พอมองไป เขาก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เมื่อก่อนเพราะมีผู้เฒ่าฟู่อยู่ เขาถึงอยากได้ฟู่อวิ๋นเซินมาเป็นลูกเขยของเขา
ถึงแม้สุดท้ายซูหร่วนจะไม่ได้แต่งกับฟู่อวิ๋นเซิน แต่เขาก็ยังคงมองฟู่อวิ๋นเซินเป็นลูกเขยของตัวเอง
ดังนั้นเขาถึงไม่ค่อยชอบเห็นมีคนต่างเพศอยู่ข้างกายฟู่อวิ๋นเซิน
ฟู่หมิงเฉิงสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของซูเหลียงฮุย เขาจึงพูดขึ้น “นิสัยไม่เปลี่ยน จนปัญญาจริงๆ”
“อย่างนั้นเหรอครับ” ซูเหลียงฮุยละสายตาเย็นชากลับมา
…
ด้านนอกร้านกาแฟ
“เดี๋ยวเดียวก็เสร็จ” ฟู่อวิ๋นเซินก้มหน้า ลูบศีรษะอิ๋งจื่อจิน “เธอรออยู่บนรถก็พอ”
อิ๋งจื่อจินกลับไม่ขยับ
“เอาน่าเด็กน้อย” ฟู่อวิ๋นเซินจนใจ “พี่ชายไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น
ตอนนี้เขาไม่กล้าเผชิญหน้าคำว่า ‘พ่อ’ ได้ตรงๆ แล้ว
“ก็ได้” อิ๋งจื่อจินกลับขึ้นรถ หันหน้ามา “สู้กับสองคนนี้ไม่น่าเปลืองแรงเท่าไร”
ฟู่อวิ๋นเซินปิดประตูรถให้เธอ จากนั้นก็เดินเข้าร้านกาแฟ
“อวิ๋นเซิน ไม่เจอกันนานนะ” ซูเหลียงฮุยเปลี่ยนสีหน้าเร็วมาก “นึกไม่ถึงว่าจะโตขนาดนี้แล้ว”
รอยยิ้มในดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินหายไป เหลือเพียงความเย็นชา “ของของคุณปู่ล่ะ”
“ของของท่านผู้เฒ่า ยังไงก็ต้องให้นายอยู่แล้ว” ซูเหลียงฮุยหยิบกล่องที่เตรียมไว้ออกมา “อยู่ในนี้ นายลองเปิดดูสิ”
ฟู่อวิ๋นเซินหยิบกล่องใบนั้นขึ้นมาเปิดดู
“ฉันไม่ได้โกหกนายใช่ไหมล่ะ” ซูเหลียงฮุยดื่มกาแฟแล้วชี้หนังสือสัญญาบนโต๊ะ “แค่นายยอมยกอวี้เซียงฟังให้ นายก็เอาสมบัติชิ้นนี้ของท่านผู้เฒ่าไปได้ ผลประโยชน์ที่เคยตกลงกันไว้ นายก็ได้ด้วย”
นี่เป็นแผนของเขากับฟู่หมิงเฉิง
สีหน้าของฟู่อวิ๋นเซินเรียบเฉย
เขาไม่พูดอะไร หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นเอกสาร
จากนั้นก็เดินถือกล่องออกจากร้านกาแฟ
เร็วจนเหนือความคาดหมายของฟู่หมิงเฉิง
“หมิงเฉิง” ซูเหลียงฮุยก็ประหลาดใจ เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก “จะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
เขาคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรฟู่อวิ๋นเซินก็เป็นหลานที่ผู้เฒ่าฟู่รักที่สุด
เกิดผู้เฒ่าฟู่ทิ้งยอดฝีมือไว้คุ้มกันฟู่อวิ๋นเซินจะทำอย่างไร
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ” ฟู่หมิงเฉิงดีใจมาก “ผมสืบมาหมดแล้ว วางใจได้”
ซูเหลียงฮุยครุ่นคิดอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้า แสยะยิ้มให้กับความคิดมากของตัวเอง
เขาเองก็รู้ว่าฟู่อวิ๋นเซินเคยใช้ชีวิตอยู่ที่ตี้ตูเกือบสิบปี แต่เขาไม่เคยได้ยินชื่อฟู่อวิ๋นเซินในแวดวงเศรษฐีของตี้ตู
นั่นก็แสดงว่าต่อให้ไปอยู่ตี้ตู ฟู่อวิ๋นเซินก็ยังคงไม่ใช่คนใหญ่คนโตอะไร
ไม่มีอะไรต้องกังวล
ซูเหลียงฮุยวางแก้วกาแฟลงแล้วลุกขึ้น “งั้นผมกลับก่อนนะครับ”
“ครับ” ฟู่หมิงเฉิงพยักหน้า “เดี๋ยวผมจะไปคุยความร่วมมือกับบีไมน์”
…
ผู้เฒ่าฟู่ป่วยมานาน เขาจึงมีคนสนิทอยู่ในฟู่ซื่อกรุ๊ปไม่เท่าไร ถูกฟู่หมิงเฉิงเปลี่ยนเป็นคนของตัวเองหมดแล้ว
ดังนั้นคำสั่งของฟู่หมิงเฉิง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ไม่มีทางที่จะไม่ฟัง ทำการติดต่อแอ๊กเคานท์เชิงพาณิชย์กับแอ๊กเคานท์หน้าม้าทันที จากนั้นก็โพสต์เวยปั๋ว
แอทฟู่ซื่อกรุ๊ป : [พวกเราเสียใจต่อการจากไปของท่านผู้เฒ่า แต่นี่ไม่ใช่โอกาสที่คนเจตนาไม่ดีจะมายึดบริษัทไป]
ด้านล่างเป็นประกาศ ทั้งยังได้แนบรูปถ่ายของฟู่อวิ๋นเซิน
ความหมายโดยรวมคือฟู่อวิ๋นเซินทำเรื่องไม่ดีเพื่อแย่งอวี้เซียงฟังไป
ภายใต้แรงผลักดันของแอ๊กเคานท์หน้าม้ากับแอ๊กเคานท์เชิงพาณิชย์ แฮชแท็ก #ฟู่อวิ๋นเซินคุณชายเสเพลอันดับหนึ่งแห่งฮู่เฉิง# ก็ได้ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งของคำค้นยอดนิยม
เรื่องน้ำเน่าในตระกูลเศรษฐีบางครั้งก็ฮือฮายิ่งกว่าวงการบันเทิง
บรรดาชาวเน็ตที่คลิกเข้าไปอ่านมีจำนวนมาก คอมเมนต์กำลังพุ่งพรวด
[อื้อหือ หล่ออะไรขนาดนี้! หนูจะขิตแล้วแม่]
[หล่อเกินไปแล้ว จะเป็นลม ฉันว่าเขาเดบิวต์พร้อมเทพอิ๋งไปเลยก็ได้นะ สมัยนี้คนธรรมดาฆ่าตัวพ่อตัวแม่ในวงการบันเทิงตายเรียบ!]
[คอมเมนต์บนตรรกะเพี้ยนหรือเปล่า ทำเรื่องแบบนี้เพราะไม่ได้ทรัพย์สมบัติ น่าขยะแขยงจะตาย]
[ไม่ทำแล้วจะอยู่ยังไง ไม่ทำก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินก็เที่ยวผู้หญิงไม่ได้ งั้นก็ไม่สมกับที่เป็นคุณชายเสเพลสิ อิอิ]
[คนเลวต้องถูกประจาน เกลียดที่สุดพวกลูกเศรษฐีที่ไม่ได้มีความสามารถอะไร เก่งนักก็ไปสร้างกิจการเองสิ โทษนะ ต่อให้สร้างกิจการยังไงก็สู้ฟู่ซื่อกรุ๊ปไม่ได้หรอก]
ในเวยปั๋วด่ากันระงม นี่เป็นผลลัพธ์ที่ฟู่หมิงเฉิงต้องการ
ไม่เพียงแต่เขาจะเอาอวี้เซียงฟัง ยังต้องการให้ฟู่อวิ๋นเซินทนอยู่ต่อไปไม่ได้ด้วย
หลังจากที่ฟู่หมิงเฉิงอ่านรายงานจากฝ่ายประชาสัมพันธ์จบเขาก็พอใจมาก จากนั้นก็ไปที่ห้างเซ็นจูรี่
คนที่มาต้อนรับเขาคือผู้จัดการของร้านบีไมน์สาขาฮู่เฉิง
“คุณฟู่” ผู้จัดการดันแว่นตา “ทางเราพอใจผลิตภัณฑ์ของพวกคุณมากครับ เพิ่งได้ข่าวมาจากทางผู้บริหาร บอกว่าถ้าจะซื้อกิจการของบีไมน์ คุณคิดเห็นยังไงครับ”
ฟู่หมิงเฉิงอึ้ง จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยน “ซื้อกิจการ เป็นไปไม่ได้ครับ!”
อวี้เซียงฟังเป็นกิจการร้อยปีของตระกูลฟู่ ถือเป็นรากเหง้า
“ไม่ครับๆ คุณฟู่เข้าใจผิดแล้ว” ผู้จัดการยิ้ม “ถึงแม้วีนัสกรุ๊ปจะซื้อกิจการอวี้เซียงฟัง แต่ฟู่ซื่อกรุ๊ปก็ยังคงถือหุ้นอยู่ส่วนหนึ่งได้ครับ”
“แบบนี้คุณฟู่ก็ถือเป็นผู้ถือหุ้นของวีนัสกรุ๊ปด้วยนะครับ”
ฟู่หมิงเฉิงรับสัญญามาอ่านดูอย่างละเอียดหนึ่งรอบ สุดท้ายก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามีเรื่องดีขนาดนี้อยู่ด้วย
เขารอบคอบมาก ย่อมไม่มีทางตอบตกลงในทันที “ผมขอทราบเหตุผลได้ไหมครับ ถ้าเทียบกับบีไมน์ อวี้เซียงฟังยังห่างชั้นตั้งไกล”
หนึ่งในห้าร้อยบริษัทที่แข็งแกร่งของประเทศจีนกับหนึ่งในห้าร้อยบริษัทที่แข็งแกร่งระดับโลก จะเทียบกันได้อย่างไร
“ทางสำนักงานใหญ่เตรียมปลุกปั้นอวี้เซียงฟังให้เป็นบริษัทน้ำหอมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวฝั่งตะวันออก” ผู้จัดการตอบ “คุณเองก็ทราบว่าตอนนี้เป้าหมายสำคัญของทางสำนักงานใหญ่ได้เบนมาที่ประเทศจีนแล้ว”
ฟู่หมิงเฉิงพยักหน้า
“อวี้เซียงฟังจะเป็นบริษัทอันดับหนึ่งของวีนัสกรุ๊ปที่อยู่ในประเทศจีน” ผู้จัดการพูดเป็นนัยๆ “เรื่องนี้สำคัญขนาดไหน คงไม่ต้องให้ผมอธิบายมากนะครับคุณฟู่”
“ไม่ต้องครับไม่ต้อง” ฟู่หมิงเฉิงเริ่มตัวสั่น หยิบปากกาขึ้นมาเซ็นชื่อลงในเอกสารสัญญาทันที
เขาพอเห็นอนาคตแล้วว่าอวี้เซียงฟังจะเจริญรุ่งเรืองขนาดไหนภายใต้การนำของเขา
“คุณฟู่ใจกว้างมากครับ” ผู้จัดการเก็บหนังสือสัญญาด้วยความระมัดระวัง “อีกเดี๋ยวประธานวีนัสกรุ๊ปของโซนเอเชียแปซิฟิกจะมาพบคุณด้วยตัวเองครับ”
พอได้ยินแบบนี้ฟู่หมิงเฉิงก็ตะลึง “ไม่ใช่บีไมน์ แต่เป็นวีนัสกรุ๊ปเหรอครับ!”
“ครับ” ขณะผู้จัดการตอบก็ได้หันไปโค้งตัวอย่างนอบน้อมทางประตู “ยินดีต้อนรับคุณฟู่มาให้คำชี้แนะที่ฮู่เฉิงครับ”
แซ่เดียวกับเขาเหรอ
ฟู่หมิงเฉิงอึ้ง เขาเงยหน้ามองไป
ประตูถูกเปิดออกในเวลานี้
ชายหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีดำ สีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนไม่จริงจัง
ใบหน้าหล่อเหลาราวกับภาพวาด ดึงดูดสายตา ชวนให้หลงใหล
“บังเอิญจริงๆ” ดวงตาดอกท้อของฟู่อวิ๋นเซินโค้งมน นิ้วเรียวยาวคลายตรงอกเสื้อ พูดอย่างไม่ใส่ใจ “นึกไม่ถึงว่าฝ่ายที่ร่วมงานด้วยจะเป็นคุณ”
สมองของฟู่หมิงเฉิงกลับระเบิดในชั่วพริบตา มีเสียงอื้ออึง ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
คนที่จะมาคุยความร่วมมือกับเขาไม่ใช่ประธานวีนัสกรุ๊ปของโซนเอเชียแปซิฟิกหรอกเหรอ
ทำไมถึงกลายเป็นฟู่อวิ๋นเซินที่เมื่อสี่ชั่วโมงก่อนเพิ่งจะเจอเขาล่ะ!
ฟู่หมิงเฉิงหน้ามืดตาลาย ใกล้บ้าเต็มที
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่!
“ฟู่อวิ๋นเซิน แกเล่นตุกติกอะไร” ฟู่หมิงเฉิงข่มความตกใจเอาไว้ แสยะยิ้ม “บริษัทที่จะร่วมงานกับฉันคือวีนัสกรุ๊ป แล้วแกมาทำอะไร”
ฟู่อวิ๋นเซินเลิกคิ้ว เขาไม่ตอบ
เสียงริงโทนโทรศัพท์ดังขึ้น
ฟู่หมิงเฉิงกดรับด้วยความหงุดหงิด “ฮัลโหล”
“ฟู่หมิงเฉิง!” มีเสียงร้อนรนของซูเหลียงฮุย เสียงสั่นเล็กน้อย “ไหนว่าฟู่อวิ๋นเซินไม่มีที่พึ่งไง ไม่มีภูมิหลังอะไรไม่ใช่เหรอ”
ประโยคหลังแทบจะตะคอกใส่ “ทำไมเขาถึงเป็นประธานวีนัสกรุ๊ปของโซนเอเชียแปซิฟิกได้ล่ะ!”
อย่าว่าแต่ประธานวีนัสกรุ๊ปของโซนเอเชียแปซิฟิกเลย แม้แต่ประธานบีไมน์โซนเอเชียแปซิฟิก ฟู่หมิงเฉิงที่เป็นแค่ประธานใหญ่ของฟู่ซื่อกรุ๊ปก็ยังเทียบไม่ติด
แต่บีไมน์เป็นแค่หนึ่งในบริษัทในเครือวีนัสกรุ๊ปเท่านั้น!
ห้าร้อยบริษัทที่แข็งแกร่งระดับโลก ลำพังแค่บริษัทในเครือวีนัสกรุ๊ปก็ติดไปแล้วห้าสิบอันดับ!
หัวใจของฟู่หมิงเฉิงหดเกร็ง “คุณรู้ได้ยังไง”
เขาเองก็เพิ่งเจอฟู่อวิ๋นเซิน ซูเหลียงฮุยไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้วรู้ได้อย่างไร
ซูเหลียงฮุยแทบจะตะคอกด้วยความโมโห “ดูเวยปั๋วสิ!”
เวยปั๋วเหรอ
ราวกับฟู่หมิงเฉิงนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบกดแอปสโตร์แล้วดาวน์โหลดเวยปั๋ว
ระหว่างที่ดาวน์โหลดมือของเขาสั่นอยู่ตลอด จับมือถือแทบไม่อยู่
คนในวงการเศรษฐีอย่างพวกเขา มีเวลาดูเวยปั๋วกับติ๊กต่อกที่ไหนกัน
มีพนักงานกับผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ดูแล้วสรุปข้อมูลมาให้ทั้งนั้น
ดังนั้นหลังจากที่เขาให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของฟู่ซื่อกรุ๊ปเตรียมโพสต์ข้อความเสร็จก็ไม่ได้สนใจอีก
พอดาวน์โหลดเสร็จ ฟู่หมิงเฉิงก็กดเปิดไอคอนสีเหลืองทันที
ไม่เหนือความคาดหมายของเขา แฮชแท็กอันดับหนึ่งในตอนนี้ก็คือโพสต์ที่เขาให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์โพสต์
การสร้างกระแสจะใช้เวลาแปดชั่วโมง คนที่รู้ก็จะมีเยอะมาก
และยังมีแฮชแท็กที่กำลังพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ด้านหลังมีคำว่า ‘ร้อนแรง (HOT)’ ต่อท้าย
#ประธานวีนัสกรุ๊ปโซนเอเชียแปซิฟิก#
ฟู่หมิงเฉิงกดด้วยมืออันสั่นเทา จากนั้นก็เห็นแอ๊กเคานท์ของบริษัทที่เพิ่งลงทะเบียนใหม่
ไม่มีใครกล้าสวมรอยเป็นวีนัสกรุ๊ป
โพสต์แรกของวีนัสกรุ๊ปไม่ได้เขียนขึ้นเอง แต่เป็นการแชร์มา
แอทวีนัสกรุ๊ป : [ขอแนะนำนะครับ นี่คือประธานวีนัสกรุ๊ปโซนเอเชียแปซิฟิก ค่าตัวห้าแสนล้าน // แอทเหาะไปอวกาศ : คนเลวต้องถูกประจาน เกลียดที่สุดพวกลูกเศรษฐีที่ไม่ได้มีความสามารถอะไร เก่งนักก็ไปสร้างกิจการเองสิ โทษนะ ต่อให้สร้างกิจการยังไงก็สู้ฟู่ซื่อกรุ๊ปไม่ได้หรอก]