บทที่ 326 : ค่ำคืนที่แท้จริงนี้เพิ่งเริ่มต้น…
แม้ว่าพื้นที่โดยรวมของคฤหาสน์ A16 จะใหญ่โต แต่การจัดวางทางเดินเป็นไปได้อย่างชัดเจนมาก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนรับใช้ที่คอยนำทางอยู่เต็มไปหมดบนถนน ดังนั้นการหลงทางจึงไม่เกิดขึ้น
ในแสงสลัวยามคำคืน แขกเหรื่อพากันหลั่งไหลไปตามทางสู่ใจกลางคฤหาสน์อย่างเป็นระเบียบแล้วรวมตัวกันในสถาปัตยกรรมที่เหมือนปราสาทอันสว่างไสวงดงาม เกล็ดหิมะพร่างพราวจากบนฟ้ามีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีน้ำค้างแข็งจับตัวกันให้เห็นตามหลังคา
ทว่าแขกรับเชิญก็ไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด พื้นยังแห้งสนิทอีกด้วย ไม่มีรอยเปียกชื้นจากหิมะละลายเลย
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ออกแบบมันมาอย่างพิถีพิถัน พื้นของคฤหาสน์ทำจากวัสดุพิเศษและมีการเพิ่มอุปกรณ์เวทมนตร์พิเศษที่ทำหน้าที่ให้ความร้อนโดยเฉพาะ จากการรับรู้ของร่างกายหลินเจี๋ย มันอาจจะถูกฝังอยู่ตื้น ๆ แค่สองเมตรได้ ด้วยวิธีนี้ มันจะทำให้หิมะระเหยทันทีอย่างเงียบ ๆ ไปตามกระแสลม ไม่เพียงแต่มันจะทำให้แขกและพื้นคงความสะอาดสะอ้านไว้ มันยังทำให้เกิดฉากหิมะตกขึ้นในบ้านได้ด้วย
…แม้ว่าการออกแบบดังกล่าวจะไม่ได้ใช้เทคนิคอะไรมากมาย แต่ในแง่ของทั้งคฤหาสน์แล้ว ราคาของมันย่อมไม่ต่ำแน่นอน
สมแล้วกับที่เป็นบริษัทพัฒนาทรัพยากรโรลล์ สามารถทำให้ผู้มาเยือนสัมผัสถึงความกล้าหาญของเครือบริษัทการค้าผูกขาดอันดับหนึ่งได้ตั้งแต่หน้างานเลี้ยง สมคำร่ำลือว่า ‘พื้นที่ทุกตารางนิ้วมีค่าดั่งทอง’
หลินเจี๋ยมองพื้นพลางทอดถอนใจอย่างชื่นชม
เขากับเฟจเดินตามฝูงชนไปด้วยกัน ผ่านสวนกุหลาบยักษ์บนเนื้อที่ราวครึ่งไร่
จากที่แขกบางคนคุยกันขณะเดินผ่าน ที่นี่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่เร็ว ๆ นี้โดยคุณหนูตระกูลจี้ มันช่างแยกมันไม่ออกกับดอกกุหลาบอีกดอกที่ประดับอยู่บนร่างของเธอเลย
หลินเจี๋ยลอบคิดว่าที่นี่คงไม่น่าจะเกิดจากดอกไม้ดอกน้อยที่เธอรับไปจากเขาหรอกมั้ง…
อืม พอโยงมันเข้ากับคำปฏิเสธของเขาเองก่อนหน้านี้แล้ว เขาก็รู้สึกผิดนิด ๆ แฮะ
แม้ว่าในทีแรกเขาจะยังกังวลเล็กน้อย แต่เมื่อจี้จือซู่กลับมาเยือนอีกครั้งในภายหลังด้วยท่าทางตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ไม่คิดเลยว่าเธอจะปลูกสวนกุหลาบไว้ที่บ้าน…
แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ จะหาเครื่องย้อนเวลาก็เป็นไปไม่ได้แล้ว
หลินเจี๋ยส่ายหน้าแล้วเดินต่อไปตามทาง ระหว่างทางเขาก็เห็นบุคคลที่คาดไม่ถึงมากมาย พวกเขาล้วนแต่เป็นบุคคลที่ปรากฏบนโทรทัศน์ (ที่ได้รับต่อมาจากเจ้าของร้านสื่อวิดีทัศน์ข้าง ๆ) รวมไปถึงคนดังจากวงการต่าง ๆ และยังมีนักข่าวที่สัมภาษณ์พวกเขาด้วย
สถานที่จัดงานหลักของงานเลี้ยงในครั้งนี้ยังเป็นสามชั้นล่างของอาคารที่เหมือนปราสาทนี้อย่างทุกครั้ง ส่วนสามชั้นกลางว่ากันว่าเป็นสถานบันเทิงต่าง ๆ ในร่มสำหรับแขกเพื่อการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราว และสามชั้นบนเป็นที่พักของแขกรับเชิญที่จะใช้เป็นที่พักผ่อนของพวกเขาในช่วงสามวันนี้
หลินเจี๋ยเคยสงสัยว่าบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้จะทำอะไรได้บ้าง? ต่อให้สร้างห้องสารพัดแบบ แต่อยู่นาน ๆ ไปไม่รู้สึกเบื่อแย่เหรอ?
ตอนนี้เขาได้คำตอบแล้ว…
ห้องเยอะ ๆ พวกนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับเจ้าบ้าน แต่มีไว้สำหรับแขก…
“คุณหลิน ดูเหมือนเราจะมาถึงแล้วนะครับ”
เฟจหันหลังกลับมามองด้วยรอยยิ้มเกือบจะประจบประแจงที่ไม่อยากจะเผยไต๋ออกมาชัด ๆ เขาชี้มือไปที่ประตูปราสาทตรงหน้า
หนังสือที่หลินเจี๋ยให้มาถูกยัดเข้าไปในกระเป๋าซับในขนาดใหญ่ของชุดสูทแล้ว แต่จากภายนอกกลับไม่มีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเลย เจ้าของร้านหลินสงสัยมากว่าอาจมีสิ่งอื่นอันไม่พึงประสงค์ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋านี้ด้วย แต่เขาไม่มีหลักฐานใด ๆ
หลังจากเดินทางกันมาไกล เขาก็เข้าใจประสบการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดจากปากของเฟจแล้ว…
นักไวโอลินที่น่าสงสารคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักระวังตัวจากคนแปลกหน้าเลย ขอแค่หลินเจี๋ยถาม เขาก็จะตอบทุกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับตนเองออกมาอย่างไม่หมกเม็ดและกระตือรือล้นอย่างสุดขีด
นี่ทำให้หลินเจี๋ยเชื่อว่าเขาคิดถูกแล้ว
พ่อหนุ่มคนนี้ไม่เข้าใจเรื่องสัจธรรมแห่งโลกเท่าไร ดังนั้นเขาจึงต้องให้คำแนะนำสักหน่อย การที่เขาให้หนังสือ ‘ศาสตร์หน้าด้านใจดำ’ ไปนั้นถูกต้องแล้ว
หลินเจี๋ยที่ให้ ‘ศาสตร์หน้าด้านใจดำ’ กับเฟจย่อมหวังว่าเขาจะสามารถทำความเข้าใจวิธีการรับมือการเข้าสังคมได้บ้าง และหยุดคิดตื้น ๆ ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากคนอื่นได้ตามใจ…
หากอยากเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแท้จริงต้องอ่าน ‘หนังหน้าต้องหนาพอ และใจต้องดำพอ’
แม้ว่าหนังสือจะเขียนไว้แบบนี้ แต่การฝึกฝนจริง ๆ ก็จะเป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย
หลินเจี๋ยหวังเพียงว่าเฟจจะสามารถประพฤติตนอย่างคนทั่วไปได้
แต่หลังจากได้เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของเฟจแล้ว สิ่งหนึ่งที่หลินเจี๋ยชื่นชมมากก็คือเห็นได้ชัดว่าเขาเคยเผชิญการดูถูกเหยียดหยามในฐานะคนข้างถนนมามากมาย แต่ก็ยังรักษาความปรารถนาดีต่อคนแปลกหน้าได้เหมือนก่อน เรื่องนี้น่ายกย่องจริง ๆ
คงเส้นคงวาจริง ๆ…
หลินเจี๋ยที่ยังมีทัศนคติชื่นชมเขา และหยุดลงที่หน้าประตูปราสาท จากที่นี่เขาสามารถมองเข้าไปเห็นภาพอันมีชีวิตชีวาด้านในได้
ต่างจากความอึมครึมท่ามกลางค่ำคืนหิมะโปรยด้านนอก ด้านในอาคารกลับสว่างไสวสุด ๆ ด้วยแสงไฟ แขกที่แต่งตัวหรูหราเดินไปเดินมาพูดคุยกันอยู่ทั่ว ชายชุดที่สะท้อนบนพื้นหินอ่อนสว่างไสวระยิบระยับ ทำให้เกิดภาพราวกับความฝันฟุ้งเฟ้อ
ผู้เฝ้าประตูทางเข้าผายมือเชิญเข้างานด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วครับ เข้าไปกันเถอะ” หลินเจี๋ยยิ้มให้เฟจแล้วพูดติดตลกว่า “ค่ำคืนที่แท้จริงนี้เพิ่งเริ่มต้น”
ว่าแล้ว เขาก็เดินนำเข้าไปในงานเลี้ยง…
เฟจรีบพยักหน้าแล้วเดินตามไป แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อเขามองชายขอบระหว่างแสงสว่างและความมืดนี้ เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีเกล็ดหิมะเกล็ดหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาจากที่ไหนสักที่ แปะลงที่คอของเขาสร้างความรู้สึกหนาวเยือกจนเขาอดสั่นสะท้านไม่ได้
เขาไม่อาจควบคุมตัวเองให้ยกมือขึ้นถูคอได้ หางตาของเขามีแสงแล่นผ่านวูบหนึ่งราวสายฟ้าที่แลบผ่านท้องฟ้ายามราตรีอย่างกะทันหัน
พื้นดินเหมือนจะสั่นสะท้านแวบหนึ่ง และเสียงฟ้าร้องก็ดังมาจากไกล ๆ
ครืน!!
แขกในงานก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาต่างมองไปไกลแล้วเปิดเครื่องมือสื่อสารออกมายืนยันสถานการณ์ เกิดเป็นความโกลาหลครั้งใหญ่
“เมื่อกี้นี้…ฟ้าผ่าเหรอ?”
“ไม่ ๆๆ ฉันเพิ่งเห็นเมื่อกี้ว่ามีแสงพุ่งจากพื้นขึ้นไปบนฟ้า! ยิ่งไปกว่านั้นมันยังทำให้เกิดแผ่นดินไหวด้วย…ผู้ก่อการร้ายโจมตีอีกแล้วหรือเปล่า?”
“คุณพระคุณเจ้า! ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นบ่อยพอแล้วนะ ทำไมทุกครั้งฉันต้องมาอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเนี่ย อยากทรมานกันแบบนี้จริง ๆ เหรอ?”
“ใจเย็นก่อน เขตกลางจะไม่เป็นไร อย่าห่วงไปเลย อีกอย่างนึงเราอยู่ในงานเลี้ยงของคุณจี้นะ ผมเชื่อว่าเขาจะให้ข่าวที่รวดเร็วและแม่นยำกว่าเราได้แน่ ๆ”
เฟจมองแขกที่พูดเรื่องนี้พลางมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่พร่างพราวด้วยหิมะ วิญญาณของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในร่างของเขาสัมผัสได้ถึงการไหลทะลักที่ผิดปกติของอีเธอร์ได้ในระยะไกลจากฟ้าผ่าครั้งนั้น มันเคยถูกกักไว้ในข่ายในมนตร์ แต่ตอนนี้มันกลับพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่งแล้ว
แค่สัมผัส เขาก็จินตนาการออกแล้วว่าศึกเหนือธรรมชาติตรงนั้นดุเดือดแค่ไหน…?
เขากลืนน้ำลายแล้วมองหลินเจี๋ย “คุณหลินครับ…นี่หรือเปล่าค่ำคืนที่แท้จริงอย่างที่คุณว่า?”
หลินเจี๋ยกะพริบตาแล้วยักไหล่พูดอย่างไร้เดียงสา “เอ่อ…มันเกี่ยวอะไรกับผมครับเนี่ย?”
—