เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! – ตอนที่ 272

< < 174 Sec2 > >

อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงนั้นร้อนระอุไปด้วยลาวา เบื้องหน้าของผม คือวิน เบื้องหน้าของวิน คือผม พวกเราต่างจ้องหน้ากันในระยะที่ห่างไม่กี่เมตร วินมองทั่วทั้งอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง ก่อนจะยิ้มออกมา

“แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย? แฟนหนุ่มฉันเนี่ยมีแต่เรื่องให้ทึ่งแฮะ”

“ควรภูมิใจนะ ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยมีคนแบบฉันเป็นแฟน”

ถึงจะแค่ปลอมๆก็เถอะ แถมยังเป็นผู้ชายที่ทำเรื่องกึ่งนอกใจแฟนอีก ผมเป็นวิน ผมจะสวนเลยว่าโชคร้ายต่างหาก ทว่า

“ต่อให้ตายไปก็ไม่มีทางลืมหรอกน่า ..แล้วยังไงต่อ ไอ้การยืดชีวิตของฉันเนี่ยมันเป็นยังไงเหรอ?”

“ไม่รู้”

“..พูดซะใหญ่โตแท้ๆ”

ถ้าใช้ [ดาบสะบั้นมิติ] ก็คงจะทำได้ แต่ว่า ..มีขีดจำกัดในการใช้งานอยู่มาก ผมเหลือขีดจำกัดอีกแค่สองรอบเท่านั้น อย่างเดียวที่ผมพอจะนึกออกคือการ ‘บดขยี้’ วิน ในระดับที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ ตัวของวินมีโซ่ตรวนไว้อยู่ เธอเคยบอกว่าการปลดผนึกที่ตรวนเธอไว้ขั้นสุดท้าย จะทำให้เธอได้รับพลังทัดเทียมหรือเหนือกว่า ราชาไสยศาสตร์ในยุคทอง แลกกับการเผาพลังงานชีวิตทั้งหมดของตัวเอง

และตอนนี้ เธอก็ยังไม่ได้ปลดขั้นสุดท้ายนั้น–ที่ผมจะทำต่อจากนี้คือการเล่นงานวินฝ่ายเดียว ด้วยทุกอย่างที่ผมมี

เปลวเพลิงปะทุขึ้นรอบๆ ผมคือผู้ควบคุมเปลวเพลิงทั้งหมด เป็นเจ้าของโลกแห่งเปลวเพลิงนี้ และบนโลกจำลองนี้ ผมคือผู้ที่ ‘แข็งแกร่งที่สุด’

วินกำลังจะทำท่าผสานมือ-

“เอ๊ะ”

เปลวเพลิงได้เข้าทำร้ายเธอ ร่างละลายโดยทันทีที่ถูกเปลวเพลิงคอก–แต่วินก็ฟื้นกลับมาได้โดยวิชาไสยศาสตร์มากมายในคลังความรู้ของราชาไสยศาสตร์ เธอเบิกตาโพงกว้างและหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะโดนเผาอีกครั้งด้วยเปลวเพลิงที่เดือดได้ที่

ร่างดำเมี่ยมของวิน วิ่งผ่านกองเพลิงมา พร้อมกันสลัดเอาความเสียหายทั้งหมดออกโดยวิชาไสยศาสตร์ เธอตั้งใจจะวิ่งหนีผม ตั้งใจจะหาจังหวะเพื่อ ‘ปลดพันธนาการ’ พลังของตัวเอง และไปสู่ความตายในไม่ช้า ซึ่งนั่นคือเรื่องที่ผมจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด

ผมรู้จักการที่เคยสู้กับวินบนเกาะวาเรอร์ เป็นเพียงแค่การปะลองหมัดของเด็กๆ แต่มีจังหวะหนึ่งที่วินปลดพันธนาการพลังของตัวเอง และนั่นก็ทำให้ทราบว่าการปลดพันธนาการจำเป็นต้องใช้การผสานวงจรเวทย์ และใช้เวลาในการปลดล็อคระดับหนึ่ง 

อย่างที่บอกเอาไว้เลย เรื่องที่ผมจะทำต่อจากนี้มีแค่การถล่มวินให้เละด้วยวิธีสุดไร้สมอง อาทิเช่น ฆ่าวินให้ตาย จนไม่ให้วินได้มีเวลาทำอย่างอิ่นนอกจากรักษาตัวเอง

ผลจากการคิดอย่างบ้าคลั่งจนสมองแทบระเบิด คือวิธีสุดไร้สมองและไร้มนุษย์ธรรมนี่แหละ

“ไปตายซะ!!!!”

“นะ นี่ ไอ้แบบนี้ฉันไม่ตายเร็วกว่าเดิมอีกเรอ—”

วินกรี๊ดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ขณะที่กำลังหนีตายสุดชีวิต ผมกลับหัวเราะร่าออกมาและยิงระเบิดเพลิงอัดเน้นๆโดยไม่ลังเลเลย เธออาจจะตายก็ได้ ถ้าเธอเลือกจะปลดพันธนาการแทนรักษาที่กำลังทำตอนนี้คือพยายามฆ่า ใช่ ผมไม่ปฏิเสธเลย แต่มันเป็นวิธีเดียวที่ยืดอายุวินได้–ผมจะทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าการต่อสู้ข้างนอกจะจบ

“ไม่อยากให้ฉันตายขนาดนั้นเลยเหรอ? ถูกใจฉันขนาดนั้นเลยสินะ หรือว่าชอบที่หน้าตาฉันกัน ไม่สิ พูดถึงฉันก็คงเด่นสุดที่หน้าตา ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย น้องสาวฉันก็หน้าตาเหมือนฉันเป๊ะๆเลยนา ไม่เห็นต้องทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้เลยนี่–ฮึบ เกือบไปเรา”

“อย่าว่าแต่หน้าตาเลย แค่นิสัยก็ไม่ผ่านแล้วเว้ย เธอน่ะ!!”

แต่

“ทั้งอย่างนั้นก็ยังไม่อยากให้ตายไปทั้งแบบนี้อยู่ดี!!”

วินกระโดดหลบ ปัดป้อง ถูกเผา รักษา ก่อนจะเริ่มวิ่งหนีอีกครั้ง

“ไอ้แบบนี้ แอบสนุกเหมือนกันแฮะ”

“ยัย M วิตถาร!”

“นั่นเข้าข่ายเหยียดรสนิยมทางเพศนะ!!–อ๊ากกก!!”

วินกองกับพื้นด้วยเพลิงทำลายล้าง ก่อนจะลุกขึ้นหายเป็นปริดทิ้งด้วยวิชาไสยศาสตร์ ทุกการโจมตีแฝงด้วยพลังทำลายที่มากมายก็จริง แต่ก็คงไว้ในระดับที่โดนไปยังพอมีเวลารักษาตัวเองกลับมา

“แล้วก็ ..ไม่ได้มีรสนิยมอย่างนั้นสักหน่อย ไม่ได้ชอบความรุนแรงนะ กลับกันเลย ชอบแบบอบอุ่นต่างหาก ผู้ชายแสนดีน่ะ ยูว โนว์??”

“ไอ้อย่างนั้นหาผิดคนแล้วเว้ย!!”

ผมเหวี่ยงเรลันดาฟ พร้อมกับเปลวเพลิงที่พุ่งลงมาจากฟ้าประหนึ่งดาวตก วินกระโดดหลบได้ห้าลูก ก่อนจะพลาดท่า

“อ๊ากกกก!!”

ในขณะที่เธอถูกไฟเผา ผมทำการรวบรวมเพลิงดาวตกทั้งหมดและแปรรูปมันเป็นโซ่–โซ่เข้าคล้องแขน และขาของวิน และตึงเอาไว้ในท่ายืนกางเขน ในจังหวะที่วินรักษาร่างกายเสร็จพอดี แขนสองข้าง ขาสองข้างของเธอถูกเพลิงจากโซ่ตรวรแผดเผา

“ร้อนๆๆๆๆๆๆๆ!!! ไม่ไหวแล้ว ร้อน!!”

ผมทำการหรี่ไฟลง และเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าวิน ทุกครั้งที่วินจะเล่นเหลี่ยมใช้วิชาไสยศาสตร์ผมก็จะเพิ่มความร้อนจนเธอต้องหยุดโดยเลี่ยงไม่ได้ ตั้งใจไว้อย่างนั้น แต่ดูสงบเสงี่ยมไม่คิดขัดขืนอะไรเลย นับว่าเกินคาด

“ไอ้ …แฟนหนุ่ม S วิตถาร”

“มีแค่ปากที่แจ๋วสินะ?”

วินทำหน้าเหวอ ก่อนจะขมวดคิ้วและเริ่มโวยวาย

“โกงกันชัดๆ ตอนแรกฉันคิดว่าพวกเราเท่าเทียมกันซะอีก ไอ้ที่จินตนาการไว้ไม่ใช่การต่อสู้อย่างนี้สักหน่อย แบบว่า มันควรเป็นการต่อสู้แบบหมัดชนหมัด เหลี่ยมชนเหลี่ยม สู้กันแบบสูสีไปจนจบ และจบด้วยการที่ฉันพ่ายแพ้ ควรเป็นราวๆนี้นี่ถึงจะถูก แต่นี่อะไรกัน อยู่ดีๆก็หยิบของขี้โกงออกมาถล่มฉันซะเละ” วินพยายามดิ้นไปมา ไม่ใช่เพื่อหลบหนี แต่ไม่รู้จะลงความหงุดหงิดจากการถูกกระทำไว้ที่ไหน “ไอ้ไฟสีทองที่รักษาร่างกายได้ยังพอว่า แต่อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงเอย คทาเวทย์บ้าๆ ไหงจะมณีอัคคีอีก!! ยังไม่รวมคุณวีรสตรียูนาที่ทำพันธสัญญากับนายอีก พอมัดรวมกันแล้วเนี่ย บ้าไปปะ? ใครมันจะไปชนะได้หา!!?”

อย่างเอเธอร์ หรือไม่ก็ ไรเดน อาคาสะ แต่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกัน

“ตั้งใจจะแพ้ แต่ก็บ่นว่าอยากชนะ สรุปเธอต้องการอะไรกันแน่”

“แน่นอนว่ายังไงทางนี้ก็จะต้องแพ้ แต่ว่าฉันชอบเวลาที่ได้ต่อสู้กับเรเซอร์ด้วยทุกอย่างที่มี ตอนที่ได้สู้กับเรเซอร์ครั้งแรก ทั้งที่พลังกายต่างกัน แต่เรเซอร์กลับมีกลยุทธิ์ที่ยอดเยี่ยมในการรับมือ สไตล์การต่อสู้ก็เป็นสไตล์ที่ไหลไปตามสถานการณ์ ไม่ใช่พวกบ้าพลังที่คิดจะเล่นงานทีเดียวให้จบ แต่เป็นพวกที่ตั้งใจเรียนรู้อีกฝ่าย และสวนกลับในทีเดียว ไม่ถึงกับตกหลุมแรก แต่มันเป็นความประทับใจแรกที่แอบใจเต้นนิดหน่อย”

“พล่ามบ้าอะไร”

“หลังจากวันนั้นก็พยายามจะเข้าหาแบบเพื่อนซี้แหละนะ อือ แต่นานวันเข้าก็โดนสเน่ห์แปลกๆของเรเซอร์ดึงดูดเข้าโดยไม่รู้ตัว วิธีการต่อสู้ของนายก็ชอบ วิธีคิดของนายก็ชอบ อาจจะวางตัวสองมาตรฐานไปบ้างในทีแรก แต่พอรู้ว่าตัวเองได้รับการปฏิบัติที่ใส่ใจกว่าต่างกับคนอื่นก็ทำเอารู้สึกดีใจแปลกๆ”

….

“พอรู้ว่า อ่า ชอบไอ้หมอนี่เข้าให้แล้ว ฉันก็ไม่คิดจะบอกนะ เพราะยังไงไม่นานตัวเองก็คงจะตาย แต่ว่า ..พอมีโอกาสได้พบกันในอาณาจักรเนลยอนอีกครั้ง ฉันก็อยากจะบอกความรู้สึก อยากฝากฝังน้องสาวให้ อยากเก็บเกี่ยวเอาความทรงจำดีๆให้มากที่สุดก่อนตาย” วินถอนหายใจ “แต่ก็นั่นสินะที่ทำอยู่ก็ใช่ว่าจะถูก มัดมือชกไม่พอ ยังโยนภาระของตัวเองให้ ตอนนี้ก็ยังดื้อจะสู้กับนายให้ได้ ทั้งๆที่ยอมแพ้ไปให้จบๆมันจะสบายต่อตัวของเรเซอร์มากกว่า”

มีแต่ได้ ใช่ ตัวผมที่ให้ความร่วมมือเธอในทุกๆเรื่องก็คิดอย่างนั้น

“แต่เรเซอร์กลับยอมตกลงมันทั้งหมด ไม่ต้องเดาก็รู้ แอบคิดว่าฉันมันเห็นแก่ตัวแล้วน่ารำคาญอยู่ใช่เปล่า?”

ไม่ปฏิเสธซะทีเดียว ผมเบือนหน้าหนี วินเห็นก็ยิ้มแบบได้ใจ

“ให้ตายสิ เรเซอร์เนี่ย ใจดีกับคนอย่างฉันมากจนเกินเยียวยาแล้วนะ”

“..ถ้านั้นก็ถึงเวลาที่เธอควรตอบแทนฉันแล้ว” ผมหรี่ตาลง ถอนหายใจเบาๆ “มีชีวิตอยู่ต่อไป อีกสองปีก็ยังดี ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปได้รึเปล่า?”

…..

….

“ขอร้องละ”

“เหวอ ..ทำหน้าแบบนี้เป็นด้วยสินะเนี่ย”

หน้าของผมตอนนี้ไม่น่าดูเท่าไหร่ สภาพคงจะเหมือนกับคนที่อับจนหนทาง น่าสิ้นหวังซะจริงๆตัวผม แต่ว่า ..จะโดนมองอย่างนั้นก็ช่างมันแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ศักดิ์ศรีหรือว่าอะไรทั้งนั้น ผมแค่อยากให้วิน

“ช่วยมีชีวิตอยู่ต่อไปทีเถอะนะ!”

“ไม่ได้”

เธอตอบกลับด้วยน้ำเสี่ยงที่ชัดถ้อยชัดคำ ไร้ซึ่งความลังเล ก่อนจะผุดสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้ออกมา

“แต่ก็ขอบคุณนะ การที่เรเซอร์อยากให้ฉันมีชีวิตต่อไปเนี่ย ดีใจที่สุดเลย”

แสงสีขาวพุ่งผ่านอาณาจักรแห่งเปลวเพลิง โดยไม่รู้ตัว ‘พันธนาการ’ ในตัวของวินได้ถูกปลดออก

พริบตาเดียว อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงก็กลายเป็นโลกสีขาวที่ไม่มีสิ่งใดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

ไม่จริง ไม่จริง แบบนั้นมันไม่ใช่สิ ได้ยังไงกัน? วินไม่ได้ผสานมือหรือว่าอะไรเลยนะ ทำไมกัน—วินคงเดาสีหน้าของผมรวมถึงความสงสัยทั้งหมดของผมออก

“ปลดพันธนาการมันไม่จำเป็นต้องเบ่งพลังหรือชาร์จพลังอะไรหรอก ..น่าอายที่ต้องพูด แต่ฉันในเวลานั้นแค่ทำตัวเป็นพระเอกในมังงะที่เคยอ่านก็แค่นั้น ฉันก็เป็นคนแบบนี้นั่นแหละนะ จริงมั้ย?”

“เรเซอร์คิดซะจริงจังไปได้นะ อย่าลืมเก็บเศษแก้วที่ตกลงพื้นด้วยละ”

วินหยอกล้อผมเหมือนกับทุกที ทั้งๆที่ต่อจากนี้–ชีวิตของเธอกำลังจะดับลง

แสงสีขาวได้วูบหายไป อาณาจักรแห่งเปลวเพลิงได้ถูกลบหาย และพวกเราสองคนกำลังจะกลับสู่ในโลกความจริง

 

****

ภายในห้องฝึกทรงญี่ปุ่นเล็กๆบนป่าเขา นั่นคือที่อยู่อาศัยของราชาไสยศาสตร์ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ และตอนนี้สถานที่จำลองแห่งนั้นก็ปรากฏขึ้นบนจิตใต้สำนึกของวิน

วินนั่งอยู่ตรงข้าม ‘ราชาไสยศาสตร์’ นาม ‘แรกซ์’ เขาคือวิญญาณระดับเทพที่ทำพันธสัญญากับเธอ

“นานแล้วเนอะจารย์ที่ไม่ได้เจอกันที่นี่”

“ล่าสุดก็ตอนที่พวกเราทำพันธสัญญากันครั้งแรกนะ”

ใบหน้าของทั้งสองเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ..ศิษย์อาจารย์คู่นี้เหมือนกันอย่างหนึ่งตรงที่เป็นคนยิ้มเก่ง และมองโลกในแง่บวกมากกว่าลบ ทำให้ทั้งสองเข้ากันได้ดี

“แล้วจารย์คิดอะไรอยู่รึ ถึงได้อัญเชิญมาที่นี่ก่อนจะ ..ไปสู้กับเรเซอร์”

“คิดว่าต่อจากนี้มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้พูดคุยกัน อาจารย์ก็เลยอยากจะพูดคุยด้วยนิดหน่อย”

“เมื่อคืนก็คุยหลายๆเรื่องกันซะยาวแล้วแท้ๆ”

“ให้อภัยกับความไม่รู้จักพอของอาจารย์คนนี้ด้วยนะ ศิษย์รัก”

วินหัวเราะร่าขึ้นมา พลางส่ายหัวไปมา

“แค่นี้จะไม่โกรธได้ยังไงเล่า”

“นั่นสินะ”

“แล้วๆ จะคุยเรื่องอะไรกันดีล่ะ? เรื่องแฟนหนุ่ม เรื่องน้องสาว เรื่องของเนลยอน เรื่องอื่นๆก็คุยกันหมดแล้วนะ หรือจะคุยเรื่องเดิมๆซ้ำ?”

….

“อาจารย์เองก็ไม่รู้ด้วยว่าจะคุยอะไรดี คิดว่าไม่จำเป็นต้องคุยให้มากความกันก็ได้ แค่อยากจะเห็นหน้าลูกศิษย์ของตัวเองให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ..แล้วก็อย่างสุดท้ายที่ฉันควรจะพูด”

แรกซ์ก้มหน้ามองพื้น ไม่นาน เขาก็ก้มหัวลงชิดกับพื้นในท่าคุกเข่าขอโทษ

“การทดลองนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น ถ้าเกิดอาจารย์ไม่ตอบตกลง เธอจะไม่ถูกจับมาทดลองสารพัด เธอจะไม่มีชะตาชีวิตที่จบลงด้วยความตายที่โหดร้าย”

“แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น หนูก็จะมีชีวิตอยู่ในฐานะก้อนเนื้อ และอาจจะถูกใครที่ไหนลงมือฆ่าแบบไม่คิดอะไร แล้วจบๆกันชีวิต”

“ถึงจะเป็นอย่างนั้น ..แต่อาจารย์ก็อยากจะ ‘ขอโทษ’ ..ขอโทษสำหรับความทรมานตลอดหลายปีที่ผ่านมา ขอโทษที่เป็นตัวเรื่องที่ทำให้เธอต้องแยกจากกับคนรัก ขอโทษที่ทำให้เธอต้องเป็นฆาตกร ขอโทษที่ทำให้เธอกลายเป็นอาวุธสงคราม ขอโทษที่เป็นอาจารย์ที่ไม่ได้เรื่องในหลายๆครั้ง ขอโทษ ..ขอโทษ” แรกซ์ร้องไห้ออกมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน พื้นอาบไปด้วยน้ำตาของราชาไสยศาสตร์ “คนอย่างนี้ ..ไม่คู่ควรจะเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นเธอเลย”

เรื่องมันจะไม่มีทางเกิดถ้าหากแรกซ์ไม่ร่วมมือกับเนลยอนในการสร้าง ‘อาวุธสงคราม’ เรื่องนี้วินรู้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว และไม่เคยคิดโกรธหรือเกลียดอะไรเลย เพราะสำหรับเธอ มันเหมือนการได้รับชีวิตใหม่ ได้รับโอกาสในการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ แม้จะมีข้อจำกัดมากมาย แม้จะต้องอยู่ในฐานะอาวุธ แต่ว่าโลกใบนี้ก็ยังคงเปี่ยมด้วยความสุขมากมายที่สามารถค้นหาจนพบได้

ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา ใครจะคิดละว่าจะได้มาเป็นเพื่อนกัน เป้าหมายที่อาจจะต้องฆ่าฟันกันในที่สุด ใครจะคิดละว่าสุดท้ายจะกลายมาเป็นแฟนหนุ่มชั่วคราว ..นี่แหละโลกที่แสนกว้างใหญ่ที่วินใช้ชีวิตอยู่มาหลายปี

เธออาจจะเคยกล่าวโทษโชคชะตาที่โหดร้ายอยู่บ้าง แต่เธอ ..คิดว่านี่คือความโชคดีที่สุดสำหรับผู้โชคร้ายดังเช่นเธอ

จุดเริ่มต้นเป็นเพียงเครื่องมือก็จริง แต่ที่อยู่ตรงหน้าคือคนที่เคยมองเธอเป็นเครื่องมือ และคนๆนั้นกำลังหลั่งน้ำตาให้เธออยู่ ..วินเอื้อมมือไปโอบศรีษะของอาจารย์ ก่อนจะเขยิบตัวเข้าไปกอดอย่างนุ่มนวล

“ตลอดชีวิตที่ได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ ไม่มีวันไหนเลยที่รู้สึกเสียใจ”

“..”

“เพราะอย่างนั้นอย่าร้องไห้เลยนะ อาจารย์”

“..วิน ..”

แรกซ์มองเห็นคนสองคนยืนอยู่ข้างหลังของวิน มันคงจะเป็นภาพหลอนที่แสนน่าหวนคิดถึง มันคือภาพของ ‘ยูนา’ และ ‘เรน’ ลูกศิษย์ทั้งสองคนของเขาที่กำลังฝึกฝนดาบกันโดยมีตัวเขาในวัยหนุ่มเฝ้าดูด้วยรอยยิ้ม

ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ..ที่เรนลูกชายแท้ๆและลูกศิษย์โดยตรงของเขาได้กลายเป็นศัตรูของโลก และตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่เด็กซึ่งเก็บมาได้ในป่า อย่างยูนากลายเป็นวีรสตรีที่จงเกลียดจงชังโลกใบนี้ ..ตัวเองเป็นอาจารย์ไม่ได้เรื่องจริงๆด้วย ไม่อาจชี้ทางที่ถูกต้องให้ลูกศิษย์ทั้งสองได้ ในบั้นปลายสุดท้ายของชีวิตก็จบโดยที่เห็นว่าสองคนนี้กลายเป็นศัตรูกัน ฆ่าฟันกัน กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่รู้ ..อย่างน้อยๆ ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขา ‘วิน’ เขาอยากจะ ..

“หนูไปแล้วนะ ถึงเวลาต้องสู้กับเรเซอร์แล้ว”

วินผละตัวออกจากแรกซ์ และลุกขึ้นยืนก่อนหันหลังให้เขา และหายไปพร้อมกับแสงสีขาว ทั้งสองกลับคืนสู่โลกแห่งความเป็นจริง

 

****

ตรงหน้าของผมคือ ‘วิน’ ที่ท่วมท้นไปด้วยออร่ามหาศาล ทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยอักขระแปลกๆที่มีสัญลักษณ์เหมือนวิชาไสยศาสตร์ วินตรงหน้าผมแบมือดูอักขระแปลกๆบนตัวเธอ ก่อนหัวเราะออกมาเหมือนทุกๆครั้ง

“แปลกสุดๆเลยนะเนี่ย”

ไม่เข้าเลยสักนิด แปลกจริงอย่างที่ว่า ..

“..เรเซอร์?”

หยดน้ำเล็กๆหยดลงพื้นเบาๆ หากไม่สังเกตุก็คงยากที่จะเห็น

“โคตรจะแปลกเลย”

ผมปล่อยให้น้ำตาราวหนึ่งหยดไหลออกจากดวงตาโดยไม่ปิดบัง ..ความคาดหวัง จบด้วยความผิดหวังที่ใหญ่หลวง เป็นบ่อเกิดความโศกเศร้าในอกของผมตอนนี้–ผมขยี้หน้าอกของตัวเอง คล้ายจะบอกว่าหยุดได้แล้ว แต่ใช่ ไม่มีทางที่มนุษย์จะหยุดรู้สึกได้อยู่แล้ว

มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ ทำไมมันถึงจบลงแบบนี้ ทำไม ..ทำไม ..ทำไมกันเล่า ..ทั้งที่ผมพยายามตั้งมากมายแท้ๆ พยายามมาโดยตลอด ไม่เคยหยุด ไม่เคยคิดจะพัก ไม่เคยที่จะยอมแพ้ แต่ทำไมผลลัพธ์มันถึงลงเอยแบบนี้ตลอด ..นี่ไม่ใช่–ตอนจบที่ผมต้องการ 

ถึงกระนั้น ..ก็ต้องสู้ต่อไป

ผมปัดเศษน้ำตาที่คลออยู่ข้างในตาออก และคว้าเรลันดาฟเอาไว้ มณีอัคคีเลืองแสงขึ้น พร้อมกับมานาจำนวนมหาศาลรอบตัวที่กำลังกรี๊ดร้อง วินเห็นเช่นนั้นจึงยิ้มอย่างพึงพอใจ

“ถ้านั้นก็–มาต่อกันเถอะ”

 

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!

เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!!
Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? ผมจะช่วยน้องนางเอก(อวย)ของผมเอง!! << 0 >> รู้สึกว่าโลกเราช่วงนี้จะฮิตต่างโลกกันสินะ? ถ้าจำไม่ผิดนวนิยายประเภทไลทโนเวลของญี่ปุ่นในยุค 2020 จะฮิตกันเอาเรื่องเลย ขนาดผมก็เคยอ่าน หรือเคยดูอนิเมที่ดัดแปลงจากนิยายมาอีกทีไม่น้อยเลย ใช่ มันค่อนข้างสนุกเลย อาจจะเป็นเพราะมันช่วยสนองนีทให้ผมก็ได้ เพราะปกติผมมักจะเป็นผู้แพ้เป็นประจำทั้งๆที่พยายามากแล้ว พอได้เห็นคนๆหนึ่งประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม ซึ่งนั่นก็คือพระเอกมันก็ชวนให้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขาด้วย พร้อมไปกับสาวๆในฮาเร็มของแกด้วยอะนะ แต่ด้วยความที่เป็นตลาดที่ใหญ่ ทำให้มีหลายความเห็นตามไปด้วย หลายครั้งที่นิยายแนวนี้จะถูกวิจารย์ในเชิงไม่ดี อาทิเช่น ส้ำซากจำเจ เดาทางง่าย ตัวละครผู้หญิงง่าย ทุกอย่างง่ายไปหมด บางเม้นต์ก็ร้ายแรงขนาดบอกว่า ‘นี่ไม่ใช่นิยายแต่เป็นสินค้า’ อืม ถ้าในมุมผมก็ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ออกไปในทางชอบด้วยซ้ำ แต่ขอติหน่อยเถอะ ตัวร้ายส่วนใหญ่ในเรื่องแนวนี้โคตรจะไม่น่าให้อภัย คนอะไรมันจะเลวได้ขนาดนั้น เลวถึงแก่นแท้เลยพวกตัวร้ายในนิยายต่างโลกเนี่ย ไม่น่าให้อภัยที่สุด โง่ก็โง่ กระจอกก็กระจอกชิบหายเลย ไร้ความคิดความอ่าน กลับตัวก็ไม่เป็น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset