แม้นิ้วมือของเวินหนิงจะผอมแห้งและซีดเซียว แต่เพราะผิวหนังยังคงยืดหยุ่น ทำให้สัมผัสถึงความอบอุ่นและดูมีชีวิต
นางกำคันฉ่องหลิงฮวา[1]บานหนึ่งไว้ในมือ ด้านหลังคันฉ่องเป็นทองสัมฤทธิ์ แกะสลักลายดอกม่านถัวหลัว
มั่วชิงเฉินแอบรู้สึกผิด พลางแกะนิ้วของนาง ก่อนหยิบคันฉ่องหลิงฮวาออกมา ถือไว้ในมือพิจารณาอย่างละเอียด
หลัวอวี้เฉิงในตอนนั้นเองก็พบอะไรบางอย่างเข้า พูดว่า “บาดแผลบนหน้าของเวินหนิง น่าจะเกิดจากตัวนางเอง”
พูดจบ มั่วชิงเฉินไม่สนใจคันฉ่องหลิงฮวาอีกต่อไป ก่อนเงยหน้ามองอีกฝ่าย
มั่วหร่านอียิ่งขมวดคิ้วมากกว่าเดิม “เป็นไปไม่ได้ มีสตรีคนใดจะลงมือกับตัวเองเช่นนี้ อีกอย่าง ดูออกด้วยหรือว่าบาดแผลนี่ผู้ใดเป็นคนทำ”
หลัวอวี้เฉิงไม่ตอบคำถามมั่วหร่านอี แต่หันไปหามั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ยังจำตอนที่พวกเราเจอภาพลวงตาของเวินหนิงที่หุบเขาไร้วิญญาณได้หรือไม่ นางเคยพูดไว้เช่นไร”
มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากก่อนตอบว่า “เจ้าหมายถึง ตอนที่นางทดสอบพวกเรานะหรือ”
หลัวอวี้เฉิงยิ้ม “แท้จริงแล้วต้องบอกว่า เป็นการทดสอบเจ้าต่างหาก”
“ด้วยวรยุทธิ์ชุดนั้น”
“นี่ พวกเจ้าอย่ามัวแต่ทายปริศนา แท้จริงแล้วจะพูดอะไรกันแน่” มั่วหร่านอีถามด้วยความหงุดหงิด
มั่วชิงเฉินอธิบายกลับไปว่า “ตอนนั้นเวินหนิงพูดว่า นางมีวรยุทธ์อยู่ชุดหนึ่ง หากสตรีฝึกฝนจะไม่มีวันแก่ ใบหน้ายังคงงดงามขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับการบำเพ็ญเพียรที่เพิ่มขึ้น แม้นางจะเป็นเพียงภาพมายา แต่คาดการณ์ได้ว่าวรยุทธิ์ชุดนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”
มั่วหร่านอียิ่งฟังยิ่งสับสน ก่อนชี้ศพของเวินหนิง “เช่นนั้นบาดแผลบนหน้านางเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องนี้”
มั่วชิงเฉิงยิ้มอย่างข่มขื่น “เรื่องนี้ เกรงว่าพี่สิบต้องถามสหายหลัวแล้ว”
ไม่ต้องรอให้ผู้ใดถาม หลัวอวี้เฉิงก็ตอบทันที “หลังบรรลุก่อแก่นปราณ มีอยู่วันหนึ่งข้าทำให้นึกถึงเรื่องของจงหลาง ทั้งครุ่นคิดเรื่องราวที่หุบเข้าไร้วิญญาณในปีนั้นมากกว่าเดิม เพราะเรื่องของวรยุทธิ์ที่เวินหนิงพูดถึงฟังดูแปลกเล็กน้อย ข้าจึงแยกชนิดของม้วนคำภีร์หยกออกมาดู เอ่อ…ทั้งไปเดินเล่นแถวนิกายเหอฮวนและสำนักเม่ยหมัวอยู่รอบหนึ่งด้วย จนพบกับเรื่องบางอย่างที่ตรงกับวรยุทธ์พิเศษนี่เข้า ยิ่งพูดยิ่งแปลก วรยุทธิ์ชนิดนี้ มีสิ่งหนึ่งที่คล้ายกันจนน่าตกใจ”
“คืออะไร” เรื่องวรยุทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียร ทำให้มั่วเฟยเยียนก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมา ก่อนสตรีทั้งสามจะถามออกมาพร้อมกัน
หลัวอวี้เฉิงชำเลืองมองทั้งสามคนช้าๆ ตอบว่า “ฝึกฝนได้เฉพาะสตรีที่เหมาะสมเท่านั้น”
“เหลวไหล!” มั่วหร่านอีและมั่วชิงเฉินต่างกลอกตาใส่เขาพร้อมกันอย่างหาได้ยาก
หลัวอวี้เฉิงกระแอมครั้งหนึ่งเบาๆ “รีบไปไย ข้ายังพูดไม่จบ วรยุทธ์ประเภทนี้ฝึกฝนได้เฉพาะสตรีที่เหมาะสมเท่านั้น หากสตรีที่ฝึกวรยุทธิ์ประเภทนี้ได้รับบาดเจ็บ ถึงแม้ไม่มีเกราะวิญญาณเคลือบไว้ แต่ยากมากที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนผิวหนัง จากนั้นข้าก็อ่านเจอบันทึกบนม้วนคำภีร์หยกเล่มหนึ่งเข้า กล่าวถึงวรยุทธิ์ชนิดหนึ่งที่เหนือกว่า เรียกว่า เคล็ดวิชาหยกอ่อน วรยุทธ์ชนิดนี้มีเพียงสตรีฝึกบำเพ็ญได้ เมื่อสำเร็จวิชาผิวหนังจะอ่อนนุ่มดั่งหยกอ่อน แม้สิ้นลมหายใจแต่เนื้อหนังมังสาไม่มีวันเน่าเปื่อย เหมือนครั้งยังมีชีวิต”
“เจ้าหมายความว่า วิชาบำเพ็ญเพียรของเวินหนิงคือเคล็ดหยกอ่อนหรือ” มั่วชิงเฉินมองผิวหนังอ่อนหนุ่มของเวินหนิง
หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าด้วยความมั่นใจอย่างมาก “ถูกต้อง พวกเราในฐานะผู้บำเพ็ญเพียร แม้เปรียบกับมนุษย์ทั่วไปนับว่ามีพลังมหาศาลกว่ามาก ทว่าร่างกายก็ไม่พ้นกลายเป็นเศษเถ้าธุลี ร่างกายของเวินหนิงยังไม่ถึงขั้นนั้น แม้ตายไปแล้วหลายพันปี ไม่เพียงร่างกายไม่เน่าเปื่อยกลายเป็นฝุ่น แต่กลับดูเหมือนตอนมีชีวิตอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ เห็นหยกหอมที่ห้องโถงใหญ่หรือไม่ หยกหอมก็เป็นของที่ช่วยในการฝึกเคล็ดวิชาหยกอ่อน”
เห็นหลัวอวี้เฉิงพูดจาฉะฉานเช่นนี้ มั่วหร่านอีจึงรู้สึกประหลาดใจ “หลัวอวี้เฉิง เจ้าไม่รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปบ้างเลยหรือ คิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะการทดสอบวรยุทธิ์ เมื่อหลุดออกมาจากภาพมายาได้ถึงกับต้องแสวงหาข้อมูลโดยเฉพาะ”
หลัวอวี้เฉิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “นอกจากการฝึกบำเพ็ญเพียร ก็มักหาเรื่องทำบ้างเล็กน้อย มิเช่นนั้นชีวิตของคนเราคงน่าเบื่อเกินไปแล้วใช่หรือไม่”
มั่วชิงเฉินกลับรู้สึกตื่นเต้น สายตาที่มองหลัวอวี้เฉิงครั้งนี้จึงแตกต่างจากเช่นเคย
ด้วยสติปัญญาของเขา ความใฝ่รู้ของเขา นอกจากเป็นพรสวรรค์ เกรงว่ายังต้องใช้ความขยันหมั่นเพียรอีกด้วย
อ่านตำราทั่วหล้า ทำให้รู้จักเรื่องราวมากขึ้น
เพียงให้มนุษย์ได้รับรู้ เพียงสร้างความประหลาดใจต่อหน้าผู้คนมากมาย กลับยอมทิ้งความเหน็ดเหนื่อยไว้ข้างหลัง
หลัวอวี้เฉิงเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของมั่วชิงเฉินก่อนพูดว่า “สหายมั่ว”
“หือ”
“หากเจ้าอยากชื่นชมข้า ข้าไม่หนักใจอะไรหรอก เจ้ารีบพูดออกมาเถอะ…”
มุมปากมั่วชิงเฉินโค้งลงเล็กน้อย “แต่ข้าหนักใจมาก”
“เอ่อ เช่นนั้นข้าพูดต่อนะ เคล็ดวิชาหยกอ่อนที่เป็นถึงวรยุทธิ์ระดับสูงสุด เพียงฝึกฝนสำเร็จได้เล็กน้อย แผลเป็นนอกร่างกายล้วนสามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาอันสั้นจากนั้นจึงกลับเป็นดังเดิม เวินหนิงเป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด หากนางอยากทำให้หน้าของตัวเองมีแผลเป็นเช่นนี้ มีเพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น”
พูดถึงจุดนี้จึงหยุดลงครู่หนึ่ง ก่อนพูกต่อว่า “ใช้วรยุทธ์ย้อนกลับ อาศัยปราณวิญญาณของตัวเองทำให้เสียโฉม บาดแผลตามร่างกายก็ใช้ปราณวิญญาณของตัวเอง เพื่อหักล้างกับปราณวิญญาณภายใน เช่นนี้จะไม่สามารถฟื้นฟูบาดแผลได้อีก ทั้งเวลาในการเปลี่ยนแปลงเชื่อมโยงกับปราณวิญญาณทำให้นานวันเข้าบาดแผลยิ่งดูน่ากลัว”
มั่วหร่านอีถอนหายใจ “มิน่าเล่าในห้องของนางถึงไม่มีโต๊ะเครื่องแป้ง ทว่าการที่นางต้องทำร้ายตัวเองเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าปีนั้นเจอเรื่องอะไรมาบ้าง”
พูดถึงโต๊ะเครื่องแป้ง มั่วชิงเฉินหยิบคันฉ่องหลิงฮวาขึ้นมาดูอีกครั้ง สังเกตเห็นรูขนาดเล็กด้านใต้
ลำแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากรูเล็กๆ วาบหนึ่ง
ไอร้อนแผ่ขยาย ทำให้มั่วชิงเฉินต้องปล่อยมือ
คันฉ่องหลิงฮวาลอยขึ้นกลางอากาศพร้อมรัศมีแสงส่องรอบด้าน ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ไม่นานขนาดของมันก็ยืดขยายขึ้นหนึ่งฉื่อ
ทั้งสี่คนกลั้นหายใจเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงอย่างใจจดใจจ่อ
คันฉ่องขยายออกเท่าความสูงครึ่งหนึ่งของคน ในที่สุดก็หยุดลง ลำแสงถูกดูดหายไปในบานคันฉ่อง ทันใดนั้นสีของบานคันฉ่องอึมครึมลง ราวกับมีผ้าทอผืนหนึ่งคลุมไว้
“คันฉ่องไม่สะท้อนเงาคน” มั่วเฟยเหยียนพูด
ที่แท้ บานคันฉ่องมีเมฆหมอกทึบบังแสงอยู่ ทำให้ไม่อาจส่องเห็นตัวคน
ทันใดนั้นได้ยินเสียงกระแอมคราหนึ่งดังออกมา
ม่านสีดำทึบที่บดบังคันฉ่องอยู่ค่อยๆ จางหายไป ก่อนภาพสตรีผู้หนึ่งปรากฏชัดขึ้น
“น้องสิบหก!” มั่วหร่านอีร้องตะโกน
มั่วชิงเฉินถอนหายใจ “พี่สิบ ข้ายืนอยู่ด้านข้าง ในคันฉ่องส่องเห็นหน้าข้าชัดขนาดนี้เลยรึ”
มั่วหร่านอีหันไปมองมั่วชิงเฉิน แล้วหันไปมองคันฉ่อง ตอบด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อยว่า “ในนั้นคือเวินหนิง”
เดิมคำถามนี้เอาไว้ถามมั่วชิงเฉิน นางเพิ่งพยักหน้า ก็ได้ยินเสียงอ่อนหวานเบาๆ ดังออกมา “ข้าเอง”
จากนั้นมั่วหร่านอีก็ร้องอุทาน นิ้วมือสั่นระริกชี้ไปยังคันฉ่อง “น้องสิบหก บรรพชนของเจ้า!”
แสงจากคันฉ่องตกกระทบกับดวงตาดอกท้อของสตรีคู่หนึ่ง ช่างสดใสและเปล่งประกาย มองมายังมั่วชิงเฉินก่อนถามว่า “เจ้าคืออนุชนของข้าหรือ”
มั่วชิงเฉินเดินเข้าไปคาราวะตามมารยาท “ครอบครัวของมารดาชนรุ่นหลังมาจากสกุลหลิ่ว บังเอิญได้พบกับฝูเฟิงเจินจวินเข้า จึงได้รับรู้ความสัมพันธ์ของตระกูลเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินฝูเฟิงเจินจวินสี่คำนี้ สตรีในคันฉ่องชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่มีความรู้สึกเสียใจหรือประหลาดใจแต่อย่างใด กลับยิ้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานพลางว่า “ข้าหมายถึง นอกจากข้าแล้ว ใครยังให้เขาสามารถกำเนิดลูกหลานผู้มีใบหน้างดงามเช่นนี้ได้อีก”
มั่วขิงเฉินลอบมองหลัวอวี้เฉิง
สหายหลัว ลูกหลานของเวินหนิงควรเป็นเจ้ามากกว่ากระมัง
สตรีที่อยู่ในคันฉ่องหัวเราะ สายตาจับจ้องมั่วชิงเฉิน “แสดงว่า เขามาตามหาข้าที่เทียนหยวนจริงๆ”
“เจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินพยักหน้าเล็กน้อย
นางได้ยินดังนั้นจึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามขึ้นว่า “เช่นนั้น เขาดับสูญแล้วหรือยัง”
[1] กระจกทรงดอกกระจับ