ตอนที่ 2110 กลับไปที่นครอนันต์อีกครั้ง (2)
“ข้าเข้าใจแล้ว…” อวิ๋นลั่วเฟิงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนเจ้า”
หัวหน้าเผ่าคิดว่าอวิ๋นลั่วเฟิงโกรธจึงแนะนำว่า “แม่นางอวิ๋น เจ้าเห็นความแข็งแกร่งของหลงเหยียนแล้วดังนั้นข้าจะให้เขาไปช่วยเจ้า ข้ารับประกันได้เลยว่าไม่มีใครในแผ่นดินนี้ที่ต่อกรกับหลงเหยียนได้นอกจากผู้คุมกฎเหล่านั้น”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ยิ้ม “ไม่จำเป็น ข้ามั่นใจว่าข้ารับมือกับพวกเขาได้”
นางไม่อยากติดหนี้บุญคุณเผ่ามังกรบรรพบุรุษ! ถ้านางไม่มีทางเลือกอื่น นางก็คงขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่ในเมื่อนางไม่เป็นไร นางก็ไม่คิดจะร้องขอ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าก็มาขอให้เผ่ามังกรบรรพบุรุษช่วยได้ ตราบใดที่คำขอของเจ้าไม่ได้มากเกินไป เผ่ามังกรบรรพบุรุษของพวกเราก็ยินดีให้ความช่วยเหลือแน่นอน!”
อวิ๋นลั่วเฟิงไม่ได้พูดอะไรอีกและหันไปหาอวิ๋นเซียว
ดวงตาเดือดดาลในตอนแรกของนางก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นดวงตาโศกเศร้าของชายหนุ่ม นางก็พูดขึ้นมาอย่างหมดหนทาง “อวิ๋นเซียว ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าก็ห้ามเสี่ยงชีวิตตัวเองเด็ดขาด!”
“ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น ข้าแค่อยากให้ท่านมีชีวิตรอด”
อวิ๋นลั่วเฟิงหรี่ตาที่มีประกายอันตราย “ถ้าท่านกล้าตาย ข้าก็กล้าลงไปโลกหลังความตายเพื่อลากท่านออกมา!”
“เฟิงเอ๋อร์” อวิ๋นเซียวดึงมืออวิ๋นลั่วเฟิงมากุมแล้วพูดอย่างรักใคร่ว่า “ข้าผิดเอง ยกโทษให้ข้าเถอะ ได้หรือไม่”
อวิ๋นลั่วเฟิงจ้องหน้าเขาอย่างดุร้าย “ข้าจะแก้แค้นท่านบนเตียง!”
“ท่านจะแก้แค้นอย่างไร”
“ข้าจะทำให้ท่านไม่สามารถลุกจากเตียงได้!” อวิ๋นลั่วเฟิงบีบมืออวิ๋นเซียวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงความดุดันร้ายกาจเอาไว้
อวิ๋นเซียวที่โศกเศร้าในตอนแรกก็มีเบิกบานขึ้นเพราะคำพูดของอวิ๋นลั่วเฟิง “ข้าไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว”
ใบหน้าของอวิ๋นลั่วเฟิงมืดครึ้ม นางลืมไปจริงๆ ว่าปกติบุรุษผู้นี้อาจจะดูเชื่อฟัง แต่เขาจะกลายเป็นสัตว์ป่าทันทีที่เขาอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่านางจะเหนื่อยจนใกล้ตาย สัตว์ป่าตัวนี้ก็ไม่มีทางลุกจากเตียงไม่ได้
“นายท่าน” เสี่ยวฉงทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ “ถึงแม้ว่าพวกท่านจะอยากเกี้ยวพากัน ท่านก็ช่วยคิดถึงอารมณ์ของมังกรไร้คู่อย่างข้าบ้างไม่ได้หรือ”
ดูเหมือนว่าครั้งนี้เขาคงต้องหาคู่บ้างแล้วเพื่อหลีกเลี่ยงความหงุดหงิดจนตายเพราะการแสดงความรักของพวกเขา
อวิ๋นลั่วเฟิงเหลือบมองเสี่ยวฉงแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรเขา นางหันไปมองหัวหน้าเผ่ามังกรอีกครั้งแล้วถามว่า “พวกเราจะไปได้เมื่อไหร่”
“ตอนนี้เลยดีหรือไม่” หัวหน้าเผ่าตอบโดยไม่ลังเล
ส่วนฉินเทียนเหลาและคนอื่นๆ พวกเขาก็ทิ้งไว้ให้หลงเหยียนจัดการได้
…
เผ่ามังกรบรรพบุรุษไม่ได้มีมังกรเยอะมากนัก เรียกได้ว่ามีเพียงหยิบมือเท่านั้น เพราะแบบนั้นทำให้ปัสสาวะแค่ครึ่งขวดก็ใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ ถึงจะได้มา
สามวันหลังจากนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็เข้าไปในสวนสมุนไพรพร้อมปัสสาวะที่นางรวบรวมมาแล้วรดลงไปที่ฐานของต้นเขฬะมังกร ไม่นานต้นไม้ก็เริ่มบานสะพรั่งแล้วออกผลอีกครั้ง กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น
เมื่อมีผลเขฬะมังกรเหล่านี้ คนในเหล่าทัพเหล็กกล้าและเหล่าทัพเพลิงพิโรธทั้งหมดก็ผ่านด่านเลื่อนระดับ แต่ว่าครั้งนี้อวิ๋นลั่วเฟิงให้เหล่าทัพอยู่ในมิติลวงตาเพื่อผ่านด่าน ดังนั้นจึงไม่ได้ทำเกิดความวุ่นวายมากเกินไป
หลังจากที่แจกจ่ายผลเขฬะมังกรหมดแล้ว อวิ๋นลั่วเฟิงและอวิ๋นเซียวก็ออกจากแผ่นดินเทพวิญญาณแล้วมุ่งหน้าไปที่นครอนันต์
นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่อวิ๋นลั่วเฟิงมาที่นครอนันต์ ครั้งแรกคือตอนที่นางได้ครอบครองนครอนันต์ นางก่อตั้งหอแพทย์ขึ้นที่นี่และมีโอกาสได้พบสหายที่สนิทที่สุดถึงสองชาติอย่างหนานกงอวิ๋นอี้
ตอนที่ 2111 กลับไปที่นครอนันต์อีกครั้ง (3)
ครั้งที่สองคือตอนที่นางผ่านที่นั่นโดยบังเอิญขณะที่กำลังกลับ และนางก็ไปแก้แค้นให้อวิ๋นรั่วสุ่ยและเยี่ยจวินหลังจากที่พวกเขาโดนรังแก เมื่อรวมกันแล้วนี่จึงเป็นครั้งที่สามที่นางเข้าไปที่นครอนันต์
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้าเคยเจอถ้ำใต้ดินในนครอนันต์และที่นั่นก็มีสัตว์วิญญาณอสูรที่แข็งแกร่งมากอาศัยอยู่ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถเข้าไปสำรวจได้มาก่อน! แล้วครั้งสุดท้ายนั่นข้าก็รีบมากจึงไม่มีเวลาไปสำรวจ” อวิ๋นลั่วเฟิงหยุดเดินแล้วหันไปหาอวิ๋นเซียว
อวิ๋นเซียวดึงอวิ๋นลั่วเฟิงเข้ามาในอ้อมกอดด้วยท่าทางอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็ไปดูกันเถอะ”
“ได้”
พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไปแล้วเข้าไปในถ้ำ
…
ใต้ดินมืดสนิทแต่อวิ๋นลั่วเฟิงก็ยังเห็นหมอกหนาสีดำคืบคลานเข้ามาหาพวกเขา นางพูดว่า “อวิ๋นเซียว หมอกดำนี้มีพิษ จำไว้ว่าอย่าหายใจ” แล้วนางก็กลั้นหายใจ
ความจริงแล้วถึงแม้ว่าอวิ๋นลั่วเฟิงจะไม่ได้เตือน อวิ๋นเซียวก็รู้ว่าหมอกดำนี้ไม่ใช่หมอกธรรมดา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับอวิ๋นลั่วเฟิงนอกจากพยักหน้า “ข้าจะจำไว้”
ทั้งคู่ไม่ได้สนทนาอะไรกันอีกแล้วเดินเข้าไปในหมอกดำ ไม่นานพวกเขาก็เดินผ่านหมอกดำมาได้
จากนั้นพวกเขาก็เห็นโครงกระดูกเรียงรายกันเป็นแถว และโครงกระดูกพวกนี้ก็มีสมบัติซ่อนอยู่ในตัว แต่สมบัติเหล่านั้นก็ถูกอวิ๋นลั่วเฟิงกวาดไปจนหมดตั้งนานแล้ว ดังนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงจึงไม่ลังเลที่จะเดินผ่านพวกโครงกระดูกพวกนี้ไป
“มังกรสวรรค์เก้าปีก”
มังกรสวรรค์เก้าปีกที่เสี่ยวโม่เคยบอกว่าอันตรายมากก็ปรากฏสู่สายตาของอวิ๋นลั่วเฟิง มังกรสวรรค์เก้าปีกยังคงหลับลึกอยู่และไม่ได้สังเกตว่ามีคนเข้ามาใกล้ ร่างใหญ่โตมโหฬารของเขาขดตัวขวางประตูขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
“มังกรสวรรค์เก้าปีกเป็นสัตว์อสูรดุร้ายจากโบราณกาลที่แข็งแกร่งและน่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ครั้งหนึ่งเขาเคยปกครองท้องทะเลในฐานะราชัน และไม่นานก็เกิดสงครามระหว่างมนุษย์ขึ้น เพียงหนึ่งลมหายใจของเขาก็ทำลายกองทัพอาชาและมนุษย์แข็งแกร่งหนึ่งพันนายลงได้ ลมหายใจเพลิงเพียงครั้งเดียวก็ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟติดต่อกันนานหลายเดือนโดยที่ไม่ดับ แค่เขากระพือปีกเพียงหนึ่งครั้งอาณาจักรทั้งอาณาจักรก็ล่มสลายและใต้หล้าก็เข้าสู่กลียุค เพียงแค่สะบัดหางทุกพื้นที่ที่วาดผ่านก็กลายเป็นซากปรักหักพังทันที”
คำอธิบายในหนังสือประวัติศาตร์ที่พูดถึงมังกรสวรรค์เก้าปีกก็ปรากฏขึ้นในความคิดของอวิ๋นลั่วเฟิงแล้วนางก็ยิ่งสงสัย ถึงแม้ว่านางจะเป็นถึงผู้ฝึกฌานขั้นเซียนอาวุโสแล้วแต่นางก็ยังไม่กล้าประมาทมังกรสวรรค์เก้าปีกตัวนี้
ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไปใกล้มังกรสวรรค์เก้าปีกมากขึ้น ลมหายใจหนักๆ ของเขาก็ดังขึ้น ดังขึ้น ลมหายใจแรงของเขาเหมือนกันอัสนีสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนตัวสั่น
อวิ๋นลั่วเฟิงสูดหายใจเข้าลึก ฝีเท้าของนางเบามากด้วยเกรงว่าหากเดินไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวจะทำให้มังกรสวรรค์เก้าปีกตื่น โชคดีที่มังกรยังคงหลับอยู่เมื่อพวกเขาเดินไปถึงด้านข้าง ราวกับไม่ว่าเขาจะนอนมากขนาดไหนก็ยังไม่พอ ถึงอย่างนั้นอวิ๋นลั่วเฟิงก็ไม่ได้ผ่อนคลาย นางเดินเลี่ยงมังกรไปอย่างระมัดระวังแล้วมือของนางก็ยื่นไปผลักประตูที่มังกรตัวมหึมาปกป้องอยู่โดยไม่ตั้งใจ
ทว่าก่อนที่มือของนางจะสัมผัสถูกประตู นางพลันสบเข้ากับดวงตาดุร้ายป่าเถื่อน ดวงตานั่นไม่มีความรู้สึกใดๆ แบบมนุษย์ แล้วดวงตาสีโลหิตคู่นั้นก็แสดงความโหดร้ายออกมาโดยสัณชาตญาณ
“เฟิงเอ๋อร์!” อวิ๋นเซียวรีบดึงอวิ๋นลั่วเฟิงเข้ามาในอ้อมกอดทันทีที่มังกรสวรรค์เก้าปีกเริ่มลุกขึ้น เขาใช้แขนเสื้อป้องกันสายลมที่ปีกขนาดใหญ่สร้างขึ้น