เจียงป่าวชิงเดาถูกว่าหลีโผจื่อกับโจซื่อจะไม่ยอมเลิกราภายใต้การยั่วยวนของเงิน แต่นางไม่คิดว่าวิธีการของพวกนั้นจะเรียบง่ายและป่าเถื่อนเช่นนี้
กลางวันแสก ๆ อยู่แท้ ๆ พวกนางกับเจียงอีหนิวยังจะมานั่งยอง ๆ อยู่ในป่าไม่ไกลจากบ้านของนาง เพื่อรอโอกาสลักพาตัว
เจียงป่าวชิงตัดสินใจไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาเสียเลย เท่านั้นไม่พอ นางยังพูดขึ้นยิ้ม ๆ “ข้าตกลงเรื่องการเลือกเมียน้อยของนายกาวเจ้าค่ะ”
หลีโผจื่อกับโจซื่อที่กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสามารถมัดเจียงป่าวชิงแล้วพานางไปส่งที่รถม้าได้ ก็มีอันต้องตกตะลึงไปทันที
เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว “เฮ้อ ใครไม่อยากมีชีวิตที่ดีบ้างล่ะเจ้าคะ พอข้ากลับมาเห็นบ้านที่ชำรุดทรุดโทรมหลังนี้ก็คิดได้ว่าไปเป็นเมียน้อยคงสบายกว่านี้มาก”
หลีโผจื่อกับโจซื่อดีใจมาก พวกนางไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าเจียงป่าวชิงจะยอมเอาง่าย ๆ
หากว่าพวกนางใช้วิธีป่าเถื่อนอย่างที่กำลังพยายามทำอยู่นี้ พวกนางคงต้องมาคอยเป็นห่วง กลัวว่าเจียงป่าวชิงจะฉวยโอกาสหนีออกมาในภายหลังอีก แต่ตอนนี้เจ้าตัวคิดได้เองแล้ว ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้วจริง ๆ
แต่ทว่าโจซื่อคิดมากกว่าหน่อย นางยังคงฉงนสงสัยอยู่ในใจ เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนโง่ นางน่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าพวกนางคิดไม่ดีกับนาง ไม่ใช่ว่าเจียงป่าวชิงคิดจะลากพวกไปนางแทนโดยใช้ข้ออ้างแบบนี้ก่อนหรอกนะ
เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนโง่จริง ๆ นางคิดมาก่อนแล้วว่าคนพวกนี้อาจสงสัยได้จึงจงใจพูดขึ้น “มีอยู่อย่างหนึ่งเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าคนที่นายกาวเลือกเป็นเมียน้อยจะได้รับเงินห้าสิบตำลึงเป็นเงินสินสอดด้วย” เจียงป่าวชิงจงใจหยุดพูดอย่างกะทันหัน
หลีโผจื่อกับโจซื่อเข้าใจได้ในทันที ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าเท้าเล็กนี่คิดเปลี่ยนใจหลังจากผ่านไปแค่วันเดียว ที่แท้ก็ได้ยินเรื่องเงินห้าสิบตำลึงแล้วนี่เอง
หลีโผจื่อพูดอย่างร้อนรน “ไม่ได้! เป็นพวกข้าที่ให้โอกาสนี้กับเจ้า ถ้าเราไม่แนะนำเจ้าให้รู้จักกับพ่อบ้านหวัง เจ้าจะได้รับโอกาสดี ๆ แบบนี้ไหม ? ดูสิ เจ้ายังคิดจะโลภเอาเงินห้าสิบตำลึงนั้นอีก”
โจซื่อเองก็พูดขึ้นอยู่ด้านข้าง “ป่าวชิง เจ้าลองคิดดูสิว่าเมื่อวานเจ้าล่วงเกินพ่อบ้านหวัง ทำให้พ่อบ้านหวังไม่พอใจมาก และเป็นพวกเราที่ต้องใช้เวลาพูดกล่อมเขาอยู่นานกว่าเขาจะใจเย็นลง นี่เจ้ายังจะไม่ให้เงินสินบนเราหน่อยรึ ? ถ้าเจ้าอยากได้เงินห้าสิบตำลึง งั้นครอบครัวเราจะวิ่งขึ้นวิ่งลงไปเพื่ออะไร ยังไงก็ทำแบบนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน ถ้าจะทำแบบนั้น สู้ปล่อยเรื่องนี้ไปซะยังดีกว่า”
โจซื่อเห็นเจียงป่าวชิงทำท่าทางลังเลจึงฉวยโอกาสนี้พูดขึ้น “อีกอย่าง ถ้าเจ้าสามารถเป็นเมียน้อยของนายกาวได้ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้า นายกาวต้องไปที่ห้องของเจ้าทุกวันแน่ ๆ ถึงตอนนั้นถ้าหากว่าเจ้าพยายามสักหน่อยและมีลูกชายได้ก่อนใคร ทรัพย์สินของครอบครัวนั้นทั้งหมดก็จะตกเป็นของเจ้า แล้วแบบนี้เจ้ายังจะมาสนใจเงินห้าสิบตำลึงนี้ทำไมอีก ?”
เจียงป่าวชิงแกล้งทำสีหน้าเข้าอกเข้าใจประมาณว่าถูกโจซื่อกล่อมได้สำเร็จ นางผ่อนคลายความตึงเครียดจากหัวข้อสนทนานี้ “ถ้าอย่างนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ที่ท่านอาพูดมาก็มีเหตุผล แต่ถ้าข้าไปแล้ว พี่ชายข้าก็ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว ถึงตอนนั้นพวกท่านต้องช่วยเหลือเขาให้มาก ๆ นะเจ้าคะ”
โจซื่อเห็นเจียงป่าวชิงตอบรับก็ดีใจมาก นางรีบพูดขึ้นอย่างต่อเนื่อง “จะต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ก็เราเป็นครอบครัวเดียวกันหนิ เจียงหยุนชานเป็นปัญญาชนคนเดียวที่เป็นลูกหลานจากตระกูลเจียงของเรา เจ้าดูสิ ถึงตอนที่เจ้าเป็นเมียน้อยของนายกาวได้แล้ว เจ้าสามารถช่วยเหลือพี่ชายเจ้าเกี่ยวกับเรื่องการเรียน เจ้าหาอาจารย์ดี ๆ สักคนให้เขาหรืออะไรก็ยังได้”
เจียงป่าวชิงเผยรอยยิ้มกระดากอายออกมาให้เห็น แต่เหมือนนางนึกอะไรบางอย่างได้จึงพูดเน้นกับพวกนางอีกครั้ง “ครอบครัวข้ายากจนเกินไปจริง ๆ เมื่อพวกท่านได้เงินห้าสิบตำลึงแล้ว พวกท่านแบ่งให้พี่ชายของข้าสักสิบตำลึงเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนก่อนนะเจ้าคะ ต่อไปถ้าข้ามีเงินอยู่ในมือแล้ว ข้าคืนให้พวกท่านอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
การที่เจียงป่าวชิงสนใจเงินห้าสิบตำลึงเช่นนี้ ถือว่าเป็นการขจัดความสงสัยในใจของโจซื่อกับหลีโผจื่อโดยสิ้นเชิง
ถ้าหากว่าเป็นการหลอกพวกนางจริง ๆ เจียงป่าวชิงจะยังแบ่งเงินสกปรกก้อนนั้นกับพวกนางอย่างไม่ยอมแพ้แบบนี้ได้ยังไง
สุดท้าย หลังจากชักไปชักมากันอยู่นาน ก็ตกลงกันได้ว่าทางพวกโจซื่อจะมอบเงินให้เจียงหยุนชานเป็นจำนวนเจ็ดตำลึง
ทั้งสองฝ่ายต่างรู้สึกพึงพอใจมากก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน
……
เผลอแป๊บเดียววันเวลาก็ดำเนินมาถึงเช้าของวันที่สิบแปด
ในตอนเช้าตรู่ที่มีแสงแดดอ่อน ๆ ครอบครัวสิบกว่าครอบครัวต่างส่งลูกสาวหน้าตาสะสวยจากบ้านตัวเองไปที่ทางเข้าวัดบนภูเขาของหมู่บ้านหลิวเจีย
วัดบนภูเขาที่ทรุดโทรมของหมู่บ้านหลิวเจียแห่งนี้คงไม่มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเยียนเป็นเวลานานแล้ว ประกอบกับพวกสาว ๆ แต่ละคนต่างแต่งตัวงดงามหยาดเยิ้ม ถึงแม้ไม่ใช่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่บรรยากาศโดยรอบก็สวยงามดุจดั่งฤดูใบไม้ผลิ
แต่คนเหล่านี้ไม่ได้มากันอย่างผ่อนคลาย พวกเขาต่างสังเกตกันอย่างระมัดระวังและเกิดการเปรียบเทียบกันโดยไม่รู้ตัว
ต่างคนต่างเป็นศัตรูที่แฝงอยู่ด้วยกันทั้งนั้น
จนกระทั่งมีครอบครัวหนึ่งมาที่นี่ ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ครอบครัวนั้น
หลีโผจื่อยังคงบ่นเจียงป่าวชิงด้วยความรังเกียจ “โหย! แย่ ๆ ๆ สภาพเจ้าดูยากจนมาก เจ้าดูพวกเด็กผู้หญิงบ้านอื่นสิ มีใครไม่แต่งกายงาม ๆ ออกมาบ้าง คนอื่นเขาแต่งเนื้อตัวให้สวยงามด้วยเสื้อผ้าที่ทำให้คนอื่นรู้สึกมีความสุขเมื่อได้เห็น แต่เจ้ากลับแต่งตัวเรียบง่าย เจ้าจงใจทำให้เราอับอายขายหน้าใช่ไหม ?!”
เจียงป่าวชิงทำเป็นไม่ได้ยิน
โจซื่อกลัวว่าหลีโผจื่อจะพูดจนเกินขอบเขตแล้วทำให้เจียงป่าวชิงเกิดการดื้อรั้นยกเลิกข้อตกลง นางจึงรีบดึงแขนเสื้อของหลีโผจื่อแล้วพูดขึ้นเสียงเบา “พอได้แล้วนะแม่ ด้วยรูปลักษณ์ของนาง ถึงยังไงก็ยังดูไม่แย่ ถ้าแม่พูดอีกแล้วนางมาขอเงินเราไปซื้อเครื่องประดับล่ะ จะทำยังไง ?”
เพียงหูได้ยินเรื่องเงิน หลีโผจื่อรีบหุบปากด้วยความแค้นใจทันที
ในตอนนี้เอง หลีโผจื่อกับโจซื่อถึงจะสังเกตเห็นว่าผู้คนที่แต่งกายสวยงามอยู่ตรงหน้าประตูวัดบนภูเขาเหล่านั้นกำลังส่งสายตาสังเกตมองมาทางพวกนางแทบทุกคน และดวงตาของพวกนางแทบจะแปะติดอยู่บนตัวเจียงป่าวชิงอยู่แล้ว
รูปลักษณ์ของเจียงป่าวชิงนั้นเด่นมาก แม้จะอยู่ในหมู่สาว ๆ สวย ๆ ที่ได้รับการคัดเลือกก็ยังเด่นกว่า ใครได้มองแล้วก็ไม่อาจเคลื่อนสายตาไปทางอื่นได้ง่าย ๆ
เจียงป่าวชิงเองก็รู้สึกตัวเช่นกันแต่นางไม่ได้สนใจอะไร ทำเพียงยืนอยู่ในเงามืดด้วยสีหน้าราบเรียบ และพยายามลดความมีตัวตนของตัวเองลง
เห็นได้ชัดว่าหญิงที่มีลูกสาวที่เจียงป่าวชิงเจอเมื่อวันก่อนก็จำเจียงป่าวชิงได้เช่นกัน สีหน้าของนางดูย่ำแย่ในทันใด
นางจงใจพูดขึ้นเสียงดัง “ไอ้โย! เด็กสาวที่ใส่ชุดสีเขียวทางนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าหมั้นหมายแล้วหรอกรึ ? หมั้นแล้วยังไปเป็นเมียน้อยของนายกาวได้ด้วยรึไง ?”
ในทิศทางที่นางชี้มีเพียงเจียงป่าวชิงคนเดียวเท่านั้นที่ใส่ชุดสีเขียว เห็นได้ชัดว่าหมายถึงเจียงป่าวชิง
ทุกคนกะปรี้กะเปร่าทันทีขณะที่สีหน้าของโจซื่อกับหลีโผจื่อพลันเปลี่ยนไป หลีโผจื่อตีหน้าขรึมแล้วส่งเสียงโวยวาย “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร ระวังข้าจะฉีกปากเจ้านะนางขี้อิจฉา!”
โจซื่อเองก็พูดขึ้นเช่นกัน “ไอ้โย! แม้หลานสาวข้าจะงามกว่าลูกสาวของเจ้า แต่เจ้าจะมาพูดเหลวไหลแบบนี้ไม่ได้ จิตใจต่ำช้าเกินไปแล้ว! บ้านไหนจะกล้าพาลูกสาวที่หมั้นหมายแล้วออกมากันเล่า ? ไม่กลัวจมน้ำลายคนอื่นหรือไงฮะ ?!”
ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมแพ้ นางไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นแม้แต่น้อยในตอนที่พูดเสียงดังกว่าเดิมแล้วชี้มือชี้ไม้มาทางเจียงป่าวชิงอย่างไม่เกรงใจ
“อะไร ก็เมื่อวันก่อนนางเป็นคนบอกข้าเอง นางบอกว่าตัวเองหมั้นแล้ว แถมยังหลอกให้เราพูดอะไรไปตั้งเยอะ”
โจซื่อคิดในใจ ที่แท้เจ้าเท้าเล็กนี่ก็ได้ยินเรื่องเงินห้าสิบตำลึงมาจากหญิงคนนี้นี่เอง
เจียงป่าวชิงยิ้มกระดากอาย “น้าอย่าโกรธไปเลยจ้ะ ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อยก็เท่านั้นแหละ”
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกโมโหต่อท่าทางไร้ยางอายของเจียงป่าวชิง นางหายใจไม่ทันไปชั่วขณะจนลูกสาวของนางต้องรีบเข้ามาลูบหลังให้เพื่อให้นางหายใจสะดวกขึ้น แต่ก็ยังไม่วายถลึงตาใส่เจียงป่าวชิงอย่างโหดเหี้ยมไปด้วย
“แม่ ถึงตอนนั้นข้าจะบอกนายกาวเองเจ้าค่ะ นายกาวจะต้องไม่ชอบผู้หญิงแบบนางอย่างแน่นอนเลยเจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงแอบพูดในใจว่าเจ้านี่ก็ช่างมีความปรารถนาอันแรงกล้าจริง ๆ แต่จะได้เห็นนายกาวหรือเปล่านั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ ตอนที่ผู้คนที่รออยู่หน้าวัดบนภูเขามองเจียงป่าวชิงอีกครั้ง สายตาของพวกเขาจึงดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เจียงป่าวชิงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ทำเพียงรอคอยอย่างอดทนเพื่อให้รถม้ามาถึงก็เท่านั้น