ตอนที่ 99 แพทย์โอสถประจำเมือง
เมื่อฟาร์มากลับมาถึงคฤหาสน์ สถานที่แรกที่เขาเข้าไปก็คือห้องของบรูโน
ในตอนนี้บรูโนกำลังสนทนาเรื่องที่จริงจังกับเบียทริชอยู่
เมื่อเบียทริชสังเกตเห็นฟาร์มาเข้ามาภายในห้อง เธอก็รีบขจัดความเศร้าของเธอออกไปก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
“ว่าไงจ๊ะ ฟาร์มา ยินดีต้อนรับกลับนะ ลูกเป็นอะไรไปเหรอหน้าซีดเชียว”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ หลังจากที่ผมกลับมาถึง ผมเห็นว่าการซ่อมแซมคฤหาสน์บางส่วนของเราก็เสร็จไปบ้างแล้ว ดังนั้นผมเลยคิดว่าเราควรจะรับบลานช์กับคนอื่นๆ กลับมาในวันพรุ่งนี้น่าจะดีนะครับ”
บรูโนส่ายหัวไปมาให้กับฟาร์มาที่เข้ามาในห้องพร้อมกับหิมะที่ติดบนหัวและไหล่ของเขา
“เอาตามที่เจ้าว่าเถอะ แต่พ่อคงจะปล่อยมือจากงานตรงนี้ไม่ได้”
“งั้นเดี๋ยวแม่จะไปกับลูกเองนะ ไม่รู้ว่าบลานช์จะคิดถึงกันบ้างไหมนะ”
“นั่นสิ เจ้าไปกับแม่ของเจ้าก็แล้วกัน”
ขณะที่พูดถึงกำหนดการทั่วไป ฟาร์มาก็ตรวจสอบความกังวลใจของตน ในขณะที่บรูโนกำลังอ่านเอกสารบนโต๊ะของตน
ชีพจรแห่งเทพของบรูโนนั้นมีการตอบสนองที่อ่อนแอมาก
เป็นเหมือนที่ศาสตราจารย์แคสเปอร์กล่าว ชีพจรแห่งเทพของพ่อเขานั้นใกล้สิ้นเต็มทีแล้ว ถึงจะสามารถกระตุ้นมันได้ในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าหากทำเช่นนั้นกับร่างที่โดนคำสาปของศาสตร์ต้องห้าม มันจะเป็นการปลิดชีวิตของบรูโนไปแทนหรือไม่
เมื่อบรูโนรู้สึกว่าดวงตาของฟาร์มาเปลี่ยนไปเขาจึงถาม
“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ”
“ขอโทษนะครับ ตอนนี้ผมกำลังดูชีพจรแห่งเทพของท่านพ่ออยู่”
“เจ้าจะทำไปทำไม”
“ผมไปหาศาสตราจารย์แคสเปอร์มาแล้วครับ แล้วก็ได้ยินเรื่องที่ท่านพ่อใช้ศาสตร์ต้องห้าม ดังนั้นผมถามตรงๆ เลยนะครับ สภาพร่างกายของท่านพ่อมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหมครับ”
บรูโนตอบออกมาตามตรงถึงเรื่องที่ร่างกายของเขาเปลี่ยนไป
“ก็ตามที่เจ้าได้ยิน ใช่แล้วหากพ่อใช้ศาสตร์แห่งเทพอีกแม้แต่ครั้งเดียว พ่อจะตาย แต่อย่างน้อยก็ถือว่าดีที่ไม่ตายเอาตั้งแต่ที่ใช้ศาสตร์ต้องห้าม”
ทางเบียทริชไม่ยอมพูดอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอรู้เรื่องนี้แล้วเช่นกัน
“อย่างงั้นเหรอครับ เนื่องจากท่านไม่ได้สอนศาสตร์ห้องห้ามให้กับผม ผมเลยยังไม่ทราบ แต่ว่ามันเป็นศาสตร์ที่มีราคาถึงขั้นนั้นเลยสินะครับ?”
“ใครมันจะไปสอนศาสตร์ต้องห้ามให้กับเด็กหรือลูกศิษย์ของตัวเองกันล่ะ เดิมที่มันก็ไม่ใช่ศาสตร์สำหรับมนุษย์อยู่แล้ว มันเป็นวิชาของเหล่าเทพผู้พิทักษ์ และเมื่อเราเข้าใกล้กับทวยเทพ มันก็หมายถึงความตายยังไงล่ะ”
“งั้นทำไมท่านพี่ถึงได้..”
“มันเป็นหน้าที่พ่อที่ต้องสอนผู้นำตระกูลเดอ เมดิซิสคนต่อไป ให้รู้ถึงความรู้และประเพณีที่ตระกูลของเรามี ซึ่งพ่อก็ได้ย้ำไปแล้วว่าอย่าได้คิดใช้มัน ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าลูกคนนั้นจะรักษาคำพูดนะ”
(ดูเหมือนพ่อของเราจะไม่รู้ว่าท่านพี่กับเอเลนใช้ศาสตร์ต้องห้ามไปแล้วสินะ คงเพราะท่านแม่ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ให้เขาฟัง…)
เบียทริชที่รู้ความจริงนี้ก็ปิดปากเงียบเอาไว้
“งั้นท่านพ่อช่วยสอนศาสตร์ต้องห้ามให้ผมด้วยได้ไหมครับ ผมสาบานว่าจะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องการสืบทอดผู้นำตระกูลของพี่ชายผมแน่นอน”
“เมื่อกี้เจ้าก็ได้ยินสิ่งที่พ่อพูดไปแล้วนี่”
“ครับ ผมได้ยินชัดเจน”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็กำลังจะบอกว่าตนพร้อมจะเดินบนเส้นทางแห่งความตายอย่างคนเขลางั้นหรือ?”
“ศาสตร์ต้องห้ามนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับมนุษย์ แต่มีไว้เพื่อเหล่าเทพผู้พิทักษ์”
“นั่นคือสิ่งที่เจ้าอยากจะบอกสินะ…”
เหตุผลที่ผู้คนบนโลกนี้ยังจำเป็นต้องใช้ศาสตร์ต้องห้ามซึ่งเป็นพลังของเทพผู้พิทักษ์ แม้จำเป็นต้องสังเวยบางสิ่งไป แต่นั่นมันก็เพราะพวกเขาต้องต่อสู้กับพวกวิญญาณร้ายที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ลดละ
ฟาร์มาจึงอยากจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ พร้อมกับกำหมัดแน่น
(หากเราจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ ก็จะต้องมีคนอื่นที่ใช้มันอีก และฟันเฟืองก็จะหลอมละลายมนุษย์ต่อไปด้วย)
ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ต้องห้าม สมบัติลับจะอะไรก็ได้ เขาต้องการมีไพ่ในมือให้ได้มากที่สุด
จากนั้นฟาร์มาก็สารภาพกับพ่อแม่ของเขา
“ถึงจะไม่เต็มใจนัก แต่ตอนนี้ผมก็ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากนครศักดิ์สิทธิ์ในฐานะเทพโอสถองค์ปัจจุบันแล้วครับ”
เขาพูดออกมาพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าและออกเพื่อประคองจิตใจ
“ถึงมันจะยังไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะในจักรวรรดิ แม้หัวใจของผมก็ยังเป็นมนุษย์เช่นเดิม แต่ตำแหน่งที่ได้รับมาทำให้ไม่อาจเป็นเช่นนั้นได้อีกแล้วครับ”
หากเป็นในอดีต ผู้ที่ได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ ทางศาสนจักรจะทำการถอนเขาออกจากทะเบียนบ้านของครอบครัวนั้นๆ ก่อนจะทำการบันทึกเขาในทะเบียนแห่งเทพแทน มนุษย์ส่วนใหญ่ที่กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์ก็จะถูกทางนั้นคุมตัวไปและทำการสังหาร แต่ปัจจุบันฟาร์มาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระเนื่องจากจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
หากไม่ใช่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์คอยหนุนหลังเขาอยู่ ตอนนี้เขาก็คงจะถูกไล่ล่าและคงไม่พ้นถูกกักขังเอาไว้เมื่อเจอตัว
ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมาจากบรูโนและเบียทริช
ถึงตอนแรกจะไม่ชัดเจน แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้ว
ว่ามนุษย์ที่ชื่อว่า ฟาร์มา เดอ เมดิซิส ได้ตายลงไปแล้ว
“เรื่องราวนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ผมถูกฟ้าผ่าครับ”
การดำรงอยู่ของฟาร์มาในตอนนี้นั้น มันแตกต่างกับฟาร์มาในอดีตอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้ฟาร์มาคนนี้จะยังพอมีความทรงจำบางส่วนของฟาร์มา เดอ เมดิซิสอยู่บ้างก็ตาม แต่เขาคิดว่าพ่อแม่ของเขาต้องยอมรับเรื่องนี้ได้แล้ว
“ถึงมันจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ผมจะรู้สึกขอบคุณมากนะครับ หากพวกท่านยังปฏิบัติต่อผมในฐานะพ่อและแม่ต่อไป แน่นอนว่าสำหรับพวกท่านผมในตอนนี้อาจจะกลายเป็นตัวตนที่แปลกไปซึ่งไม่มีความทรงจำเป็นชิ้นเป็นอันเกี่ยวกับเรื่องก่อนโดนฟ้าผ่าเลย และผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกถึงสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกของพวกเราเลยในตอนที่ตื่นมา หากพวกท่านจะปฏิเสธผมก็คงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ผมจะขอยอมรับมันครับ”
ฟาร์มาค่อยๆ ก้มหัวลง และคาดว่าตนน่าจะถูกปฏิเสธเป็นแน่
แม้ในใจของเขาจะยังมีความหวังอยู่
“แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ไม่ว่าพวกเราจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ก็ได้โปรดสอนศาสตร์ต้องห้ามให้ผมด้วยเถอะครับ ผมที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศาสตร์แห่งเทพเลยตั้งแต่มาที่โลกใบนี้ ดังนั้นศาสตร์ต้องห้ามก็คงไม่ต้องพูดถึง…”
“…..พ่อรู้ดีว่าเจ้าไม่ได้เหมือนกับลูกชายของพวกเราเลย แต่…ตลอดสามปีที่พวกเราอยู่ร่วมกันมา พ่อรู้ดีว่าเจ้าพยายามทำตัวเป็นลูกชายของพวกเรามากแค่ไหน ถึงจะรู้ว่าเจ้าไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของเรา การจะตัดความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกเลยนั้นก็คงจะเป็นเรื่องไร้เหตุผลเกินไปหน่อยไหม”
บรูโนลุกจากโต๊ะและทำการเคารพทวยเทพตามพิธีการของศาสนจักร เขาได้ทำการคุกเข่าคำนับต่อหน้าฟาร์มาราวกับเป็นการสวดอ้อนวอนต่อหน้าเทพโอสถ และเนื่องจากว่าเทพพิทักษ์ของเขาเป็นเทพโอสถ ร่างกายของบรูโนจึงสามารถสั่นพ้องกับพลังแห่งเทพของฟาร์มาได้และได้รับบางสิ่งเหมือนกับพร ทำให้ร่างของเขาในตอนนี้มีแสงสว่างจางๆ เปล่งออกมา
จากนั้นเขาก็ยืนขึ้นด้วยร่างที่อาบไปได้แสงนั้น
“นี่มันพรแห่งเทพโอสถงั้นหรือ ทำไมพ่อรู้สึกได้ถึงชีพจรแห่งเทพที่เต้นอยู่กันล่ะ ชักอยากลองใช้ศาสตร์แห่งเทพดูแล้วสิ”
“อย่าพึ่งเอาชีวิตไปเสี่ยงเลยครับ เอาไว้หลังจากพวกเราทำการวิเคราะห์ศาสตร์ต้องห้ามได้สำเร็จแล้วจะดีกว่า แถมบางทีเราอาจจะสามารถแก้คำสาปของท่านพ่อได้ด้วยนะครับ”
“งั้นก็มาจัดการรื้อห้องใต้ดินของตระกูลเราแล้วเปลี่ยนมันเป็นห้องทดลองศาสตร์ต้องห้ามเลยดีกว่า จากนี้ไปการจะบูชาเทพโดยไม่เห็นหน้าเจ้าด้วยก็คงไม่มีความหมายแล้วสินะ…!”
ฟาร์มาหันกลับไปทักเบียทริชที่กำลังตกตะลึงเมื่อเห็นการกระทำของบรูโน
“ท่านแม่ เรื่องมันก็ประมาณนี้แหละครับ”
“…นี่มันเรื่องอะไรกัน”
เบียทริชไม่รู้จะสรรหาคำพูดใดออกมา ฟาร์มาเดาว่าเธอคงรู้สึกเหมือนกับลูกชายของตนถูกเขาขโมยไป ดังนั้นเขาจึงพยายามเลือกคำพูดให้เหมาะสมขึ้น
“อย่างที่คิดไว้ ท่านแม่คงจะสับสน..”
“เยี่ยมสุดๆ ไปเลยไม่ใช่หรือไงกัน นี่ลูกชายของแม่ได้กลายเป็นเทพผู้พิทักษ์แล้วสินะ ไม่มีความสำเร็จไหนจะยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว! ในฐานะแม่แล้วแม่ภูมิใจในตัวลูกมากนะ! ต้องจัดงานเลี้ยงฉลองแล้วสิ…อ๋อตอนนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับนี่เนอะ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าแม่ไม่ทำเหมือนพ่อของลูกหรอก ยังไงแม่ก็คือแม่ หากลูกทำผิดแม่ก็จะอบรมและดุเหมือนเดิมด้วย”
เบียทริชไม่ได้คิดจะทิ้งฟาร์มาไปและยังเข้ามากอดเขาไว้แน่นโดยไม่ลังเลอีก
ฟาร์มาคิดว่าบุคลิกของเบียทริชนี่แหละที่ช่วยประคองจิตใจให้กับเขาถึงแม้ตอนนี้จะหายใจไม่ค่อยออกเพราะความรักที่เธอมอบให้ก็เถอะ แม้ปฏิกิริยาของทั้งสองคนจะต่างกันออกไป แต่ก็สรุปได้ว่าพวกเขายอมรับในตัวของฟาร์มา
“หากเป็นเช่นนั้นบางทีเจ้าอาจจะใช้ศาสตร์ต้องห้ามก็เป็นได้ ได้เวลาต้องเริ่มเรียนรู้แล้วสินะ”
ว่ากันว่าศาสตร์ต้องห้ามนั้นเป็นศาสตร์ลับที่ต้องจ่ายชีวิตของมนุษย์เป็นค่าใช้งาน แต่กับเทพผู้พิทักษ์มันไม่จำเป็นต้องสูญเสียสิ่งใดไปเลย จนถึงตอนนี้บรูโนนั้นคิดเพียงว่าฟาร์มาเป็นผู้ที่ได้รับการคุ้มครองจากเทพโอสถเป็นพิเศษเท่านั้น เลยทำให้เขาตัดสินใจจะไม่สอนศาสตร์ต้องห้ามให้
และแล้วประกายในดวงตาของบรูโนที่กำลังจะได้ทดลองวิจัยศาสตร์ต้องห้ามก็เกิดขึ้น
“ช่างมีความสุขเหลือเกิน ชีวิตนี้จะได้เห็นโอสถเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ แล้วหรือนี่”
จากนั้นบรูโนก็หัวเราะออกมาสุดเสียงเป็นครั้งแรกในชีวิต
ฟาร์มาที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
◆
คฤหาสน์ของผู้ใช้ศาสตร์แห่งเทพที่ปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำเขียวขจีเหมือนที่หลบภัย มันถูกซ่อนตัวอยู่ในป่าที่หันหน้าไปทางทะเลสาบ นี่คือคฤหาสน์ส่วนตัวของแกรนดยุคเมโลดี้ เลอ รูซ์ วิศวกรการแพทย์ด้านเปลวเพลิง
และขบวนรถม้าที่เดินทางไปยังสวนซึ่งรายล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจีก็คือสมาชิกของตระกูลเดอ เมดิซิส
ฟาร์มาและเบียทริชได้เดินทางไปยังสถานที่อพยพชั่วคราวเพื่อรับคนในตระกูล เดอ เมดิซิส ในที่นี้ก็มีทั้งบลานช์และลอตเต้ด้วย ฟาร์มาขอบคุณเมโลดี้ที่ต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นมาตั้งแต่ที่เมืองแลมบลู ในขณะเดียวกันก็นั่งให้คำปรึกษาเธอเกี่ยวกับโรคและนำยามาให้เธอด้วย
พอเก็บของกันเสร็จ เมโลดี้ก็เดินออกจาคฤหาสน์มาโดยให้ข้ารับใช้ถือสัมภาระให้ เธอสวมหมวกปีกกว้างและยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ขอขอบคุณช่วงเวลาดีๆ ที่ได้ใช้ร่วมกันนะคะ ทั้งตระกูล เดอ เมดิซิสและบอนฟัว”
“ทางท่านเมโลดี้ก็เช่นกันค่ะ ขอบคุณสำหรับน้ำใจในครั้งนี้”
ฟาร์มาและเบียทริชแสดงความขอบคุณเธอ ก่อนที่เบียทริชจะนำเงินและจดหมายขอบคุณอย่างเป็นทางการให้กับเธอ
“โถ่ คุณนายคะ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านก็รู้ดีว่าฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะพวกเราเป็นหนี้บุญคุณท่านมาก และนี่ก็เป็นคำสั่งของคุณสามีด้วย หากคุณไม่ยอมรับไว้มันจะมีปัญหาเอานะคะ”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ขอขอบคุณมากนะคะ”
หลังจากแลกเปลี่ยนคำพูดกันเสร็จ ลอตเต้ก็เดินออกมาจากคฤหาสน์พร้อมกับกระเป๋าเดินทาง พอเห็นลอตเต้เมโลดี้ก็ทำการวางมือไว้บนไหล่ของเธอและบอกถึงผลการฝึกพิเศษ
“หลังจากที่ฉันได้สอนคุณชาร์ล็อตไปหลายครั้ง เห็นได้ชัดเลยนะคะว่าศาสตร์แห่งเทพของเธอพัฒนาไปมากเลย”
“แหะๆ ก็มันสนุกดีนี่คะ ขอบคุณที่ชี้แนะฉันนะคะ หากเป็นไปได้ก็อยากจะให้สอนนานกว่านี้สักหน่อย”
เมโลดี้นั้นได้สอนลอตเต้ถึงวิธีการใช้ไฟเพื่อปัดเป่าพวกวิญญาณร้าย
ฟาร์มาที่ได้ยินเรื่องราวของเมโลดี้ที่เธอสามารถผสมผสานศาสตร์แห่งเทพกับภาพวาดของลอตเต้ได้ก็สนใจขึ้นมา
“มันเป็นศาสตร์แห่งเทพแบบไหนกันครับ เพราะสำหรับผมถือเป็นเรื่องแปลกมากที่ศาสตร์แห่งเทพสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาพลังแห่งเทพ”
“ฟุฟุฟุ งั้นคุณชาร์ล็อตคะ ลองแสดงวงเวทให้ท่านแพทย์โอสถดูหน่อยสิคะ”
“นั่นสินะคะ ท่านฟาร์มาอยากเห็นใช่ไหมคะ!”
ลอตเต้พูดออกมาด้วยความซุกซนก่อนจะเปิดกระเป๋าเดินทางของเธอ ฟาร์มาเห็นได้ชัดเลยว่าลอตเต้อยากจะอวดเขาเต็มที่แล้ว
“คงจะไม่อันตรายใช่ไหม”
“แน่นอนสิคะ!”
ลอตเต้ไปยืนอยู่ตรงกลางที่โล่ง ก่อนจะหยิบน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ขวดเล็กออกมา แล้ววาดวงเวทสำหรับสร้างเปลวเพลิง เธอโปรยมันลงที่พื้นและใช้ไฟที่เมโลดี้มอบให้จุดเปลวเพลิงขึ้นมา แน่นอนว่าลักษณะที่ออกมานั้นคือศาสตร์แห่งเทพอย่างไม่ต้องสงสัย พอดูสภาพร่างกายของลอตเต้ก็พบว่าเธอยังปกติดี
วงเวทอันซับซ้อนที่ปรากฏออกมาพร้อมกับสีของเปลวเพลิง โดยพื้นที่รอบวงเวทนั้นจะมีหน้าที่ในการทำลายล้างพวกวิญญาณร้าย แต่ไม่เป็นอันตรายต่อผู้คนเลย เรียกได้ว่ามันเป็นมนตร์ที่มีไว้เพื่อต่อสู้กับวิญญาณร้ายเท่านั้น
นี่คือพลังของลอตเต้ที่ไม่มีพลังแห่งเทพอยู่เลย ทั้งการสร้างและการใช้งานถือว่าเก่งกาจจนน่าทึ่ง
“เป็นยังไงคะ!”
“น่าทึ่งมากลอตเต้ เป็นวงเวทที่วิเศษและถูกสร้างมาอย่างเหมาะสมจริงๆ”
“ขอบคุณมากค่ะ เป็นเพราะพลังที่ได้มาจากท่านเมโลดี้แท้ๆ เลย ถ้าพวกวิญญาณร้ายโผล่มาครั้งหน้าให้ฉันก็จะออกไปสู้ด้วยค่ะ”
ฟาร์มาปรบมือให้กับผลการฝึกของลอตเต้
“การควบคุมถือว่ากำลังดีแล้วค่ะ แต่ฉันว่าคุณน่าจะวาดวงเวทให้ใหญ่กว่านี้อีกสักหน่อย การวาดบริเวณส่วนกลางกับด้านหลังอาจจะยังไม่ดีนัก ไว้เราค่อยมาฝึกพิเศษกันอีกทีพอกลับไปที่เมืองหลวงแล้วกันนะคะ”
ความเป็นอาจารย์ของเมโลดี้ยังไม่หมดไป
ฟาร์มาที่คิดอะไรบางอย่างออกมาได้จึงถามเธอ
“พอจะเป็นไปได้ไหมครับที่จะสร้างวงเวทธาตุอื่นโดยอ้างอิงจากวิธีการนี้”
“ตัวการในการทำงานของมันหากเป็นธาตุอื่นอาจจะเป็นไปได้ยากนะคะ เพราะมันจะจุดน้ำมันไม่ติด อีกทั้งศาสตร์นี้ก็จะใช้กันเฉพาะตอนที่พลังแห่งเทพหมด และไม่มีใครรู้ถึงวิธีการของธาตุอื่นนอกจากไฟเลยค่ะ”
“ก็จริงนะครับ เพราะเอเลนไม่เคยเล่าให้ผมฟังเลย”
หากตามที่เมโลดี้พูดก็จะมีแค่วงเวทเพลิงเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้
แต่ฟาร์มามองว่าหากเป็นสายฟ้าของโซฟีบางทีอาจจะเป็นไปได้ หากเขาสร้างวงเวทสำหรับไฟฟ้าได้สำเร็จ อาจจะสามารถดัดแปลงมันเป็นพลังงานให้คนทั่วไปใช้ได้ด้วย
(ความเป็นไปได้ที่น่าสนใจ)
พอฟาร์มาได้รู้ถึงแนวทางที่คาดไม่ถึงนี้ ความคาดหวังในสิ่งใหม่ที่ยังไม่รู้ของเขาก็มากยิ่งขึ้น
พอเห็นใบหน้าแบบนั้น เมโลดี้ก็ส่งสายตาแห่งความคาดหวังออกมา
“เจอเรื่องที่น่าสนใจแล้วสินะคะ”
“ครับ พอจะมีแนวคิดอะไรบางอย่างในหัวแล้ว งั้นก็ไว้เจอกันอีกครั้งที่เมืองหลวงนะครับ”
หลังจากบอกลาเมโลดี้ ฟาร์มา ลอตเต้ และบลานช์ก็นั่งรถม้าคันเดียวกันกลับไป โดยระหว่างทางพวกเขาก็ฆ่าเวลาด้วยการเล่นเกมไพ่ จากนั้นฟาร์มาก็หยิบเอากล่องขนมออกมาจากกระเป๋าของเขาให้ลอตเต้และบลานช์ดู
“ท่านพี่ นี่อะไรเหรอคะ?”
“พวกเธอสองคนเคยกินคุกกี้ช็อกโกแลตที่เป็นของที่ระลึกจากนครศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?
“เอ๋ น่ารักจังเลยค่ะ มีดาวบนกระดาษห่อด้วย ฉันทานได้เหรอคะ?”
“นอกจากนี้ผมก็ผมก็มีการ์ดภาพผลงานของนครศักดิ์สิทธิ์ด้วยนะ นี่ไง”
“ว้าว สวยจัง นครศักดิ์สิทธิ์เป็นแหล่งกำเนิดภาพวาดทางศาสนาที่สุดยอดไปเลยนะคะ”
ก่อนที่ฟาร์มาจะกลับมาจากนครศักดิ์สิทธิ์ พวกนักบวชได้ทำการมอบของที่ระลึกมากมายให้กับเขา
นอกจากนครศักดิ์สิทธิ์จะเป็นศูนย์กลางของศาสตร์แห่งเทพแล้ว ในขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นสถานที่ที่อันแน่นไปด้วยทรัพย์สินทางวัฒนธรรมและศิลปะทางศาสนา ซึ่งฟาร์มาก็ยอมรับในวัฒนธรรมของนครศักดิ์สิทธิ์ด้วยความชื่นชมจากใจจริง
ถึงรูปร่างของอาคารจะแตกต่างออกไปบ้าง แต่หากอธิบายว่ามันคือวาติกันของโลกเขาก็คงไม่ผิดนัก ไม่นานจากนั้นบลานช์ก็กลับไป ทางลอตเต้ก็เลยเริ่มพูดถึงสิ่งที่เธอคิดอยู่
“จริงสิคะ ท่านฟาร์มาก่อนหน้านี้ฉันทำให้ท่านเอเลโอนอร์กับท่านปาลเล่ลำบากมามากเลยค่ะ ถึงท่านปาลเล่จะบอกว่าไม่เป็นอะไรและหัวเราะออกมา แต่จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่ได้เจอกับท่านเอเลโอนอร์เลยค่ะ เลยไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดีถึงจะช่วยเธอได้บ้าง”
ลอตเต้ค่อนข้างกังวลอยู่มาก
ขนาดพ่อแม่ของเอเลนยังไม่รู้เลยว่าลูกสาวของพวกเขากำลังโดนคำสาปอยู่
ฟาร์มาที่มองออกไปนอกหน้าต่างของรถม้าที่กำลังวิ่ง ก็พยายามพูดปลอบโยนลอตเต้
“หากเป็นเรื่องนั้น ผมกับเอเลนก็กำลังหาวิธีการแก้คำสาปกันอยู่น่ะ ไม่เป็นไรหรอกนะ ลอตเต้ไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเอเลนและพี่ชายของผมที่ใช้ศาสตร์ต้องห้ามไป เพราะผมก็ชื่นชมในความกล้าหาญของพวกเขาเหมือกัน ดังนั้นผมก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้คุณสบายใจขึ้นด้วย”
“แต่ว่า…การที่ฉันทำอะไรไม่ได้เลย มันน่าหงุดหงิดนี่คะ”
“ทางเราก็ได้เบาะแส และวิธีการรักษาแล้วด้วย ที่เหลือก็แค่หาทางที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการเฉยๆ”
ฟาร์มายังคงคอยให้กำลังใจลอตเต้ที่รู้สึกผิดกับตัวเอง
เพราะเขาไม่ต้องการจะให้คำมั่นสัญญาที่อาจจะไม่เป็นจริง เขาจึงพูดได้แค่เท่านี้
นอกจานี้ โอสถเทพศักดิ์สิทธิ์ที่บรูโนเคยพูดถึงนั้นก็มีผลในการถอนคำสาปอยู่ด้วย หากใช้ความรู้และทักษะของเขาเข้ามาช่วยก็น่าจะปลดปล่อยคำสาปของเอเลนและปาลเล่ได้
“ท่านฟาร์มาและท่านเอเลโอนอร์นี่แข็งแกร่งจังเลยนะคะ”
“ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าคุณมองผมยังไง แต่ไม่ว่าผมหรือเอเลนต่างก็มีเรื่องที่ต้องต่อสู้อย่างยากลำบาก เราทุกคนน่ะมีทั้งจุดที่แข็งแกร่งและอ่อนแอกันทั้งนั้นแหละ มันจึงเป็นเหตุผลให้พวกเราคอยสนับสนุนเพื่อปิดจุดอ่อนให้กันและกันไงล่ะ.”
“แล้วจะมีอะไรที่ฉันสามารถทำเพื่อคนอื่นได้เหรอคะ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันเอาแต่รับความช่วยเหลือจากคนอื่นเสมอมาแท้ๆ …”
“นั่นไม่จริงหรอก”
ฟาร์มาค่อยๆ จับมือของลอตเต้ทั้งสองข้างที่กำลังถูไปมาขึ้น
เขาสังเกตได้ว่ามือของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยถลอกหลังจากที่ไม่ได้เห็นมานาน
“เดี๋ยวผมจัดการให้นะ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ มันน่าอายออก…”
“ไม่เป็นไรหรอก ให้เป็นหน้าที่ผมเอง”
ผิวของลอตเต้นั้นค่อนข้างนุ่มนวลในตอนแรก แต่หลังจากใช้เวลาอยู่กับเมโลดี้เพื่อฝึกศาสตร์แห่งเทพ มือของเธอก็มีอาการแย่ลง ฟาร์มาจึงได้หยิบครีมทามือมาทาให้ปลายนิ้วของเธอ ก่อนจะกุมมันไว้ให้อุ่นขึ้นด้วยอุณหภูมิร่างกายของเขา
ลอตเต้ก็เอาแต่นั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฟาร์มา
“เมื่อสามปีก่อน ตอนที่ผมทำอะไรไม่ถูกเลยหลังจากเกือบตายเพราะฟ้าผ่า ก็เป็นคุณนะครับที่เข้ามาช่วยเหลือผม”
“ท่านฟาร์มา…นั่นมันก็นานมาแล้วนะคะ”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็คงจะตายไปแล้วเพราะลืมเรื่องการใช้ศาสตร์แห่งเทพ คุณคือคนที่ช่วยชีวิตผมในตอนที่อ่อนแอที่สุดนะ”
“……อึก……ค่ะ”
จากนั้นเธอก็ปิดปากเงียบลงด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นเต็มไปหมด เธอพยักหน้าออกมาโดยที่ไม่พูดอะไรอีก
น้ำตาที่เหมือนเม็ดอัญมณีไหลออกมาจากหางตาของเธอ
จากนั้นพวกเขาก็วางมือทับกันและกัน ก่อนจะเอาหน้าผากเข้ามาชนกัน
“ตั้งแต่นี้ต่อไป เราก็มาคอยช่วยเหลือกันและกันต่อไปนะ”
ทั้งสองได้นำมือของตนเข้ามาจับมืออีกฝ่ายและยิ้มให้กันอย่างเขินอาย
ตั้งแต่นั้นมาฟาร์มาก็ได้แบ่งปันความลับและเชื่อมโยงหัวใจของเขาเข้ากับลอตเต้ไว้ด้วยกัน
สิ่งที่ทั้งสองทำในวันนี้คือเครื่องยืนยันเรื่องนั้น
◆
ในปีจักรวรรดิที่ 1148 เป็นเดือนมกราคม
วันที่ 1 มกราคมเป็นวันเปลี่ยนปีของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เอเลนจะได้ออกจากโรงพยาบาลเพื่อกลับมาทำงานแล้ว ทางร้านขายยาต่างโลกที่ถูกวิญญาณร้ายที่เข้ามาโจมตีก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว สมบัติลับจากนครศักดิ์สิทธิ์ก็กลับมาแล้ว อาณาเขตการป้องกันพวกวิญญาณร้ายจึงกลับมามีผลอีกครั้งหนึ่ง ฟาร์มาและเอเลนก็กำลังคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตรงม้านั่งของร้านขายยา
“ตอนนี้ผมทำการสร้างวงเวทสามชั้นสำหรับการเปิดใช้งานตอนผมไม่อยู่เสร็จแล้วนะ”
“แล้วทำไมนายถึงคิดว่าจะไม่อยู่นี่กันล่ะฟาร์มาคุง นายเป็นเจ้าของร้านนะ”
“ก็เพื่อที่ตอนผมไม่อยู่ที่แห่งนี้ มันยังจะสามารถเป็นแหล่งพักพิงให้กับคนอื่นได้นี่นา”
“ก็นั่นแหละน้า ทำไมนายถึงเอาแค่คิดว่าตัวเองจะหายไปตลอดเลยนะ”
เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานแหวว ตอนนี้เธอไม่จำเป็นต้องใส่แว่นตาอีกแล้ว แถมยังดูทำตัวไร้เดียงสาขึ้นมากกว่าเดิมด้วยพออยู่ด้วยกันแค่สองคน แถมเรื่องในครั้งนี้ทางเอเลนต่างหากที่เกือบจะหายไปแล้วน่ะ
พอฟาร์มาคิดแบบนั้น เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และยิ้มให้กับเอเลน
“แทนที่จะคิดถึงความตาย เรามาอยู่กับปัจจุบันจะดีกว่า (memento mori carpe diem) ” (เป็นภาษาลาติน)
“มันหมายถึงอะไรเหรอ?”
“เป็นภาษาของประเทศที่เอเลนไม่รู้จักนะ”
“อ้อ…”
เอเลนก็ได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
ม่านสำหรับคลุมร้านเพื่อปิดปรับปรุงถูกเอาออกมา ร้านขายยาต่างโลกสาขาหลักจะทำการเปิดอีกครั้งแล้วในรอบ 25 วัน
เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงสัญลักษณ์ของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ ตราดวงใหม่สองดวงจึงถูกส่งมาที่ร้านขายยาต่างโลกนี้ด้วย ซึ่งมันใช้แทนใบอนุญาตประกอบธุรกิจและหลักฐานการอุปถัมภ์ร้านของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
มันคือสัญลักษณ์ของนครศักดิ์สิทธิ์รูปสิงโตขาวและธงของจักรวรรดิแซงต์เฟลิฟที่ถูกรวมเข้าด้วยกันซึ่งแสดงถึงอำนาจของจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ที่มีองค์จักรพรรดิและพระสันตะปาปาเป็นคนคนเดียวกันในหนึ่งยุคสมัย
ฟาร์มาเกิดความรู้สึกที่ซับซ้อนขึ้นมาเพราะมันคือความรับผิดชอบที่เขาต้องแบกรับไปด้วย ก่อนจะสั่งให้ช่างฝีมือทำการติดมันไว้ที่ทางเข้าร้านขายยา
เนื่องจากวันนี้เป็นวันเปิดทำการวันแรก เขาจึงมีการเรียกประชุมพนักงานที่ร้านขายยาก่อนเปิดทำการ
“ปีนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยอีกปีหนึ่งนะครับ นี่เป็นป้ายพนักงานที่เราจะใช้กันในปีนี้นะครับ”
“โย้ช ในที่สุดก็จะได้เป็นพนักงานประจำเสียที”
เหล่าแพทย์โอสถพาร์ทไทม์ต่างยินดีที่ตนได้เลื่อนขั้นเป็นพนักงานประจำกันแล้ว
จากนั้นฟาร์มาก็นำป้ายชื่อสีทองไปติดบนผนังร้านเป็นการบอกถึงตำแหน่งงานของพนักงานภายในร้าย พร้อมกันแจกจ่ายป้ายชื่อใหม่
แพทย์โอสถหลวง (ผู้จัดการร้าน) ฟาร์มา เดอ เมดิซิส
แพทย์โอสถขั้นหนึ่ง (หัวหน้าแพทย์โอสถประจำร้าน) เอเลโอนอร์ บอนฟัว
แพทย์โอสถขั้นหนึ่ง โรเจอร์ เดอ บัคเกอร์
แพทย์โอสถขั้นสอง เซเลส บิลลาร์ด
แพทย์โอสถขั้นสอง รีเบคก้า ดูทอย
เจ้าหน้าที่กฎหมาย/ธุรการทั่วไป เซดริก ลูนัล
พนักงานฝ่ายกิจการทั่วไป ชาร์ล็อต โซเรล
ฝ่ายประสานงาน ทอม
“พอตราของร้านขายยาเปลี่ยนไปด้วยแบบนี้ เครื่องแบบของทุกคนก็เลยได้รับการเปลี่ยนใหม่ด้วยเลยครับ”
ฟาร์มาพูดกับพนักงานที่ดูจะมีความสุขกับเครื่องแบบใหม่นี้
“เอาเป็นว่าก็สวัสดีปีใหม่ ปี1148 นะครับผมว่าผมคงต้องข้ามการทักทายแบบยาวๆ ไปคงจะดีกว่า เนื่องจากการเกิดขึ้นของพวกวิญญาณร้าย รายขายยาเลยจำเป็นต้องมีบทบาทมากยิ่งขึ้นใน เพื่อยกระดับทางการแพทย์ของจักรวรรดิให้ดีกว่าเดิม และสามารถตอบสนองความต้องกาารของผู้ป่วยได้ ทางผมก็จะพยายามพัฒนาความสามารถต่อไปอย่างไม่หยุดเช่นกันครับ”
“สรุปคือตอนนี้ฉันเป็นพนักงานประจำแล้วสินะ รู้สึกมีแรงขึ้นมาแล้วสิ”
“นั่นสิข้อนี้ฉันเห็นด้วยเลย”
ขนาดโรเจอร์เองก็สามารถพูดภาษาจักรวรรดิได้โดยไม่ติดขัดแล้ว
“ฉันก็จะพยายามให้ดัที่สุดเพื่อบริการเหล่าลูกค้าด้วยรอยยิ้มเองค่ะ”
ทางรีเบคก้าเองก็ฝึกฝนทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ตลอดปีที่ผ่านมาจนมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว
“จากนี้ไปทางฉันก็จะทำให้ดีที่สุดในการดูแลพวกเด็กๆ และแม่ของพวกเขาเองค่ะ”
เซเลสได้ทำการลดชั่วโมงการทำงานในส่วนปกติของร้านแล้ว เอาเวลาไปลงกัยโซนสำหรับเด็กแทน
ถัดมาก็เป็นเอเลนที่หายจากอาการป่วยแล้ว แต่กลับได้มองเห็นโลกใบใหม่จากพลังของฟาร์มาที่ส่งต่อมาหาเธอ ก็เริ่มพูดขึ้นมาบ้าง
“เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ปีนี้ก็อาจจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน เรามาพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียกันเถอะ ทางฉันก็จะพยายามอย่างหนักเพื่อทดแทนส่วนของฟาร์มาคุงให้ได้ด้วย”
จากนั้นพวกเขาก็ทำการเปิดประตูร้าน และเหล่าพนักงานของร้านขายยาทุกคนก็ออกมากล่าวคำอวยพรต้อนรับปีใหม่ กับเหล่าฝูงชนที่รออยู่ข้างหน้าร้าน
“พลเมืองของเมืองหลวงทุกท่าน สวัสดีปีใหม่ครับ ตอนนี้ร้านขายยาต่างโลกของเราได้กลับมาเปิดทำการตามปกติแล้วครับ”
พนักงานทุกคนโค้งคำนับเพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความแข็งขันในปริมาณที่พอเหมาะ
จากนั้นฟาร์มาก็เงยหน้าขึ้นและปรับเสียงของตนใหม่
“งั้นก็ เชิญทุกท่านเข้ามาในร้านได้เลยครับ!!”
สิ้นเสียงของฟาร์มา เหล่าผู้คนก็เริ่มปรบมือกัน
“โหย คุณเจ้าของร้าน ปล่อยให้รอเสียตั้งนานนะ!”
“มัวทำอะไรกันอยู่เน้อ ข้าละรอจนเบื่อแล้ว!”
“เอเลโอนอร์จังหายดีแล้วสินะ มาฉลองกันหน่อยไหม”
“โฮ่ ร้านดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งแล้วสินะ”
เหล่าคนที่รออยู่บริเวณหน้าร้านต่างรีบวิ่งเข้ามากัน
ไม่ว่าจะเป็นหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ก็มีให้เห็นภายในร้านกันทั้งสิ้น
เพราะที่แห่งนี้คือสวนแห่งการรักษาของพลเมืองจักรวรรดินี่นา
เสียปรบมืออย่างกึกก้องให้กับฟาร์มานั้น มันทำให้เขาตระหนักได้ว่าตนได้รับความคาดหวังในฐานะแพทย์โอสถมากเพียงใด
เขาก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะยังสามารถอยู่ได้อีกถึงตอนไหน บางทีเขาอาจจะอยู่ไม่พ้นปีหน้าก็ได้
ถึงร่างกายที่มีพลังอันยิ่งใหญ่นี้แฝงอยู่จะไม่รู้ถึงเจตจำนงที่มองไม่เห็นของโลกใบนี้ว่าต้องการสิ่งใดจากเขา
แต่กระนั้นเขาก็ยังอยากจะเป็นแพทย์โอสถประจำเมืองให้กับใครสักคนสามารถเข้ามาพึ่งพาได้
เพื่อยืนเคียงข้างพวกเขา ให้ความช่วยเหลือพวกเขาในแต่ละวัน ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นั่นคือสิ่งที่เขาหวังเอาไว้
——–
Note 1 : เล่ม 6 จบละครับ จะครบร้อยตอนแล้ว รู้สึกมาไกลจริงๆ
Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code