวของเจาห่าวลอยกระเด็นออกไป
หลิวเหวินฮุยยังไม่หายโกรธแค้น นางลอยตัวขึ้นไปในอากาศและตวัดเท้าเตะหัวคนตายสุดแรงเกิด
“เหวินฮุย…”
หลี่ซิวเยวียนอยากจะเข้าไปกุมมือบุคคลที่ตนเองหลงรักเหลือเกิน
หลิวเหวินฮุยทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน ทิ้งกระบี่ในมือลงและประสานมือคำนับด้วยความนอบน้อม “ขอบคุณท่านผู้สูงส่งที่ช่วยชีวิตข้าน้อย”
หลินเป่ยเฉินโบกมือเหมือนไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ “ตัวคนเดียวข้าคงทำไม่สำเร็จหรอก ที่ข้าสามารถช่วยเหลือทุกคนได้ก็เพราะได้รับการสนับสนุนที่กล้าหาญจากพวกของหลี่ซิวเยวียนและคนอื่นๆ ท่านควรไปขอบคุณพวกเขามากกว่า ระหว่างที่ท่านติดอยู่ในคุกของสถานทูต สหายของท่านเดินขบวนประท้วงอย่างไม่ยอมแพ้ และหากไม่ได้เป็นเพราะมีการเดินขบวนประท้วงในวันนี้ ข้าก็คงไม่มีทางรับรู้เรื่องราวของท่านได้เลย…”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็ค่อยๆ หันหน้ามาสบตามองเด็กสาวผู้ถูกทรมานและกล่าวต่อด้วยสีหน้าเยือกเย็นว่า “เมื่อสักครู่ที่ศิษย์พี่ซิวเยวียนยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือท่าน ท่านเองก็คงได้เห็นแล้วกระมัง?”
หลิวเหวินฮุยมีสีหน้าอ่อนโยนลงในทันตา
นางหันกลับไปมอง
หลี่ซิวเยวียนยังคงยืนอยู่ที่เดิมในความเงียบสงบ บนใบหน้าของเขามีแต่ความวิตกกังวลและห่วงใย ราวกับว่าในสายตาของเด็กหนุ่มไม่มีใครอีกแล้วนอกจากหลิวเหวินฮุยคนเดียวเท่านั้น
เด็กสาวประสานมือคำนับหลินเป่ยเฉินอีกรอบ ก่อนจะหมุนตัวกลับไปสวมกอดกับหลี่ซิวเยวียน หลังจากนั้น จึงหันไปสวมกอดบรรดาสหายร่วมสำนักทีละคน
ส่วนศิษย์สาวอีกสามชีวิตก็ฟื้นคืนจากความเจ็บปวดแล้วเช่นกัน
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าหลี่ซิวเยวียนคือหนึ่งในผู้นำมือกระบี่รุ่นใหม่ของเมืองเป่ยไห่อย่างแท้จริง
นอกจากมีความเป็นผู้นำแล้ว หลี่ซิวเยวียนยังมีจิตใจที่ห้าวหาญเด็ดเดี่ยว ถึงรู้ดีว่าการเดินขบวนประท้วงในวันนี้มีอันตรายใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่คิดยอมแพ้
“ท่านผู้สูงส่ง ไม่ทราบว่าพวกข้าน้อยควรทำอย่างไรต่อไปดี?”
หลี่ซิวเยวียนเดินเข้ามาสอบถามความคิดเห็นจากหลินเป่ยเฉิน
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตเกินกว่าที่กลุ่มผู้ประท้วงคาดคิดเอาไว้
หลี่ซิวเยวียนมั่นใจว่าการช่วยเหลือนักโทษในวันนี้คงมีความยากลำบากแสนสาหัส
แต่ที่ไหนได้…
สวรรค์กลับส่งผู้พิทักษ์ลงมาช่วยเหลือพวกเขา
แต่สถานการณ์หลังจากนี้คงเลวร้ายมากกว่าเดิม และผลพวงที่ตามมาจากการทำลายสถานทูตจักรวรรดิจี้กวงก็คงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน
“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่หลี่ อย่าเรียกข้าว่าท่านผู้สูงส่งเลย ตัวข้านั้นเป็นเพียงศิษย์จากสถานศึกษากระบี่รุ่นเยาว์ ปีนี้เพิ่งจะร่ำเรียนอยู่ปีที่สาม และข้าก็ไม่ได้สูงส่งมาจากไหน ข้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็โบกมือบอกว่า “ท่านเรียกข้าว่าน้องหลิน…เอ๊ย เรียกข้าว่าน้องกู่ก็ได้”
หลี่ซิวเยวียนกระพริบตาปริบๆ
ใครเชื่อก็คงเสียสติแล้ว
มือกระบี่รุ่นเยาว์ที่ศึกษาอยู่ในชั้นปีที่สามคนไหนบ้างจะมีฝีมือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นว่าท่านผู้สูงส่งคนนี้มีความถ่อมตัวมากมายนัก
ถือเป็นเกียรติในชีวิตของหลี่ซิวเยวียนที่ได้พานพบกับบุคคลเช่นนี้
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้งว่า “ทุกคนแยกย้ายกันไปเถอะ เรื่องราวหลังจากนี้คงไม่มีอะไรแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางเจาผู้บังคับบัญชาของหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ยก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะเขากลัวเหลือเกินว่ายอดฝีมือชุดขาวท่านนี้จะบุกเข้าไปไล่ล่าสังหารผู้คนในสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง และนั่นจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาไม่รู้จบ… ลำพังแค่ความเสียหายที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว
“แต่ว่า…เอ่อ น้องชาย คือแบบว่า…”
หลี่ซิวเยวียนอดพูดออกมาไม่ได้ “หลังจากนี้ข้าขอเจอท่านอีกได้หรือไม่?”
“ย่อมได้อยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกประทับใจในตัวของแกนนำกลุ่มผู้ประท้วงเหล่านี้มาก จึงตอบรับโดยไม่ลังเล “เอาเป็นว่าหากพวกท่านอยากจะตามหาตัวข้า ให้ไปแจ้งแก่โรงเตี๊ยมที่อยู่บนถนนอู่ถงสาย 36 บอกว่าต้องการพบกู่เทียนเล่อหรือไม่ก็เจ้าตือโป๊ยก่ายก็ได้ เดี๋ยวเด็กรับใช้ในโรงเตี๊ยมก็จะมาตามตัวข้าไปเอง”
หลินเป่ยเฉินจำได้ดีว่าจวนที่พักของเขานั้นตั้งอยู่ใกล้กับถนนที่ชื่อว่าอู่ถง
และบนถนนเส้นนั้นก็เป็นที่ตั้งของโรงเตี๊ยมอวี่เจี้ยน ซึ่งมีกิจการรุ่งเรืองพอสมควร
หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าเดี๋ยวเดินทางกลับที่พักเมื่อไหร่ เขาก็จะแวะไปแจ้งต่อเถ้าแก่โรงเตี๊ยมสักหน่อยว่า หากพวกของหลี่ซิวเยวียนมาตามหาตัวเขา ก็ให้ส่งเด็กรับใช้มาบอกด้วย
เด็กหนุ่มรู้สึกดีกับการได้สวมบทบาทเป็นกู่เทียนเล่อ จึงไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตนเองในตอนนี้
“ถนนอู่ถง โรงเตี๊ยมอวี่เจี้ยน?” หลี่ซิวเยวียนทวนคำด้วยความดีใจ เมื่อจดจำชื่อถนนและโรงเตี๊ยมได้แล้ว เขาก็รีบบอกลาหลินเป่ยเฉินโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้น ขบวนผู้ประท้วงกว่าหนึ่งหมื่นคนก็แยกย้ายสลายตัวไปอย่างรวดเร็วราวกับหยดน้ำที่ตกหล่นลงไปในมหาสมุทร
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองหน้าจางเจา ผู้บังคับบัญชาหน่วยชิงเจี้ยนเหว่ย ก่อนจะถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “องครักษ์จาง รบกวนช่วยหยุดตั้งคำถามในใจก่อนได้หรือไม่ เหตุไฉนท่านถึงต้องสงสัยในตัวข้ามากมายขนาดนี้?”
จางเจาพูดอะไรไม่ออก
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนกระซิบตอบว่า “กราบเรียนท่านผู้สูงส่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ท่านรีบหนีไปให้เร็วที่สุดคงดีกว่า ข้าจะเขียนรายงานว่าไม่พบเห็นการปรากฏตัวของท่าน และถ้าเป็นไปได้ ท่านก็จงรีบหลบหนีออกจากเมืองเป่ยไห่เสียเถิด”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมาทำท่าดันแว่น
คิดจะโทษว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นฝีมือของเขาอย่างนั้นสินะ?
ถือว่าฉลาดใช้ได้
การตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ ในวันนี้ของจางเจาก็ทำให้หลินเป่ยเฉินประหลาดใจเช่นกัน
เขานึกว่าในนครหลวงคงมีแต่พวกองครักษ์ที่ละโมบโลภมาก กระหายแต่ลาภยศเงินทองจนไม่สนใจสิ่งอื่นใด
คิดไม่ถึงเลยว่ากลับยังมีบุคคลอย่างจางเจาที่ยินดียื่นมือเข้าช่วยเหลือกลุ่มผู้ประท้วงในภาวะอันตราย และเพื่อปกป้องเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านั้น จางเจาก็ถึงกับชักกระบี่ออกมาห้ำหั่นกับผู้คนของจักรวรรดิจี้กวงด้วยตนเอง
นี่สิถึงเรียกว่ามือกระบี่ตัวจริง
ควรค่าที่จะดำรงตำแหน่งองครักษ์
“ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ ต่อให้แผ่นฟ้าถล่มลงมา ข้าก็ไม่กลัว”
หลินเป่ยเฉินกวักมือเรียกให้องครักษ์หนุ่มเข้ามาใกล้ๆ และกระซิบว่า “ความจริงนั้น กู่เทียนเล่อไม่ใช่ชื่อจริงของข้า เพราะข้ามีตัวตนที่แท้จริงยิ่งใหญ่มากเกินไปจนต้องใช้นามแฝงปิดบังเอาไว้ และหากท่านรู้ชื่อจริงของข้า…ท่านก็อาจจะตกใจจนถึงขั้นหัวใจวายตายได้เลยทีเดียว”
จางเจาทั้งสงสัยและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
ปรากฏว่ากู่เทียนเล่อเป็นแค่ชื่อปลอม
เขาก็คิดอยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มคนนี้ต้องมีที่มาที่ไปไม่ธรรมดา
หรือว่าเด็กหนุ่มจะเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพลังระดับเซียนประจำจักรวรรดิ?
หรืออาจจะเป็นหนึ่งในทายาทของสามตระกูลใหญ่?
ถ้าอย่างนั้นผลกระทบที่ตามมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็อาจจะไม่รุนแรงอย่างที่คิดแล้ว
จางเจาเอียงหูคอยรับฟัง
เด็กหนุ่มลดเสียงลงกระซิบแผ่วเบามากกว่าเดิม “ความจริงนั้น ข้าคือหลินเป่ยเฉิน”
“ว่าไงนะ?”
จางเจาขมวดคิ้วด้วยความมึนงง “ใครนะขอรับ?”
ได้ยินไม่ถนัดหรือไงนะ?
หลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าฉงนสงสัยของจางเจาก็ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้าด้วยความไม่สบอารมณ์
องครักษ์ผู้ดูแลความสงบสุขในนครหลวงคนนี้หูตึงหรืออย่างไร?
ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายได้ยินไม่ชัดเจน หลินเป่ยเฉินจึงอธิบายต่อไปด้วยความอดทน “หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาอันดับหนึ่งของเมืองหยุนเมิ่ง หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือข้าเป็นเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดในจักรวรรดิ มีสถานะเป็นผู้ปกครองมณฑลเฟิงอวี่ มีตำแหน่งเป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ และหลินเป่ยเฉินคนนี้ก็ยังเป็นศิษย์ของอดีตเซียนกระบี่ชื่อดังอีกด้วย”
จางเจาขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า
แสดงออกถึงความมึนงงโดยสมบูรณ์
ชื่อของเด็กหนุ่มที่มีตำแหน่งยาวเหยียดคนนี้ เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
จางเจาสาบานได้ว่าตนเองไม่เคยได้ยินชื่อหลินเป่ยเฉินมาก่อนจริงๆ
สีหน้าของเขาทำให้หลินเป่ยเฉินยิ่งไม่เข้าใจหนักมากกว่าเดิม
ให้ตายสิ
ทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไงกัน?
จะบอกว่าหมอนี่ไม่เคยได้ยินชื่อเขาอย่างนั้นหรือ?
เฮอะ
นับเป็นองครักษ์ที่ใช้การไม่ได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจที่จะพูดคุยกับจางเจาอีกต่อไป
“พาคนของท่านไสหัวกลับไปได้แล้ว”
เด็กหนุ่มโบกมือไล่ด้วยความรำคาญใจ “หากมีเรื่องใดสำคัญ ส่งคนไปตามตัวข้าได้ที่จวนซางจั้วหยวน ต่อให้ฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ข้าก็จะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ขอแค่ท่านรายงานทุกอย่างมาตามความเป็นจริงก็พอแล้ว”
จวนซางจั้วหยวน?
จางเจารู้จักที่นั่น
เพราะมันเป็นสถานที่ซึ่งมีไว้เพื่อรับรองแขกต่างบ้านต่างเมืองเท่านั้น
หรือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นผู้ส่งสาส์นจากจักรวรรดิอื่น?
“ข้าน้อยรับคำบัญชา และขอขอบคุณท่านผู้สูงส่งที่ช่วยเหลือชีวิตของพวกเราเอาไว้ในวันนี้”
เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหลินเป่ยเฉินสะบัดหน้าหนีอย่างไม่พอใจ เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกนอกจากยกมือส่งสัญญาณถอนกำลังหน่วยองครักษ์ของตนเองกลับไป
“เดี๋ยวก่อน”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ห้ามเปิดเผยชื่อจริงของข้าให้ผู้ประท้วงเหล่านั้นรู้เด็ดขาด”
จางเจารีบตอบรับโดยเร็ว “รับทราบขอรับ ข้าน้อยจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แน่นอน”
หลังจากนั้น จางเจาและผู้ใต้บังคับบัญชาก็ถอนกำลังกลับไปทั้งหมด
หน้าประตูสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงซึ่งมีสภาพเละเทะในขณะนี้จึงหลงเหลืออยู่เพียงหลินเป่ยเฉิน เซียวปิง กับสองสาวรับใช้เฉียนนเหมยเฉียนเจินเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าผู้ติดตามทั้งสามคนของเขานำหน้ากากเงินครึ่งซีกออกมาสวมปิดบังใบหน้าของตนเองตั้งแต่เมื่อไหร่
“ท่านพี่ขอรับ ใครคือตือโป๊ยก่ายหรือ?”
เซียวปิงหยิบน่องไก่ออกมาแทะขณะถามด้วยความสงสัย “ทำไมท่านถึงเอ่ยชื่อคนผู้นี้ออกมา เขาคือคนที่พวกเรารู้จักหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาถลึงตาใส่เด็กหนุ่มร่างอ้วน “ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ? มันเป็นชื่อปลอมของเจ้าไง”
เซียวปิงขมวดคิ้วด้วยความฉงน “แต่ข้าจำได้ท่านบอกว่าข้ามีชื่อปลอมคือทาเคชิ คาเนชิโร่นะขอรับ”
“อ้าวเหรอ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรกๆ ด้วยความสงสัย “งั้นข้าก็จำผิดน่ะสิ? แต่ว่า… ช่างมันเถอะ นี่หาใช่เรื่องสำคัญไม่ เกิดทาเคชิตัวจริงเขามารู้ว่าเจ้าเอาชื่อมาใช้คงได้ช้ำใจตายกันพอดี เอาเป็นว่าหลังจากนี้ เจ้ามีชื่อปลอมคือตือโป๊ยก่ายก็แล้วกันนะ”
“รับทราบขอรับ”
เซียวปิงพยักหน้า
“นายท่านเจ้าคะ หลังจากนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
เฉียนเหมยถามออกมาด้วยความตื่นเต้นและกระตือรือร้น
นางย่อมเข้าใจความคิดของนายท่านดี เมื่อนายท่านนำหน้ากากออกมาสวมใส่เช่นนี้ ก็หมายความว่าเรื่องราวคงไม่จบลงง่ายดายแน่นอน
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองทางสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง ก่อนจะแสยะยิ้มให้แก่คนของสถานทูตที่ยืนตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
รอยยิ้มของเด็กหนุ่มช่างดูน่าขนลุกยิ่งกว่าความตาย
“มาถึงที่นี่ทั้งทีจะกลับไปมือเปล่าได้อย่างไร”
เขายกมือโบกสะบัดส่งสัญญาณ “เร็วเข้า รีบเข้าไปดูข้างในกันดีกว่าว่ามีของมีค่าอะไรบ้างหรือไม่”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พาผู้ติดตามของเขาทั้งสามคนหายเข้าไปในสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวง
ไม่มีใครกล้าสกัดขัดขวาง
ศพของมือธนูมากมายยังนอนอยู่เกลื่อนพื้นดินและศพของเจ้าหน้าที่เจาห่าวก็ยังคงจมกองเลือดอยู่ที่เดิม
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
พวกของหลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากสถานทูตด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี ไม่ต่างไปจากฝูงหมาป่าที่แอบเข้าไปกินไก่ในเล้าของชาวบ้านได้สำเร็จ
ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ไม่รู้เลยว่าตนเองควรพูดอย่างไรดี
เด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มนี้เป็นผู้ใดกัน?
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
อสูรลมกรดระดับสูงตัวหนึ่งก็ฉุดลากรถม้าที่หรูหราคันหนึ่งเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูสถานทูตด้วยความเร็วสูงสุด
“ผู้ใดมาอาละวาดที่สถานทูตของข้า?”
ท่านทูตของจักรวรรดิจี้กวงผู้สวมใส่เสื้อคลุมสีทองคำกระโดดลงมาจากรถม้าและมองสภาพที่พังยับเยินของประตูสถานทูตด้วยความโกรธแค้น
วันนี้เขาเดินทางไปพบบุคคลสำคัญ แต่ก็ถูกตามตัวให้กลับมารับมือกับกลุ่มผู้ประท้วง แผนการทุกอย่างถูกวางไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะรู้เลยว่าระหว่างทางกลับมาที่นี่ ท่านทูตกลับได้รับทราบข่าวว่ามีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในสถานทูตของตนเอง
“ผู้คนอยู่หนใด? เจ้าเศษสวะเจาห่าวไปตายอยู่ที่ไหน?”
ท่านทูตคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
เจ้าหน้าที่ของสถานทูตที่เหลืออยู่ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะมีคนหนึ่งชี้มือไปที่สนามหญ้าและรายงานว่า “กราบเรียนใต้เท้า…ท่านองครักษ์เจาห่าวตายอยู่ที่นั่นขอรับ”
ท่านทูตของจักรวรรดิจี้กวงหันไปมองตามนิ้วมือของเจ้าหน้าที่หนุ่ม
และได้เห็นศพไร้ศีรษะของเจาห่าว
ตายแล้วจริงๆ หรือ?
ท่านทูตหันกลับมามองหน้าเจ้าหน้าที่ผู้รายงานและถามด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าคิดว่าข้าอารมณ์ดีนักหรือ?”
เจ้าหน้าที่หนุ่มพูดอะไรไม่ออก
ก็ท่านทูตเป็นคนถามเองว่าองครักษ์เจาห่าวตายอยู่ที่ไหน เขาก็แค่รายงานสถานที่ตายให้ทราบเท่านั้นเอง
“ผู่ปู้เฉิงอยู่ที่ไหน? เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์ประจำสถานทูต ทำไมถึงไม่ออกมาจัดการกับผู้บุกรุก?” ท่านทูตยังคงคำรามออกมาด้วยความไม่พอใจ
นั่นเป็นจังหวะเดียวกับที่มีคนช่วยกันหามร่างของผู่ปู้เฉิงออกมาจากใต้กองเศษหิน และขณะนี้ บนใบหน้าของผู่ปู้เฉิงก็ยังคงมีรอยเท้าประทับอยู่เด่นหรา
ท่านทูตจากจักรวรรดิจี้กวงหรี่ตาลงทันที
เขารู้แล้วว่ามีสิ่งที่เกินการควบคุมของผู่ปู้เฉิงได้เกิดขึ้นแล้ว
“ชักจะมากเกินไปแล้ว” ท่านทูตตะโกนลั่น “เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ แน่ จักรวรรดิเป่ยไห่ต้องมีคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับพวกเรา”