บริษัทกู้ซื่อ ถือเป็นบริษัทในประเทศเอ้าตูที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่กล้าหยามเกียรติ ในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อให้กู้จือเหาเดินขวางทางใคร ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา กู้จือจึงเหาตกใจมาก ใครกันที่ใจกล้ามาบีบคอเขา
เขาอยากจะขัดขืน แต่ถูกผู้ชายคนนั้นกระชากคอเสื้อแน่นจน ไม่สามารถขัดขืนไม่ได้ ส่วนบอดี้การ์ดของเขาถูกเหลิ่งรั่วปิงเตะจนนอนหงายกับพื้น ไม่สามารถลุกไม่ได้เช่นกันขึ้นยืน เขาจึงทำได้เพียงยอมรับกับโชคชะตา ปล่อยให้ตนเองถูกลากไปที่หน้ารถสีดำคันหรู
ก่วนอวี้ปล่อยมืออย่างแรง ทำให้กู้จือเหาล้มลงกับพื้น
กู้จือเหาสบถในใจ เขาโมโหมาก ลุกขึ้นมาจะต่อยก่วนอวี้ “ให้ตายสิ รู้ไหมว่ากูเป็นใคร”
ก่วนอวี้หัวเราะในลำคอด้วยความเย้ยหยัน เขาเดินไปเปิดประตูรถให้กับหนานกงเยี่ย
ผู้ชายสูงโปร่งหน้าตาดีเดินลงจากรถด้วยความสง่า สายตาเย็นยะเยือกแทบจะมองทะลุร่างของกู้จือเหา ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึง ไม่มีความอ่อนโยนแม้แต่น้อย
กู้จือเหานิ่งค้างอยู่หลายวินาที เขาตกใจจนขาอ่อนไปหมด “คุณ…คุณชายหนานกง!”
ชื่อเสียงของหนานกงเยี่ยดังไปทั่วโลก ตระกูลหนานกงมีส่งผลกระทบต่อประเทศเอ้าตูไม่น้อย ถึงแม้กู้จือเหาจะเป็นลูกคนรวยที่ไม่เอาไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้ว่าหนานกงเยี่ยเป็นใคร
ใบหน้าของหนานกงเยี่ยเย็นยะเยือกจนน้ำแข็งแทบจะก่อตัว แววตาดุดันราวกับต้องการสังหารคนฉายออกมา จ้องมองไปยังมือของกู้จือเหาที่จับข้อมือของเหลิ่งรั่วปิงเมื่อครู่ หลังจากนั้นสามวินาที เขาก็ลงมือจัดการด้วยตนเอง
กึกรึก! มือของกู้จือเหาถูกหนานกงเยี่ยบิดจนหัก
“อ๊าก!” กู้จือเหาคุกเข่าลงกับพื้นร้องด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเม็ดโตผุดออกมา “คุณ…คุณชายหนานกง ผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจครับ”
หนานกงเยี่ยรับผ้าเช็ดมือมาจากก่วนอวี้ เขาเช็ดมือตนเองช้าๆ “อย่าให้ฉันรู้ว่านายตามตอแยฉู่หนิงซยาอีก ไม่อย่างนั้นรอบหน้าคงจะไม่ใช่แค่มือนายเท่านั้นที่หัก แต่ทั้งตระกูลกู้ต้องชดใช้เพื่อนาย”
ผู้หญิงของหนานกงเยี่ย ไม่ใช่ผู้หญิงที่ใครหน้าไหนจะสามารถคิดไม่ซื่อได้ ลูกหมาลูกแมวอย่างของกู้จือเหาคิดจะทำให้เธอแปดเปื้อน สมควรตาย!
หนานกงเยี่ยโยนผ้าเช็ดมือทิ้ง กลับเข้าไปนั่งในรถด้วยความเย็นชา เขาไม่ปรายตามองกู้จือเหาอีก
ก่วนอวี้ปิดประตูให้กับหนานกงเยี่ย นั่งประจำที่นั่งคนขับ สตาร์ตทรถยนต์แล้ว ขับออกไป
กู้จือเหาคุกเข่าอยู่บนพื้นหิมะ เวลานี้เขาไม่รู้สึกเจ็บแล้ว เพราะความกลัวเข้ามาแทนที่เส้นประสาททั้งหมด
คุณชายหนานกงก็ชอบฉู่หนิงซยาด้วยอีกคน ต่อให้ตนใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าแย่งผู้หญิงของเขา!
*****
“คุณชายเยี่ย ไปไหนดีครับคุณชายเยี่ย”
สายตาของหนานกงเยี่ยจับจ้องไปที่รถของเหลิ่งรั่วปิง น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน ฟุ้งไปด้วยกลิ่นความคิดถึง “ขับตามเธอไป ดูว่าเธอทำอะไรบ้าง” ไม่ได้เจอกันนาน เขาอยากจะจ้องมองดูเธอทุกวินาที
“ครับ” ก่วนอวี้ขับรถเร็วขึ้นเล็กน้อย รักษาระยะห่างกับรถของเหลิ่งรั่วปิงเป็นอย่างดี เขารู้ คุณชายเยี่ยไม่สามารถทนรอจนถึงวันงานประชุมนานาชาติด้านการออกแบบไม่ไหว วันนี้อากาศเพิ่งดีขึ้น เขาก็รีบสั่งให้คนดำเนินเรื่องแล้วนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาประเทศเอ้าตูทันที หลังจากลงเครื่อง หนานกงเยี่ยก็ไม่แวะพักผ่อน เขาตรงดิ่งมาที่ใต้คอนโดมิเนียมของเหลิ่งรั่วปิง ความคิดถึงของเขามากเท่าไรหร่ ใจเขาก็ร้อนมากเท่านั้น
“อยากไปช้อปปิ้งที่ไหน” เหลิ่งรั่วปิงขับรถ แล้วเอ่ยถามไซ่หย่าเซวียน
“ไปที่ห้างสรรพสินค้าซินซื่อจี้กันเถอะ ฉันแอบไปสืบมาแล้ว วันนี้พี่เทียนรุ่ยไปที่ซินซื่อจี้เหมือนกัน”
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “เธอชอบพี่เทียนรุ่ยมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แน่นอนสิ ฉันชอบพี่เทียนรุ่ยตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ ปีนี้ฉันอายุยี่สิบเอ็ดแล้ว ฉันชอบเขามาสิบสี่ปี เธอคิดดูสิว่าฉันจะชอบพี่เทียนรุ่ยมากแค่ไหน”
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไร เธอนึกถึงอวี้หลานซีขึ้นมา อวี้หลานซีกับไซ่หย่าเซวียนเหมือนกัน เธอชอบหนานกงเยี่ยมาสิบกว่าปีแล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขามันมากเกินไป มากจนทำให้หนานกงเยี่ยทำใจปฏิเสธไม่ได้ บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุแบบนี้ สุดท้ายหนานกงเยี่ยก็เลยหวั่นไหว เพื่ออวี้หลานซี เขายอมทำให้เธออับอายขายหน้า
แต่ทว่า ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ หนานกงเยี่ยก็ไม่ควรได้รับการยกโทษ ถ้าเขาอยากจะแต่งงานกับอวี้หลานซี แค่ทิ้งเธอเงียบๆ ก็ได้ เธอจะไม่มีวันตามตอแยและไม่มีวันรั้งเขาเอาไว้เด็ดขาด เธอจะไปจากเขาเงียบๆ แต่ทำไมเขาต้องทำให้เธออับอายขนาดนั้นด้วย หรือทำเพราะต้องการแลกกับรอยยิ้มของอวี้หลานซี
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำให้เธอต้องขายหน้าแบบนั้น ทำลายศักดิ์ศรีของเธอ เธอคงไม่มีวันตัดสินใจเด็ดขาดขนาดนี้ นึกถึงตอนที่เขาตอนที่ถูกเธอทำร้ายจนเลือดไหลอาบยตัวบนทางด่วน เวลานี้เธอยังคงรู้สึกปวดใจ แต่เธอไม่มีวันกลับไปหาเขาเด็ดขาด ในเมื่อตัดสินใจเดินออกมาแล้ว ก็ไม่มีวันที่จะหันกลับไปทางเดิมเด็ดขาด
“หนิงซยา เธอเป็นอะไรไป วันนี้เหมือนว่าเธอจะมีเรื่องในใจ?” ไซ่หย่าเซวียนมองเหลิ่งรั่วปิงด้วยความแปลกใจ รู้สึกว่าเหลิ่งรั่วปิงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหลิ่งรั่วปิงกระพริบตาปริบๆ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้ม “เปล่า แค่อากาศหนาวก็เท่านั้น”
เหลิ่งรั่วปิงคิดว่า การตัดสินใจเด็ดขาดของเธอในตอนนั้น สามารถทำให้เธอมีชีวิตที่เป็นอิสระ แต่ว่า เวลานี้เธอกลับรู้สึกเศร้า ตอนที่อยู่ใต้คอนโดมิเนียมเมื่อครู่กี้ ความรู้สึกน่าเกรงขามที่แสนจะคุ้นเคย ทำให้เธอนึกถึงความทรงจำเก่าๆ เขาเป็นผู้ชายคนแรกของเธอ และเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอเคยใกล้ชิด เธอกับเขาอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวันทั้งคืน ลมหายใจของเขาซึมเข้ามาในเลือดของเธอแล้ว เรื่องระหว่างเธอกับเขาไม่ใช่สิ่งที่จะลืมได้ในวันสองวัน เขารักและตามใจเธอมาก แต่กลับเป็นคนผลักเธอลงขุมนรก เธอเคยหัวใจเต้นแรงเพราะเขา แต่สุดท้ายหัวใจของเธอมันกลับตายด้านไปหมด สิ่งเดียวที่เหลือในตอนนี้ คือความคิดถึงที่เกิดขึ้นบางเวลาและความเศร้า
“อื้ม” ไซ่หย่าเซวียนพยักหน้าเข้าใจ “ตอนนี้เธอขี้หนาวมากเลยเนอะ จำได้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ได้ขี้หนาวขนาดนี้นี่หนิ เพื่อที่จะตามจีบพี่ชายของฉัน เธอยืนบนพื้นหิมะได้เป็นครึ่งค่อนวัน เธอใช่ฉู่หนิงซยาหรือรึเปล่าเนี่ย”
“ใช่สิ ใช่อยู่แล้ว” คำพูดนี้ เหลิ่งรั่วปิงบอกกับตนเอง หลังจากนี้เธอคือฉู่หนิงซยา ครึ่งชีวิตแรกของฉู่หนิงซยา ฉู่หนิงซยาตัวจริงใช้มันไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นชีวิตที่เหลือ เธอขอเป็นคนใช้มันเอง
ห้างสรรพสินค้าซินซื่อจี้ คือห้างสรรพสินค้าที่หรูที่สุดในเมืองหลวงของประเทศเอ้าตู เป็นศูนย์แหล่งรวมเสื้อผ้ารองเท้าและหมวกต่างๆ ของแบรนด์ด์ระดับโลก ติดกับห้างสรรพสินค้าแห่งนี้คือร้านอาหารหรู คนที่มาจับจ่ายใช้สอยที่นี่ได้ล้วนเป็นคือชนชั้นสูงของประเทศเอ้าตู
ไซ่หย่าเซวียนพาเหลิ่งรั่วปิงเดินเข้าออกร้านแล้วร้านเล่า ถ้าจะบอกว่าเดินช้อปปิ้ง สู้บอกว่าตามหาคนยังจะถูกกว่า
“สายสืบของฉันบอกว่าพี่เทียนรุ่ยมาซินซื่อจี้นี่หนิ ทำไมถึงไม่เห็นพี่เทียนรุ่ยลุ่ยเลยล่ะ” ไซ่หย่าเซวียนหงุดหงิดมาก
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มด้วยความจนปัญญา “ซินซื่อจี้ใหญ่ขนาดนี้ มีทั้งหมดเก้าชั้น อีกทั้งยังมีตั้งสามโซนติดกัน จะหาเจอง่ายๆ ได้ยังไง ขืนหาแบบนี้ต่อไป ฉันว่าพวกเราคงขาหักก่อนที่จะเจอพี่เทียนรุ่ย!”
ใบหน้าเล็กๆ ของไซ่หย่าเซวียนบึ้งขึ้นมาทันที “เฮ้อ ทำยังไงดี”
“จากประสบการณ์ของฉัน ฉันว่าหลังจากที่พี่ของฉันเดินห้างเสร็จ ต้องแวะกินข้าวาที่ภัตตาคารหลงเถิงเยี่ยนแน่นอน พวกเราไปดักรอที่นั่นเถอะ”
ไซ่หย่าเซวียนอารมณ์ดีขึ้นมาทันที “จริงด้วย ไปกันเถอะๆ ฉันอยากหาอะไรกินพอดีเลย”
ไซ่หย่าเซวียนดีใจขึ้นกะทันหันแบบนี้ ทำเอาเหลิ่งรั่วปิงเดินตามเธอด้วยความขบขันตลก แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนมีคนกำลังมองมาที่เธอ เหลิ่งรั่วปิงจึงหยุดเดิน หันหลังกลับไป แววตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ แต่คนก็เดินไปเดินมากันตามปกติ ไม่มีอะไรน่าสงสัย
“เป็นอะไรเหรอ หนิงซยา?”
“เปล่า” เหลิ่งรั่วปิงดึงสายตากลับมา เธอเคาะหัวของตนเองเบาๆ เริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะอากาศที่หนาวจนเกินไปทำให้ตนเองคิดมากไปเองหรือรึเปล่า ทำไมถึงรู้สึกว่ามีคนมองตนเองตลอดเวลา
“ทำไมวันนี้เธอทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปกันเถอะ” ไซ่หย่าเซวียนคล้องแขนเหลิ่งรั่วปิงแล้วลากเธอไปอีกครั้ง ทั้งสงคนเดินขึ้นบันไดเลื่อน
มองดูแผ่นหลังของเหลิ่งรั่วปิงที่ไกลออกไป หนานกงเยี่ยค่อยๆ เดินออกมาจากมุมแห่งหนึ่ง แววตาของเขาเอ่อล้นด้วยต็มไปด้วยความเศร้า คนที่รักสุดหัวใจอยู่ใกล้แค่นี้ แต่เขากลับไม่สามารถกอดเธอไม่ได้ ไม่สามารถหอมเธอก็ไม่ได้ แม้แต่พูดกับเธอสักคำหนึ่ง เขาก็ยังทำไม่ได้ จะให้บรรยายความเจ็บปวดนี้อย่างไรยังไงดี
ผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวของไซ่ตี้จวิ้น เหลิ่งรั่วปิงเข้ากับน้องสาวของไซ่ตี้จวิ้นได้เป็นอย่างดี ตอนอยู่ที่เมืองหลง เหลิ่งรั่วปิงกับไซ่ตี้จวิ้นรู้จักกันสั้นๆ แค่สองสามวัน แต่เธอกลับซึ้งใจจนไม่สามารถลืมไม่ลงเขาได้ ไซ่ตี้จวิ้นเป็นคนที่ดูแลเอาใจใส่อย่างดี เขารู้ว่าควรจะจัดการกับความสัมพันธ์อย่างไรยังไง เวลาที่เหลิ่งรั่วปิงอยู่กับไซ่ตี้จวิ้น เธอรู้สึกอบอุ่นตลอดเวลาเลยหรือรึเปล่า
ในทางกลับกัน ตัวเขาตนไม่สามารถจัดการความสัมพันธ์ของตนเองกับอวี้หลานซีไม่ได้ ทะเลาะกับเธออยู่หลายครั้ง ทิ่มแทงหัวใจของเธอ ตัวเขาเองก็ทำให้เธอเสียใจมาก เหลิ่งรั่วปิงจึงตัดสินไปจากเมืองหลงได้เด็ดขาดแบบนั้น เธอถึงขั้นยอมตายแต่ไม่ยอมกลับมาหาตน
เขาตนไม่ดีเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาตนเป็นคนผิดเอง!
ตอนนี้ หนานกงเยี่ยเสียใจมาก เสียใจมากๆ จนเอาแต่โทษตนเอง
อย่างไม่รู้ตัว มือใหญ่ของเขาขยี้เสื้อที่วางขายข้างๆ ขยี้จนป้ายราคาบิดเบี้ยวไปหมด
ก่วนอวี้ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเยี่ย เขาถอนหายใจโดยไร้อย่างไม่มีเสียง เขารู้ว่าหนานกงเยี่ยรู้สึกอย่างไรยังไง ตั้งแต่เหลิ่งรั่วปิงไปจากเมืองหลง หนานกงเยี่ยเอาแต่โทษตัวเอง เขาโยนความผิดทั้งหมดให้ตัวเอง จากคนที่เคยพูดคำไหนคำนั้น ทำอะไรตามใจตัวนเอง ไม่เคยคิดว่าตัวนเองผิดมาก่อน คุณชายเยี่ยจอมเผด็จการคนนั้น พอเป็นเรื่องนี้ เขากลับเอาแต่โทษตนเอง
*****
ภัตตาคารหลงเถิงเยี่ยนมีน้ำชายามบ่าย เหลิ่งรั่วปิงและไซ่หย่าเซวียนสั่งเค้กคนละก้อนและชานมคนละแก้ว
เหลิ่งรั่วปิงนั่งสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แต่ไซ่หย่าเซวียนกลับมองอย่างเฝ้ารอ เธอมองไปที่ประตูทางเข้าภัตตาคารเป็นพักๆ รอฉู่เทียนรุ่ยเดินเข้ามา
“ขืนเธอมองต่อไป ประตูภัตตาคารคงผุแน่” เหลิ่งรั่วปิงยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมา
“ฉันกลัวว่าเดี๋ยวพี่เทียนรุ่ยมาแล้วฉันจะพลาดไป” ไซ่หย่าเซวียนแก้มแดงระเรื่อ
เหลิ่งรั่วปิงคลี่ยิ้มบางๆ ผู้หญิงที่วิ่งตามหาความรัก ทั้งเหนื่อยและมีความสุข เหมือนอย่างไซ่หย่าเซวียนในตอนนี้ แต่เธอตนกลับไม่เคยมีโอกาสแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่อายุสิบสามปี เธอก็ถูกกำหนดให้ชีวิตไม่มีความหอมหวานอีกแล้ว เธอยังไม่เคยได้รับรู้ว่าความรักมันเป็นเช่นไรยังไง หัวใจของเธอก็ตายด้านไร้ความรู้สึกไปแล้ว เธอไม่สามารถรักใครไม่ได้อีก เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกอิจฉาไซ่หย่าเซวียนเล็กน้อย
หนานกงเยี่ยเองก็เข้ามาในภัตตาคารหลงเถิงเยี่ยน แต่ว่าเขาเดินเข้ามาทางประตูวีไอพีที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งตรงไปบนชั้นสอง โต๊ะที่เขานั่งสามารถมองเห็นเหลิ่งรั่วปิงได้พอดี ก่วนอวี้สั่งอาหารที่หนานกงเยี่ยชอบกิน แต่เขากลับไม่แตะอาหารแม้แต่คำเดียว เอาแต่มองดูคนที่อยู่ชั้นล่าง ราวกับว่ามองเท่าไรยังไงก็ไม่พอ
จากกันไปสามเดือนกว่า ความคิดถึงมากมายของเขาที่จำเป็นต้องได้รับการปลอบโยน
ถอดเสื้อกันหนาวขนเป็ดตัวหนาออก เหลิ่งรั่วปิงสวมเสื้อไหมพรมสีฟ้าคราม กางเกงเลคกิ้งสีดำ รองเท้าบู้ทข้อสั้น เธอแต่งตัวเรียบๆ แต่กลับสวยเหมือนภาพวาด หุ่นของเธอยังคงอรชรเหมือนเดิม เธอนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นราวกับเป็นรูปปั้นแกะสลัก ผมยาวสลวยของเธอหายไปแล้ว เวลานี้ผมของเธอสั้นประบ่า ปล่อยสลวยตรงหัวไหล่ทั้งสองข้าง เผยให้เห็นลำคอระหงเผยให้เห็นเล็กน้อย คล้ายกับเป็นงานฝีมือชั้นดี
เธอยังคงสวยสมบูรณ์ืแบบราวกับเดินลงจากปุยเมฆปุย เหมือนนางฟ้าผู้แสนบริสุทธิ์กำลังโปรยดอกไม้ก้าวเดินลงมาบนโลกมนุษย์