ผ่านไปครู่ใหญ่ก็รู้ผลแพ้ชนะของไก่ชนสองตัวที่ต่อสู้กัน ขันทีจับพวกมันใส่กรงที่สร้างขึ้นมาอย่างสวยงามแล้วนำออกไป
จากนั้นก็คล้ายว่าฮ่องเต้เพิ่งสังเกตเห็นเซี่ยซิ่งเหยียนกับบุรุษอีกคน จึงเรียกทั้งสองคนเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเซี่ยมาแล้วหรือ” แล้วสั่งขันทีที่อยู่ข้างๆ “หาที่นั่งให้ใต้เท้าเซี่ยหน่อย”
ขันทีน้อยยกเก้าอี้เข้ามา เซี่ยซิ่งเหยียนจึงคุกเข่าแล้วโขกศีรษะ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนั้น
ฮ่องเต้เหลือบมองไปที่เฉินเหวินฮั่นครู่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะเอ่ยถาม เฉินเหวินฮั่นก็รีบคุกเข่าลงแล้วโขกศีรษะสามครั้ง
“กระหม่อมเฉินเหวินฮั่น ถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นๆ ปี”
“เจ้าคือเฉินเหวินฮั่นอย่างนั้นหรือ” ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ลุกขึ้นเถอะ”
เฉินเหวินฮั่นลุกขึ้น และเดินก้มหน้าไปยืนอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง
ตอนนี้ฮ่องเต้กำลังพูดคุยกับเซี่ยซิ่งเหยียน แต่ไม่ได้ถามถึงงานเกี่ยวกับบ้านเมือง กลับเป็นเรื่องไก่ชน “…ไก่ชนตัวนี้จะผอมเกินไปไม่ได้ ผอมแล้วไม่มีแรง แต่จะขุนให้อ้วนเกินไปก็ไม่ดี ไม่อย่างนั้นการเคลื่อนไหวจะเชื่องช้า และตาของมัน… ไม่เพียงแต่เบ้าตาลึกเท่านั้น ตาต้องเล็กและเป็นสีขาวชั้นดีบริสุทธิ์ สายตาแหลมคม จับจ้องไปที่คู่ต่อสู้โดยไม่หวาดกลัว”
จากนั้นก็กล่าวว่าไก่ชนที่ดีต้องดูตรงไหนอย่างกระตือรือร้น
เฉินเหวินฮั่นเคยได้ยินมาว่าฮ่องเต้หย่งหนิงทรงชื่นชอบการเล่นตีไก่ชน เมื่อมาเห็นกับตาในวันนี้ ก็เชื่อแล้วว่าเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกัน ไม่อย่างนั้นพระองค์คงไม่มีทางเห็นเรื่องไก่ชนเป็นเหมือนงานของบ้านเมืองเช่นนี้ และไม่มีทางใช้ห้องทรงพระอักษรเป็นที่ต่อสู้ของไก่ชนอย่างแน่นอน
ส่วนเซี่ยซิ่งเหยียนก็ยังเห็นด้วยกับฮ่องเต้ ชั่วขณะนั้นความกระตือรือร้นของพระองค์ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หลังจากพูดคุยอยู่นาน ฮ่องเต้ก็คล้ายนึกอะไรออกจึงเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้าเซี่ย ฎีกาที่ท่านส่งมานั้นเราได้อ่านแล้ว ท่านต้องการให้เฉินเหวินฮั่นผู้นี้รับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการใช่หรือไม่”
ผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการก็เทียบเท่ากับผู้มีอำนาจอันดับสองในกรมพิธีการ เซี่ยซิ่งเหยียนต้องการยัดเฉินเหวินฮั่นเข้าไปก็เพราะอยากจะให้คนของตนไปแฝงตัวอยู่ในกรมนั้น เพื่อเป็นอุปสรรคขัดขวางอวี๋ซิ่งเสวีย
เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม “กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก กระหม่อมเห็นว่าใต้เท้าเฉียนตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการเพิ่งลาออกไปได้ไม่นาน ตำแหน่งนี้จึงว่างลง เมื่อไม่นานมานี้เหล่าขุนนางตำแหน่งสูงได้หารือกันว่าผู้ใดสมควรได้รับตำแหน่งนี้ไป และกระหม่อมก็เห็นว่าผลการทำงานของใต้เท้าเฉินในช่วงหลายปีที่ผ่านมาอยู่ในขั้นดี จึงอยากให้เขารับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงคิดเห็นเช่นไร”
เมื่อเขากล่าวจบก็ยื่นสมุดปกแข็งไปตรงหน้าด้วยสองมือ “สมุดเล่มนี้คือผลการประเมินการทำงานในช่วงที่ผ่านมาของใต้เท้าเฉิน ฝ่าบาทได้โปรดทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ได้บอกว่าเป็นความคิดของตัวเองที่อยากให้เฉินเหวินฮั่นรับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการ แต่บอกว่าเป็นความคิดของเหล่าขุนนางตำแหน่งสูง ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้จะไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แน่นอน
ขันทีน้อยเดินเข้ามารับสมุดในมือเขาไปด้วยสองมือ จากนั้นก็ถวายต่อฮ่องเต้
ฮ่องเต้รับมาเปิดดูเล็กน้อยก่อนจะปิดลง แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักด้วยรอยยิ้ม “เรื่องที่เจ้าทำ เราย่อมวางใจ และแน่นอนว่าคนที่เจ้าแนะนำมานั้นย่อมไม่เลว”
ในขณะที่เฉินเหวินฮั่นกำลังจะดีใจนั้น ก็ได้ยินเสียงเฉื่อยชาของฮ่องเต้ดังขึ้น
“แต่ว่า… ถ้าเราจำไม่ผิด โจวเซ่าจวินผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการอายุก็ใกล้จะหกสิบปีแล้วใช่หรือไม่ เขาเป็นผู้ช่วยฝ่ายขวามานานกว่าสิบปี แต่ยังไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่ง ในเมื่อเฉียนหลางผิงลาออกแล้ว เช่นนั้นก็ให้โจวเซ่าจวินเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้ายในกรมพิธีการ ส่วนเฉินเหวินฮั่นคนที่เจ้าแนะนำนั้น…”
ฮ่องเต้เหลือบมองเฉินเหวินฮั่นครู่หนึ่ง จากนั้นก็มองเซี่ยซิ่งเหยียน “ให้เขารับตำแหน่งผู้ช่วยฝ่ายขวาในกรมพิธีการแทนโจวเซ่าจวินเป็นการชั่วคราวก่อน”
เซี่ยซิ่งเหยียนกับเฉินเหวินฮั่นได้ยินเช่นนี้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้ กระนั้นก็ยังโชคดีที่เฉินเหวินฮั่นได้เข้าไปในกรมพิธีการ จะเป็นผู้ช่วยฝ่ายซ้ายหรือผู้ช่วยฝ่ายขวา ก็ไม่ต้องไปสนใจเป็นการชั่วคราว
จากนั้นเซี่ยซิ่งเหยียนจึงโน้มตัวยกมือคารวะรับคำสั่ง และเฉินเหวินฮั่นก็คุกเข่าโขกศีรษะด้วยความซาบซึ้ง
ฮ่องเต้หย่งหนิงงอเข่าขึ้น แนบสมุดเล่มเล็กไว้ที่ใต้คางของตน จากนั้นก็เอ่ยถามเฉินเหวินฮั่นอย่างไม่สนใจนักว่า เฉินเหวินฮั่นไปประจำการที่ใดมาบ้าง ขนบธรรมเนียมที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่เป็นเช่นไร ก่อนจะถามว่ามีหญิงงามอยู่ที่ใดบ้าง รวมทั้งเรื่องในครอบครัวของเฉินเหวินฮั่น จึงได้รู้ว่าบุตรสาวของอีกฝ่ายอายุสิบแปดปีแล้ว แต่ยังไม่ได้ออกเรือน
เมื่อเฉินเหวินฮั่นได้ยินฮ่องเต้ตรัสถามถึงเฉินอ๋าวเหมย เขาก็ครุ่นคิดในใจทันที
ทุกคนต่างรู้ดีว่าในช่วงที่ผ่านมาฮ่องเต้หย่งหนิงหลงใหลในความงาม ทุกปีจะมีการคัดเลือกหญิงงามกลุ่มหนึ่งเข้าวัง หรือว่าพระองค์จะทรงชอบบุตรสาวของเขา หากเฉินอ๋าวเหมยได้เป็นสตรีข้างพระวรกายฮ่องเต้นั้นย่อมเป็นเรื่องดี ในภายภาคหน้าตระกูลของเขาจะมีอำนาจเป็นอย่างมาก
แต่ในทางกลับกัน…
เฉินเหวินฮั่นเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว เขารู้ว่าพระองค์อายุสี่สิบปี แต่อาจเป็นเพราะเอาแต่เล่นสนุกทุกวัน ร่างกายจึงผ่ายผอม แม้ว่าจะมีหมอหลวงคอยดูแลพระองค์ทุกวัน แต่พระพักตร์ก็ยังซีด รอบพระเนตรดำคล้ำ และหากคำนวณอย่างถี่ถ้วน ฮ่องเต้ก็มีอายุมากกว่าเขาหนึ่งปี หากให้บุตรสาวแต่งงานกับบุรุษที่มีอายุมากกว่าบิดาของนาง ย่อมทำให้นางรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
จู่ๆ ฮ่องเต้หย่งหนิงก็ดูกระตือรือร้นขึ้นมา ก่อนจะหันไปเอ่ยถามเซี่ยซิ่งเหยียน
“เราจำได้ว่าลูกชายของใต้เท้าเซี่ยอายุก็ใกล้จะถึงยี่สิบปีแล้ว และยังไม่ได้ออกเรือนเช่นกันใช่หรือไม่”
เมื่อได้ยินฮ่องเต้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน เอ่ยถึงบุตรชายที่ชอบธรรมของเซี่ยซิ่งเหยียนซึ่งยังไม่ได้ออกเรือน หัวใจของเฉินเหวินฮั่นก็เต้นแรงขึ้นมา และรีบหันไปมองเซี่ยซิ่งเหยียนทันที
เดิมทีเซี่ยซิ่งเหยียนคิดว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์จะรับบุตรสาวของเฉินเหวินฮั่นเข้าวัง จึงยืนอยู่ด้านข้างโดยคิดว่าเรื่องนี้คงไม่เกี่ยวกับเขา แต่พอได้ยินพระองค์ตรัสถามเรื่องบุตรชายของตน เขาก็ตกใจเช่นกัน
แต่ความฉลาดของเขาย่อมมีมากกว่าเฉินเหวินฮั่น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ ผ่านสีหน้า และเอ่ยตอบอย่างนอบน้อม
“ทูลฝ่าบาท แม้ว่าบุตรชายของกระหม่อมจะใกล้ถึงวัยยี่สิบปีแล้ว แต่เพราะเขาถูกท่านย่าของเขาตามใจมากเกินไป จึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจ เรื่องการเรียนไม่สนใจสักนิด กระหม่อมกังวลว่าเขาจะกลายเป็นตัวถ่วงบุตรสาวผู้อื่น ดังนั้นเรื่องการแต่งงานของเขา กระหม่อมจึงยืดเยื้อมาโดยตลอด กระหม่อมอยากให้เขาศึกษาเล่าเรียนก่อนค่อยพูดเรื่องแต่งงานกันอีกทีพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเขานั้นหมายถึงการปฏิเสธอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่เข้าใจแม้แต่น้อย
“ใต้เท้าเซี่ยช่างเจียมเนื้อเจียมตัวจริงๆ บรรพบุรุษของท่านเป็นขุนนางมาตั้งแต่สมัยฮ่องเต้ไท่จู่ ซึ่งกล่าวได้ว่าตระกูลของท่านนั้นเต็มไปด้วยคนที่มีความรู้ ตอนนี้ท่านเป็นขุนนางตำแหน่งสูง น้องชายของท่าน เซี่ยซิ่งเย่ เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ประจำการที่เมืองเจิ้นหยวน พวกท่านสองพี่น้องล้วนเป็นแขนขวาแขนซ้ายของเรา ในภายภาคหน้าลูกชายของท่านจะต้องเป็นกำลังสำคัญของแคว้นอย่างแน่นอน เรายังอยากให้เขาคอยช่วยเหลือองค์รัชทายาท”
ในขณะที่เซี่ยซิ่งเหยียนต้องการจะกล่าวบางอย่าง ฮ่องเต้หย่งหนิงก็กล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “อีกอย่าง… ท่านนักพรตก็บอกว่าการมีครอบครัวและมีกิจการนั้น แน่นอนว่าต้องมีครอบครัวก่อน และย่าของเขาก็อยากจะอุ้มเหลนเร็วๆ เช่นกัน เมื่อครู่นี้เราได้เอ่ยถามอย่างละเอียดแล้ว ลูกสาวของเฉินเหวินฮั่นงดงามยิ่งนัก ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมมาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้เราขอเป็นคนตัดสินใจยกลูกสาวของเฉินเหวินฮั่นให้เป็นคู่หมั้นของลูกชายท่าน ใต้เท้าเซี่ย ท่านคิดเช่นไรหรือ”
แม้ว่าเซี่ยซิ่งเหยียนจะไม่ยอมรับการแต่งงานในครั้งนี้ แต่ในเมื่อฮ่องเต้ได้ลั่นวาจาออกมา เขาจะทำเช่นไรได้ ได้แต่ฝืนทำหน้าปลื้มอกปลื้มใจเท่านั้น ก่อนจะคุกเข่าลงโขกศีรษะ “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
เฉินเหวินฮั่นก็ย่อมปลาบปลื้มเช่นเดียวกัน จึงรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะตามเซี่ยซิ่งเหยียน
ฮ่องเต้หย่งหนิงได้แต่ยิ้ม ทว่าไม่ได้กล่าวอันใด แต่ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นได้ว่าดวงตาของเขาไม่มีรอยยิ้มแม้แต่น้อย
เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าบุตรชายของเซี่ยซิ่งเหยียนยังไม่ได้แต่งงาน เป็นเพราะว่าประการแรก… เจ้าอาวาสวัดต้าเซียงกั๋วเคยทำนายโชคชะตาของเซี่ยเทียนเฉิงผ่านเวลาตกฟาก ว่าเขาจะยังไม่ได้แต่งงานเร็วๆ นี้ อย่างเร็วที่สุดก็ต้องรอให้อายุครบยี่สิบปี มิเช่นนั้นจะนำหายนะมาสู่แคว้นจนเกิดการนองเลือด ประการที่สอง… การแต่งงานนั้นมีความหมายว่าสองตระกูลเกี่ยวดองกัน ทั้งยังถือเป็นการเสริมอำนาจของเซี่ยซิ่งเหยียน จึงต้องหาคนที่สามารถเพิ่มลายดอกไม้ลงบนผ้าทอลาย[1] ให้ดี
แต่ตอนนี้เซี่ยซิ่งเหยียนกุมอำนาจในราชสำนัก ฮ่องเต้หย่งหนิงจะยอมให้เขายิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้อย่างไร การที่พระองค์เลือกคู่ครองให้บุตรชายของเขาจึงจะทำให้ตระกูลเซี่ยสงบได้ชั่วคราว
แต่มันก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น… เพราะชายแดนต้องได้รับการปกป้อง และราชสำนักก็ต้องการคนสั่งการ คนในตระกูลเซี่ยจึงยังมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย
ฮ่องเต้หย่งหนิงสั่งให้เซี่ยซิ่งเหยียนกับเฉินเหวินฮั่นลุกขึ้น ทั้งยังบอกอีกว่างานแต่งนี้เกิดขึ้นเพราะเขา แม้เขาจะเป็นพ่อสื่อให้ แต่ก็ต้องมีสุรา จากนั้นเขาก็เรียกขันทีมาสั่งให้ไปบอกเรื่องน่ายินดีที่ตำหนักของเซี่ยฮองเฮา และสั่งให้ขันทีอีกคนไปที่หอดูดาวหลวง บอกให้พวกเขาดูฤกษ์งามยามดี จากนั้นขุนนางของหอดูดาวหลวงก็ตอบมาว่า วันที่สิบแปดเดือนหนึ่งในปีหน้าตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันดีที่หาได้ยากยิ่ง ฮ่องเต้หย่งหนิงจึงตัดสินใจที่จะให้จัดงานแต่งงานระหว่างเซี่ยเทียนเฉิงกับเฉินอ๋าวเหมยขึ้นในวันนั้น
การได้เป็นญาติกับเซี่ยซิ่งเหยียน อีกทั้งลูกเขยยังเป็นบุตรชายของอีกฝ่าย แน่นอนว่าเฉินเหวินฮั่นย่อมดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึงนี้ แต่เซี่ยซิ่งเหยียนกลับไม่พอใจเป็นอย่างมาก กระนั้นฮ่องเต้ดูมีท่าทีกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก แม้แต่ฤกษ์แต่งงานก็ยังจัดแจงจนเสร็จสรรพ แล้วเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงโขกศีรษะน้อมรับเท่านั้น
ฮ่องเต้หย่งหนิงเห็นเซี่ยซิ่งเหยียนเป็นเช่นนี้ก็ชอบใจยิ่งนัก ทั้งที่ใจไม่ยินยอม แต่ก็ยังคุกเข่าโขกศีรษะ ทำให้เขารู้สึกมีความสุข และเมื่อคิดว่าเรื่องนี้จะทำให้โจวฮองเฮาสบายใจขึ้นไม่น้อย เขาก็ยิ่งมีความสุขมากยิ่งขึ้น
[1] หมายถึง การประดับตกแต่งสิ่งที่สวยงามอยู่แล้วให้สวยงามยิ่งขึ้นไปอีก