ในอดีตเพราะไม่อาจไปอยู่ที่ยอดเขาจิ่วอี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าชีวิตนี้เจียงซ่างเจินคงไม่มีวาสนากับคำว่าเจ้าสำนักแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าอันดับแรกก็เกิดเรื่องไม่คาดฝัน เขาได้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างแทนที่บรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักใบถงที่ทรยศมาเข้าร่วมกับสำนักกุยหยก ตอนนี้ก็ยิ่งได้แหกกฎกลายเป็นเจ้าสำนักกุยหยก
คนผู้หนึ่งที่ไปก่อเรื่องในอุตรกุรุทวีปจนหมากระโดดไก่บินเช่นนี้ พอได้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง อยู่ดีๆ กลับเก็บหางทำตัวเป็นคนสำรวมขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วพอได้เป็นเจ้าสำนักกุยหยก ในขณะที่ทุกคนต่างก็คิดว่าเจียงซ่างเจินจะต้องลงมือกับสำนักใบถงนั้นเอง เขากลับเดินทางไปเยือนสำนักใบถงที่คลอนแคลนอยู่ท่ามกลางลมฝน เป็นฝ่ายขอผูกสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกับอีกฝ่าย
หลี่ฝูฉวีถาม “หลิวเหล่าเฉิงจะกลับมาเมื่อไหร่? เขาจะร่วมมือกับเจ้าสำนักเหวยมาเล่นงานเจ้าและข้าหรือไม่?”
หลิวจื้อเม่ายิ้มกล่าว “เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป แล้วก็ประเมินข้าสูงไปหรือไม่? หรือว่าดูแคลนหลิวเหล่าเฉิง ยิ่งดูแคลนเจ้าสำนักเหวย?”
หลี่ฝูฉวีมีโทสะเล็กน้อย ทว่าต่อมาก็พยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “คนฉลาดอย่างพวกเรามักจะคิดว่าทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่ผลประโยชน์ที่สามารถฉกฉวยมาได้ตามใจชอบ ดังนั้นจึงคิดจะทำเรื่องบางอย่างให้มากกว่าเดิม แต่อันที่จริงคนที่ฉลาดยิ่งกว่าก็น่าจะรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเรื่องอะไรที่ตัวเองทำไม่ได้”
หลี่ฝูฉวีใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะก็เอ่ยว่า “ข้าสู้เจ้าไม่ได้”
หลิวจื้อเม่ายิ้ม “ไม่ใช่ว่าเจ้าฉลาดสู้ข้าไม่ได้ ก็แค่ผู้ฝึกลมปราณที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระมักจะชอบคิดมาก เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักใหญ่ไม่มีเรื่องใดให้ต้องเป็นกังวล บนเส้นทางการฝึกตนก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนจิตใจมากนัก แค่ทำไปตามลำดับขั้นตอนก็เดินขึ้นฟ้าได้ทีละก้าวแล้ว แต่ผู้ฝึกตนอิสระกลับไม่เหมือนกัน เรื่องเล็กเรื่องหนึ่ง หากคิดให้ง่ายเข้าไว้ก็อาจกลายเป็นหายนะใหญ่ที่มิอาจแก้ไข เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องที่ทำให้ข้าวุ่นวายใจที่สุดในชีวิตนี้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังปล่อยวางไม่ได้ คือเรื่องอะไร?”
หลี่ฝูฉวีส่ายหน้า
หลิวจื้อเม่าเอ่ย “นั่นคือหลังจากที่ข้ากลายเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม ได้ทำอาวุธวิเศษระดับล่างชิ้นหนึ่งเสียหายเพราะความโง่ของตัวเอง ตอนนั้นข้ารู้สึกเพียงว่าฟ้าดินมืดมน ชีวิตนี้คงจบเห่แน่แล้ว เกือบจะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีกเลย คิดว่ามหามรรคาขาดสะบั้นอย่างสิ้นเชิงแล้ว หลังจากนั้นมาต่อให้มีอันตรายรายล้อม ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยหมดอาลัยตายอยากเท่าครั้งนั้นมาก่อน”
หลี่ฝูฉวีกล่าวอย่างจริงใจ “ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ”
หลังจากที่เหวยอิ๋งเจ้าสำนักคนใหม่มาถึงเกาะชิงเสียก็พักอยู่ในเรือน เก็บตัวเงียบไม่ออกมาข้างนอก
เมื่อไม่มีอะไรทำ เหวยอิ๋งก็สร้างม้วนภาพขุนเขาสายน้ำขึ้นมาในห้องโถงใหญ่ แล้ววาดวงกลมขีดเขียนลงไปด้านบน
ยกตัวอย่างเช่นวงกลมไว้ที่ภูเขาพีอวิ๋นขุนเขาเหนือและสำนักกระบี่หลงเฉวียน วงขุนเขากลางกับสำนักศึกษากวานหูไว้ด้วยกัน ขุนเขาใต้กับนครมังกรเฒ่า ขุนเขาตะวันออกกับภูเขาเจินอู่ ขุนเขาตะวันตกกับศาลลมหิมะ สกุลเจียงอวิ๋นหลินกับแคว้นชิงหลวน…
เหวยอิ๋งเงยหน้า ยิ้มเอ่ย “ผู้ถวายงานหลิวไม่จำเป็นต้องถือสากฎระเบียบยิบย่อย เข้ามาในจวนโดยตรงได้เลย”
หลิวเหล่าเฉิงมาถึงนอกห้องโถงใหญ่ เหวยอิ๋งจึงโบกมือสลายม้วนภาพวาดนั้นไป
หลิวเหล่าเฉิงมองม้วนภาพแค่แวบเดียว
เหวยอิ๋งนั่งลงพร้อมกับหลิวเหล่าเฉิง เหวยอิ๋งไม่ได้นั่งบนตำแหน่งประธาน แต่นั่งขนาบข้างซ้ายขวากันอย่างเท่าเทียม
หลิวเหล่าเฉิงเอ่ย “ไม่ได้ต้อนรับเจ้าสำนัก นับว่าเสียมารยาทอย่างยิ่งแล้ว”
เหวยอิ๋งยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ แค่ถามใจตัวเองก็พอ”
แม้ว่าหลิวเหล่าเฉิงจะลงนามพันธมิตรขุนเขาที่เมืองหลวงต้าหลีเอาไว้ แต่เหวยอิ๋งเป็นเจ้าสำนักคนใหม่ มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนั้น ไม่ถือว่าผิดสัญญา
เหวยอิ๋งฟังแล้วก็เอ่ยว่า “ราชครูชุยช่างทำให้คนเลื่อมใสนัก ในเมื่อสำนักเจินจิ้งเลือกที่ตั้งเป็นแจกันสมบัติทวีป แน่นอนว่าควรต้องทุ่มเทสุดแรงกายแรงใจ นอกจากทิ้งเมล็ดพันธ์มหามรรคาบางส่วนเอาไว้ ส่วนที่เหลือหากควรออกเงินก็ออกเงิน ควรออกกำลังคนออกแรงก็ยิ่งเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ผู้ถวายงานหลิวสามารถรายงานกลับไปที่ฮ่องเต้ต้าหลีได้เลยว่า นอกเหนือจากเมล็ดพันธ์มหามรรคาเหล่านั้น ผู้ฝึกตนสำนักเจินจิ้งทุกคนซึ่งรวมถึงข้า หลิวเหล่าเฉิง หลี่ฝูฉวี และกองกำลังใต้อาณัติทั้งหมด ล้วนยินดีให้ราชสำนักต้าหลีเรียกตัวไปใช้งาน”
หลิวเหล่าเฉิงเงียบงันไปชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืนกุมหมัด “เจ้าสำนักมองการณ์ไกล”
เหวยอิ๋งลุกขึ้นยิ้มกล่าว “ผู้ถวายงานหลิว มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะขอให้ช่วย”
หลิวเหล่าเฉิงไม่แม้แต่จะถามว่าเป็นเรื่องอะไร เขาพยักหน้าตอบรับทันที
สุดท้ายเหวยอิ๋งหยิบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งขึ้นมาจากบนโต๊ะ ออกจากจวนไปกับหลิวเหล่าเฉิง ไปพบสตรีผู้หนึ่งที่เดินเล่นอยู่ริมน้ำของเกาะกงหลิ่ว
สุยโย่วเปียน
อันที่จริงหลิวเหล่าเฉิงประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าสำนักหนุ่มผู้นี้ถึงต้องการพบสุยโย่วเปียน แล้วยังจะต้องปรากฏตัวพร้อมกับตนด้วย
เหวยอิ๋งเดินไปหยุดอยู่ข้างกายนาง “หากไม่ลากผู้ถวายงานหลิวมาด้วย ข้ากลัวว่าเจ้าจะตายเปล่าไปอีกครั้ง”
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดสุยโย่วเปียนถึงยังมีชีวิตกลับมาได้ เหวยอิ๋งไม่คิดจะถาม แล้วเหตุใดถึงไม่ติดตามเจียงซ่างเจินกลับสำนักกุยหยก เพื่อหลบเลี่ยงตน เหวยอิ๋งก็ยิ่งไม่มีทางถาม
เพราะคำตอบหรือความจริงของเรื่องราวมากมายใต้หล้านี้ แท้จริงแล้วไม่ได้สำคัญเลยแม้แต่น้อย
สุยโย่วเปียนหยุดเดิน “พูดจบแล้วหรือ?”
เหวยอิ๋งยิ้มบาง “ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งเร็วขนาดนี้ ก็ชวนให้แปลกใจยิ่งนัก”
เหวยอิ๋งยกกระบี่ยาวในมือขึ้น “นี่คือกระบี่ชือซินของเจ้า ข้าช่วยเก็บกลับมาให้ ระดับขั้นไม่สูง แต่ชื่อดีมาก”
เหวยอิ๋งโยนกระบี่ยาวเล่มนั้นไปให้สุยโย่วเปียนเบาๆ
สุยโย่วเปียนกลับไม่ได้รับเอาไว้ รอกระทั่งกระบี่ยาวร่วงหล่นลงพื้น นางก็เตะมันให้หล่นลงไปในทะเลสาบซูเจี่ยน กระบี่ยาวจมดิ่งลึกลงไปใต้ทะเลสาบ “รอให้ขอบเขตข้าสูงมากพอแล้ว ย่อมมาเก็บกระบี่กลับไปเอง”
เหวยอิ๋งพยักหน้ารับ “ดีมาก”
สุยโย่วเปียนเดินไปข้างหน้าต่ออีกครั้ง
เหวยอิ๋งยืนอยู่ที่เดิม
ท่านอาเจียงสั่งความเขามาสองเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกิจการใหญ่พันปีของสำนักเจินจิ้งแม้แต่น้อย
เรื่องหนึ่ง อย่าได้ไปหาเรื่องสุยโย่วเปียนอีก
อีกเรื่องหนึ่ง ให้ดูแลเด็กที่เขาอุ้มกลับมาจากอุตรกุรุทวีปคนนั้นให้ดี ค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้จดลงบัญชีเอาไว้ สกุลเจียงจะตอบแทนกลับคืนให้เป็นเท่าตัว
เหวยอิ๋งรับปากทั้งสองเรื่อง
มองแผ่นหลังของสตรีผู้นั้นที่ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล
เหวยอิ๋งเริ่มรอคอยการถามกระบี่ครั้งถัดไป หวังว่าจะไม่ให้ตนรอนานเกินไปนัก
ตอนนี้ความกังวลหนึ่งเดียวของเหวยอิ๋งนั้นอยู่ที่โชคชะตาวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีป เพราะมันแผ่กลิ่นอายแปลกประหลาดบางอย่าง
ซึ่งนี่จะส่งผลกระทบต่อมหามรรคาของตน
……
ในตรอกเส้นหนึ่ง เด็กหนุ่มชุดขาวกำลังเล่นหมากล้อมหาเงิน เขาได้เงินเหรียญทองแดงมาไม่น้อยแล้ว อย่างน้อยก็มีมากพอให้กินอาหารเย็นแล้ว
ส่วนกระดานหมากและเม็ดหมากก็ล้วนได้มาจากการเอาชนะคนบนเส้นทางเดียวกันคนหนึ่งก่อนหน้านี้ ฝ่ายหลังแพ้หมดรูป จึงจากไปพร้อมเสียงด่าโขมงโฉงเฉง
ข้างกายของเด็กหนุ่มชุดขาวมีเด็กชายสีหน้าทึ่มทื่อนั่งยองอยู่
ชุยตงซานมองสีท้องฟ้า พอสมควรแล้ว
เก็บอุปกรณ์ออกจากตรอกเส้นนั้น ส่วนกระดานหมากและเม็ดหมากก็ล้วนให้เด็กชายนำใส่ห่อสัมภาระสะพายไว้บนหลัง
ชุยตงซานอาศัยเงินที่ตัวเองหามาได้กินอาหารดื่มเหล้าจนอิ่มหนำ แล้วหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเข้าพัก
ชุยตงซานควักกระดาษขาวออกมาแผ่นหนึ่ง วางปูลงบนโต๊ะ ถือพู่กันกลับหัว เอาเคาะผิวโต๊ะเบาๆ
ชำเลืองตามองเด็กชายที่นั่งนิ่งๆ อยู่ฝั่งตรงข้าม ชุยตงซานก็ยิ้มตาหยี “น้องเกา ไม่แน่ว่าเจ้ากับชุยซื่อผู้นั้นอาจได้เป็นท่านบรรพบุรุษก็ได้นะ”
เด็กชายมองชุยตงซานอย่างมึนๆ งงๆ
ชุยตงซานถอนสายตากลับมา ไม่ได้จรดพู่กันเสียที เพียงแต่เรียบเรียงเส้นสายที่เป็นรากฐานสามเส้น เค้าโครงใหญ่เก้าข้อ กฎยิบย่อยอีกสามสิบหกข้อที่อยู่ในใจให้สมบูรณ์แบบ
แต่ในกฎทั้งหลายเหล่านี้ก็ยังต้องให้ชุยตงซานคัดกรองและกำหนดขอบเขตให้อีกหลายข้อ
ยินดี โกรธ เศร้า สุข ทุกข์ กังวล โง่เขลา ตระหนก กลัว เงียบสงบ ครุ่นคิด ตา หู จมูก ลิ้น ร่าง จิต กาย ตระกูล ขนบธรรมเนียมประเพณี แคว้น ใต้หล้า เป็นตาย
ความรู้สึกยอมรับ ต่อต้านความโดดเดี่ยว ความรู้สึกพึ่งพิง ร่างกายและจิตใจสงบสุข ความรู้สึกประสบความสำเร็จ ใช้สิ่งมายามาขจัดสิ่งที่จับต้องได้จริง
สถานการณ์มากมายบนเส้นทางชีวิตคน จากเป็น จากตาย เอะอะ โดดเดี่ยว กำพร้า ยินดี อิ่มหนำ หิวโหย สบาย อบอุ่น มีความสุข พอใจ ร้อนแผดเผา เหน็บหนาว
ฝังเข็ม เค้นใจ เศร้าสร้อย เดือดดาล แง่งอน โล่งอก บังเอิญโชคดี เขินอาย ขุ่นเคือง เคียดแค้น เลื่อมใส บูชา อิจฉา เกลียดชัง ไม่พอใจ ยินดี เสียใจ กลัดกลุ้ม ริษยา…
อันดับต่อไปจะค่อนข้างซับซ้อน ปล่อยวาง เลื่อนลอย มึนงง คิดไม่ตก ตระหนักรู้…
ต่อไปก็คือสัมผัสในระดับที่สูงยิ่งกว่า แข็งแกร่ง แหลกสลาย ดึงดัน เฉยเมย เย็นชา เร่าร้อน ฮึกเหิม สุขุม…
ในระหว่างทั้งสามอย่างนี้ ชุยตงซานยังต้องทำการพลิกกลับ สลับตำแหน่ง แก้ไขอีกมาก
และระหว่างทั้งสามอย่างนี้ก็ยังจะมีขั้นตอนของการขัดแย้ง กลมกลืน เข่นฆ่า สลายหายไป เกิดใหม่ แข็งแกร่ง กลับสู่ความว่างเปล่าซึ่งเป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุด
จะต้องมีน้ำวนเล็กใหญ่ไม่เท่ากันซึ่งเป็นมายาล่องลอยที่ริ้วคลื่นซัดสาดไปสี่ทิศ บ้างก็ลดน้อยลงแล้วสลายหายไป บ้างก็ทับซ้อนกันเพิ่มพูนขึ้น บ้างอ้อมวนหลีกเลี่ยงกันเอง บ้างก็แทบจะไม่พบปะกันเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
จุดเริ่มต้นที่สำคัญหนึ่งในนั้นอยู่ที่ว่าการเก็บซ่อนความคิดของคนมีมากหรือน้อย แล้วแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง
เห็นมาเองกับตา อยู่ไกลบนหน้าหนังสือ อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ได้ยินมา จดจำได้ คิดว่าตัวเองจดจำได้ ชัดเจน จำได้แต่กลับไม่รู้ตัว พร่าเลือน ผสมปนเป บางครั้งก็ถูกกระตุ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็เหมือนการเล่นหมากล้อมที่มีรูปแบบและกฎเกณฑ์ แต่หากเกิดแรงบันดาลใจ แสงสว่างเปล่งวาบขึ้นมาในหัว ก็กลายเป็นการเล่นด้วยฝีมือของเทพเซียนได้
ดังนั้นนี่ก็คือเรื่องที่สองที่พัฒนาการมา ตัดสินออกมาเป็นตัวกระตุ้นกลไก มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีคำพูดและการกระทำ มีบทกวีคำร้อง มีจิตใจคนที่ขึ้นๆ ลงๆ เกิดเป็นภาพบรรยากาศนับพันนับหมื่น
หมื่นสรรพสิ่งหมื่นเรื่องราวบนโลกใบนี้ต่างก็ไม่มีการ ‘นิ่งเฉยไม่ขยับ’ ที่จริงแท้แน่นอน ล้วนเกิดจากการนำมาประกบประกอบกัน จากวัตถุเล็กจ้อยจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นสิ่งของจับต้องได้ที่ตามองเห็น เรื่องที่เล็กมากๆ หลายเรื่องราวกลายมาเป็นชีวิตคนที่เหมือนฝันไป หนังสือเริ่มเหลือง ภูเขามีสูงต่ำ ต้นไม้ใบหญ้ามีกำเนิดงอกงามมีร่วงโรย คนก็มีเกิดแก่เจ็บตาย
ชุยตงซานใช้ปลายพู่กันเคาะโต๊ะเบาๆ อยู่ตลอดเวลา สายตาจ้องมองไปบนกระดาษขาวที่ยังไม่ได้เขียนสักตัวอักษรแผ่นนั้น
ปีนั้นระหว่างที่เดินทางไกลไปเยือนต้าสุย เขาเคยเอาของออกมาสามชิ้น น้ำหนึ่งถ้วย หินหนึ่งก้อน กิ่งไม้หนึ่งกิ่ง
แล้วก็เคยกึ่งๆ พูดเล่นกับอาจารย์และพวกเป่าผิงน้อย บอกว่าคนธรรมดาคนหนึ่ง ชีวิตนี้จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนโครงกระดูกกี่ครั้ง จะต้องเกิดและตายหมุนเวียนกันไปอย่างเงียบเชียบกี่ครั้ง
ก้อนหินก็เหมือนร่างกาย แล้วก็เหมือนภูเขา ลมพัดแดดส่อง แบกรับสรรพสิ่งนับหมื่น คือฟ้าดินแห่งหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วก็คือการสับเปลี่ยนหมุนเวียนที่ค่อนข้างจะนิ่งสงบอย่างหนึ่ง
น้ำในถ้วยก็คือความคิดที่ไหลรินไป กิ่งไม้ก็คือเส้นสายอันเป็นรากฐาน คือที่ตั้งของกฎเกณฑ์ในการโคจรของมหามรรคา
หลายปีมานี้ อันที่จริงชุยตงซานงัดข้อกับตัวเองในเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด
ลำพังเพียงแค่เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่ค่อนข้างจะคลุมเครือนั้นยังอยู่ไกลเกินคำว่าพอมากนัก
คนกระเบื้องคนแรกที่ชุยตงซานสร้างขึ้นมาคือชุยซื่อเด็กรับใช้ที่หลี่ซีเซิ่งนำไปไว้ข้างกาย อันที่จริงเด็กหนุ่มถือว่าค่อนข้างเชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนการทั่วๆ ไปแล้ว แต่ในเรื่องของ ‘อารมณ์ความรู้สึก’ ยังบางเบาอยู่มาก พูดง่ายๆ ก็คือเส้นสายอันเป็นรากฐานนั้นเปราะบางเกินไป ยากที่จะมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ รวมถึงมีขีดจำกัดเรื่องร่างกายที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายเกินไป คอขวดมหามรรคาใหญ่เกินไป แค่คิดจะสร้างโอสถทองก็ยังเป็นเรื่องเพ้อฝัน
แต่ ‘น้องเกา’ ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ กลับมีความคิดมากกว่า เส้นสายชัดเจนและมั่นคงมากกว่า ในอนาคตจะไม่เพียงแต่เล่นหมากล้อมเป็น ยังสามารถฝึกตนไปจนถึงคอขวดก่อกำเนิด ยังจะมีพรสวรรค์ในการแต่งกลอนแต่งคำร้อง จะสร้างวัตถุและเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกขึ้นมา ยิ่งสามารถคิดว่าตัวเองคือ ‘คน’ ที่แท้จริงได้มากกว่า ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องมายาเลื่อนลอยอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างล้วนมีเส้นสายให้ตามหา ดังนั้นเมื่อพวกยันต์หุ่นเชิดที่สติปัญญาเปิดโล่งแล้วมาเจอกับชุยซื่อที่ชุยตงซานสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้องเกาผู้นี้ ก็ล้วนต้องคุกเข่าเรียกขานพวกเขาว่าท่านบรรพบุรุษ
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังอยู่ห่างจากที่ชุยตงซานคาดการณ์ไว้ค่อนข้างไกล
คนหนึ่งต้นทุนสูงเกินไป อีกคนหนึ่งคอขวดใหญ่เกินไป หากมีอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือสิ่งที่ชุยตงซานเป็นกังวลอย่างแท้จริง เทพย่ำซ้ำผ่าน คนเคลื่อนซ้ำรอยเดิม
ชุยตงซานถอนหายใจ น่าหงุดหงิดนัก
เอ่ยเรียกน้องเกาหนึ่งคำ แล้วบอกให้เด็กชายแบกตนวิ่งไปทั่วห้อง
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งลูบศีรษะเด็กน้อย พูดเลียนแบบศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีว่า “น้องชายตัวน้อย เหตุใดถึงได้เชื่อฟังขนาดนี้น้า”