แผ่นหลังอันเยือกเย็น และน่าเกรงขาม
ทำให้เหลิ่งเพ่ยซานชะงักไปครู่หนึ่ง เธอเดินไปหาหนานฮุ่ยเหยา “คนนั้น…”
“คนที่มาเก็บของให้หร่านหร่านน่ะ เธอจะไม่อยู่ที่หอแล้ว” หนานฮุ่ยเหยาหันหน้าพลางอธิบาย
คนที่บ้าน?
เหลิ่งเพ่ยซานขบคิด
เฉิงมู่เก็บของเสร็จเรียบร้อย มือด้านซ้ายถือกระเป๋าเสื้อผ้าสีดำ ด้านขวาอุ้มกระถางดอกไม้ไว้ด้วยร่างกายกำยำ ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่เย็นยะเยือก แม้ใบหน้าไร้รอยยิ้ม แต่แววตากลับเปล่งประกายราวกับแสงจันทร์ในฤดูหนาว
“คุณชายเฉิงมู่?” เหลิ่งเพ่ยซานเรียกด้วยน้ำเสียงแห้งแหบ
ขณะที่เฉิงมู่กำลังลากสัมภาระออกไปอย่างสบายอารมณ์ เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเพ่ยซาน จึงหยุดเดินแล้วหันมองเธอแวบหนึ่ง ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเมทของฉินหร่าน ก่อนเดินไปหาเพื่อทักทายเธอด้วยความสุภาพ
“หนูเป็นรุ่นน้องของโอวหยางเวยค่ะ พวกเราเคยเจอกันแล้วที่งานเลี้ยงวันเกิดครั้งก่อนของพี่เขาน่ะค่ะ” นิ้วมือของเหลิ่งเพ่ยซานจิกอยู่บนฝ่ามือ
งานเลี้ยงวันเกิดของโอวหยางเวยจัดอย่างใหญ่โต ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลวง คนที่เหลิ่งเพ่ยซานรู้จักมีไม่มาก
ทว่ารู้จักกับเฉิงมู่ที่ยืนอยู่กลางสุดท่ามกลางกลุ่มคนจำนวนมาก
เมื่อได้ยิน “โอวหยางเวย” สามคำ ท่าทีเกรงใจของเฉิงมู่ก็หายไป แต่แฝงไว้ราวกับเหล็กแข็งดังเดิม
เขาไม่เหมือนกับฉินหร่านหรือเฉิงเจวี้ยน ที่สามารถจดจำได้ทุกรายละเอียด และเช่นเดียวกับเหลิ่งเพ่ยซานคนนี้ ในเมืองหลวงมีคนตั้งมากมาย เขาไม่สามารถจดจำได้ทุกคน
หากเหลิ่งเพ่ยซานพูดถึงเรื่องนี้เมื่อปีก่อน เฉิ่งมู่อาจจะหยุดทักทายเธอก็ได้
ทว่าตอนนี้โอวหยางเวยไม่ใช่นางฟ้าสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…
เฉิงจินและเฉิงสุ่ยเคยเตือนเขาเรื่องโอวหยางเวยอย่างเป็นจริงเป็นจัง
เฉิงมู่ไม่ใช่คนมีไหวพริบดี แต่คำพูดของพี่ๆ แต่ละคนเขาล้วนจำได้ขึ้นใจ
เหลิ่งเพ่ยซานไม่เคยคุยกับเฉิงมู่มาก่อน แต่เคยได้ยินคนอื่นพูดเรื่องเฉิงมู่มาบ้างเกี่ยวกับคนของสกุลเฉิง เมื่อก่อนเธอทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ ที่งานเลี้ยงของโอวหยางเวยเท่านั้น
เมื่อเห็นเฉิงมู่ทำท่าทีเหมือนจะหยุดเดินแต่สุดท้ายก็ลากกระเป๋าออกไปเช่นนี้ เหลิงเพ่ยซานทำได้เพียงยิ้ม พลางยกมือทัดผมไว้หลังหู พูดอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พี่สาวของหนูใกล้สอบเข้าตำแหน่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางแล้ว…”
เฉิงมู่ไม่มีแม้แต่ท่าทีสนใจพลางลากกระเป๋าเดินลงชั้นล่างราวกับหุ่นยนต์
หอพักด้านใน เหลิ่งเพ่ยซานมองแผ่นหลังของเฉิงมู่ ก่อนสลัดรอยยิ้มบนใบหน้า
เธอนั่งลงเก้าอี้ตัวเองอย่างหมดแรง
หยางอี๋วางหนังสือบนโต๊ะ “เธอรู้จักกับคนในบ้านฉินหร่านด้วยเหรอ?”
“รู้จัก…” เหลิ่งเพ่ยซานถือโทรศัพท์ สายตาหันออกมองนอกระเบียง
หนานฮุ่ยเหยาลากเก้าอี้แล้วนั่งลง ก่อนเกยคางลงบนนิ้วมืออย่างเอื่อยเฉื่อยพลางยิ้ม “เธอได้ยินไหมว่าเขาสกุลเฉิงเลยนะ คนในมหาลัยไม่มีใครกล้ายุ่งกับคนสกุลนี้ได้ หลังจากนี้ก็รีบๆ เกาะขาหร่านหร่านเอาไว้ให้ดีละกัน”
หยางอี๋พยักหน้าเห็นด้วย “พูดอีกก็ถูกอีก”
สองคนนี้ยังมีอารมณ์มาหัวเราะอยู่ได้ แต่เหลิ่งเพ่ยซานกลับรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าขำเลยสักนิด
เฉิงมู่คือลูกน้องที่ผู้อาวุโสแห่งบ้านสกุลเฉิงให้ความสำคัญที่สุด สามารถเข้าออกบ้านเดิมของสกุลเฉิงได้ เรื่องนี้คนในวงในต่างรู้กันดี ว่าโดยปกติแล้วเมื่อผู้สืบทอดเจอเฉิงมู่ต้องให้ความเคารพด้วย
เช่นนั้นคนที่ฉินหร่านบอกว่าแฟนที่ทำงานแล้วก็คือเฉิงมู่น่ะหรือ?
ทำไมเธอถึงไปเกี่ยวดองกับคนในบ้านสกุลเฉิงได้…
**
ณ บ้านสกุลสวี
อาจารย์ใหญ่สวีอาศัยอยู่ในรัฐ M เกือบสามเดือนเต็มเพื่อเปิดตลาด หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงแล้วใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์จัดการกับเรื่องของบ้านสกุลสวีให้เรียบร้อย
“คุณปู่ครับ” สวีเหยากวงลุกจากเก้าอี้ด้วยใบหน้าเย็นชา
“หลังจากนี้เรื่องของสกุลมาสที่รัฐ M ก็ยกให้แกไปจัดการก็แล้วกัน ส่วนสถาบันวิจัยฝั่งนั้นปู่ได้หาคนที่มารับช่วงต่อเเล้ว” อาจารย์ใหญ่สวีมองออกไปนอกหน้าต่าง
ก่อนหน้านี้เขาคิดเอาไว้ถ้าหากสามารถจับคู่สวีเหยากวงกับฉินหร่านได้คงเป็นเรื่องดี
ช่วงเวลานั้นสกุลสวีเป็นตระกูลที่มีอำนาจอย่างมากในการดูแลควบคุมเรื่องต่างๆ และมีสิทธิ์ในการจัดการสถาบันวิจัย……
ทั้งยังหลบสายตาจากสาธารณชนเพื่อส่งสวีเหยากวงเข้าโรงเรียนมัธยมฯเหิงซวน สุดท้ายเขากลับถูกใจผู้หญิงที่ชื่อฉินอวี่อะไรก็ไม่ทราบ ส่วนฉินหร่านก็ถูกคนสกุลเฉิงเอาไปอีก ครั้งที่สวีเหยากวงได้ยินเฉิงเจวี้ยนหยิบเรื่องนี้มาพูดตอนอยู่อวิ๋นเฉิง ณ ตอนนั้นก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครคือผู้ที่รับช่วงต่อ ตลอดจนหลังสอบเข้ามหาลัยแล้ว ฉินหร่านสอบวิชาฟิสิกส์และคณิตศาสตร์ได้คะแนนเต็ม เขาจึงตระหนักรู้เรื่องนี้ได้…
ดังนั้นเขาจึงรีบรุดมาที่อวิ๋นเฉิง เพื่อสอบถามฉินหร่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าแม้แต่หน้าก็ไม่ได้เจอ เขาจึงกลับรัฐ M ไป
“ครับ คุณปู่” สวีเหยากวงและประธานสวีคุยกันอยู่สักพักก็ออกจากห้องหนังสือไป
เมื่อสวีเหยากวงเดินออกไปแล้ว ประธานสวีก็โทรหาฉินหร่าน
ตอนนี้ฉินหร่านอยู่ห้องหนังสือด้านบน
เฉิงเจวี้ยนกำลังใช้โทรศัพท์เล่นเกม และช่วยฉินหลิงบันทึกหน้าจอไปด้วย
หลังจากเขาส่งวิดีโอบันทึกหน้าจอให้ฉินหลิงแล้ว ผ่านไปพักใหญ่ฉินหลิงจึงตอบกลับมาประโยคหนึ่ง
[นายเล่นไม่เร็วเท่าพี่สาวฉันเลย]
เฉิงเจวี้ยนกัดบุหรี่ พลางค่อยๆ หรี่ตา
ขณะที่เขากำลังส่งข้อความตอบกลับฉินหลิง ก็มีข้อความหนึ่งปรากฏบนแถบหน้าจอโทรศัพท์ ด้านบนมีตัวอักษรเพียงคำเดียวเท่านั้น คือคำว่า
สวี
ฉินหร่านเป็นคนบันทึกรายชื่อไปเรื่อย
บ้างก็ นก บ้างก็มังกร
เมื่อเฉิงเจวี้ยนเห็นดังนั้น จึงไม่คิดว่ามีชื่อสวีที่เหมือนชื่อร้านบาร์บีคิวด้วยด้วย
นับว่าเป็นคำที่เคยเห็นอยู่บ่อยๆ
เฉิงเจวี้ยนรับโทรศัพท์พลางเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนตอบอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า “รอก่อนนะครับ เธออ่านหนังสืออยู่ห้องด้านบน”
ประธานสวีที่อยู่ปลายสายตอบอย่างเยือกเย็น “ทำไมถึงเป็นนายได้?”
ครั้งที่อยู่อวิ๋นเฉิง ประธานสวียอมให้เขาคุ้มครองผู้สืบทอดในอนาคต แต่ในมุมมองของเฉิงเจวี้ยนที่พาเธอไป ถือว่าประธานสวีเสียเปรียบกว่ามาก
“ผู้อาวุโสสวี?” เฉิงเจวี้ยนเงียบไปสักพัก พลันหยุดอยู่ที่บันไดครู่หนึ่งก่อนเดินขึ้นข้างบนต่อ “คุณรอก่อนนะครับ”
เขาเปิดประตูห้องหนังสือ ขณะนั้นฉินหร่านกำลังจับปากกาเขียนเลกเชอร์วิชาคณิตศาสตร์อยู่
“เป็นผู้อาวุโสสวี” เฉิงเจวี้ยนยื่นโทรศัพท์ให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านวางปากกาลง ก่อนรับโทรศัพท์มา “ประธานสวีเหรอคะ?”
“พอมีเวลาไหม?” ประธานสวียืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปด้านนอกด้วยแววตานุ่มลึก “พวกเรามาคุยเรื่องของอวิ๋นเฉิงต่อเถอะ”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ” ฉินหร่านวางมือไว้บนขมับ “รอให้สอบกลางภาคเสร็จก่อน”
“สอบกลางภาคงั้นรึ?” ประธานสวีพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ พลางเปลี่ยนมือถือโทรศัพท์ “เธอเรียนภาควิชาอะไร?”
ฉินหร่านตอบตามความจริง
ประธานสวี: “…ก็ดี” เป็นสองสาขาที่นับว่ายากเอาเรื่อง ทว่าก็เรียนตรงสายงาน
ฉินหร่านให้สัญญาไว้แล้ว และตัวเองก็อยู่ที่เมืองหลวง ประธานสวีจึงไม่ได้เร่งรัดอะไรมากนัก แน่นอนว่าคำสัญญาของเธอไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวงเขา
อีกทั้งเรื่องผู้สืบทอดของเขาก็ไม่อาจใจร้อนได้ เมื่อพัวพันถึงอำนาจระดับสูง ถึงเวลานั้นเมืองหลวงคงเกิดเรื่องวุ่นวายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่นี่เขาได้เตรียมตัวหาวิธีรับมือด้านต่างๆ ไว้แล้ว
ทั้งสองพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็วางสาย
ฉินหร่านเอนตัวพิงเก้าอี้ ยื่นโทรศัพท์ให้เฉิงเจวี้ยน
ในมือของเฉิงเจวี้ยนประคองแก้วชาที่เหลืออยู่เล็กน้อย เขาวางแก้วลงก่อนรินน้ำเติมใหม่ แต่ไม่ได้รับโทรศัพท์ที่เธอส่งมาให้
ฉินหร่านเลิกคิ้ว หัวคิ้วพลางขมวดเข้าหากัน “คุณ…”
เดิมทีเธอนึกว่าเฉิงเจวี้ยนจะถามเรื่องประธานสวี
เฉิงเจวี้ยนยื่นมือลากเก้าอี้ตัวหนึ่งเข้ามา พลางชี้โทรศัพท์ของเธอ ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “น้องชายเธอด่าฉัน”
ด่าเขา?
ฉินหร่านก้มอ่านข้อความในวีแชทก็เห็นข้อความที่ฉินหลิงส่งมา
เธอถือโทรศัพท์พลางตอบฉินหลิงอย่างช้าๆ สองประโยค
[เขาก็เหมือนกับนายตอนเล่นครั้งแรกนั่นแหละ]
[นายอ่อนกว่าเขา]
เมื่อตอบฉินหลิงเสร็จ ฉินหร่านมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนส่งโทรศัพท์ให้เขา
เฉิงเจวี้ยนรับมาพลางอ่านอย่างพอใจ แล้วลุกขึ้นพร้อมถือโทรศัพท์ของเธอเดินออกไป เมื่อถึงประตูห้องหนังสือ เขาเปิดหน้าแชทของฉินหลิง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังออนอยู่ เขาก็ตอบกลับไปประโยคหนึ่ง
[ไอกร๊วก (อิโมจิยิ้ม) ]
ไม่ถึงวินาที เมื่อมั่นใจว่าฉินหลิงอ่านข้อความนี้แล้ว เขาก็ลบข้อความนั้นออกอย่างรวดเร็ว ก่อนส่งอิโมจิยิ้มตัวหนึ่งกลับไป
**
ด้านล่าง เฉิงมู่ลากกระเป๋าสัมภาระของฉินหร่านกลับมาเรียบร้อยแล้ว เขาวางกระเป๋าไว้กลางห้องรับรองแขก ก่อนวางกระถางดอกไม้ไว้ขอบหน้าต่างด้วยความระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าใบของดอกไม้ร่วง หัวคิ้วก็มุ่ยเข้าหากันอัตโนมัติ คุณหนูฉินดูแลดอกไม้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
“กลับมาแล้วเหรอ?” เขาเพิ่งจัดการกับข้าวของเสร็จ ก็เห็นเฉิงจินเดินขึ้นมาจากห้องต้นไม้ ด้านล่าง
เฉิงจินกวาดตามองข้าวของที่อยู่กลางห้องรับรองแวบหนึ่ง “นายท่านเจวี้ยนให้ฉันกลับมา”
“นั่งก่อนสิ” เฉิงเจี้ยนเล่นเกมอย่างสบายอารมณ์
เฉิงมู่ที่ถือพลั่วอยู่นั้นนั่งลงพร้อมเฉิงจิน “มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”
“เป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญมากๆ” เฉิงเจวี้ยนตอบอย่างไม่รีบร้อน “เฉิงจินนายใช้เวลาเท่าไหร่ในการย้ายแหล่งศูนย์กลางเงินทุนกลับมา?”
“ศูนย์กลางทั้งหมดเลยเหรอครับ? เหมือนกับอวิ๋นกวงกรุ๊ปรึเปล่าครับ?” เฉิงจินประหลาดใจ
เฉิงเจวี้ยนพิงโซฟาตอบ “ประมาณนั้น”
“อวิ๋นกวงกรุ๊ปใช้เวลาหนึ่งปี ปีที่แล้วพวกเขาก็เริ่มเข้าพักที่เมืองหลวงแล้ว แต่ว่าเรามีฐานที่ตั้งในเมืองหลวงอยู่หลายที่ ถ้าหากจะย้ายจริงๆ ก็เร็วกว่าพวกเขาเดือนนึงได้ แต่ว่า…ท่านเจวี้ยน คุณแน่ใจแล้วเหรอ?” มุมปากของเฉิงจินโค้งลง
นี่คิดอยากให้เมืองหลวงลุกเป็นไฟเลยหรือ?
“แน่ใจสิ” ในมือของเฉิงเจวี่ยนยังคงเล่นเกมอย่างต่อเนื่อง “เห็นแก่หน้าผู้อาวุโสสวี ฉันคงปฏิเสธไม่ได้”
เฉิงจินมองเฉิงเจวี้ยน ขนาดแม้แต่นายท่านเฉิงยังไม่ไว้หน้า แล้วจะให้หน้ากับผู้อาวุโสสวีเนี่ยนะ?
แต่ว่า…
เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับผู้อาวุโสสวีเล่า?
เมื่อเล่นเกมจบไปแล้วหนึ่งรอบ เฉิงเจวี้ยนมองดูที่หน้าจอ จากนั้นแคปหน้าจอส่งให้ฉินหลิง
เฉิงจินหยิบโน้ตบุ๊กทำงานในกระเป๋าออกมา ก่อนเข้าสู่ระบบอย่างรวดเร็ว เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนแวบหนึ่ง “งั้นให้ผมจะเรียกประชุมระดับสูงเพื่อเรียนเรื่องนี้โดยเฉพาะรึเปล่าครับ?”
เขากุมโทรศัพท์ไว้ “เริ่มเลยเถอะ”
เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น เพียงปรายตามองชั้นบนก่อนยกมือขึ้นก่ายหน้าผากอย่างเกียจคร้าน หากพวกบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตระกูลรู้เรื่องผู้สืบทอดสถาบันวิจัยที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแล้วล่ะก็ คงนั่งกันไม่ติด…