Provider : Muntra
โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.205 – กุมอำนาจเบ็ดเสร็จ
อย่างไรก็ตาม แม้จะบอกว่ามอบให้ แต่ย่านการค้าเหล่านี้ โดยปกติแล้วไม่สามารถขายได้เพราะอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ทั้งหมดในสถานชุมชน ‘ถือว่าเป็นของตำแหน่งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการเท่านั้น’
อย่างไรก็ตาม ค่าเช่ารายปีมีเม็ดเงินหมุนเวียนเป็นจำนวนเกือบ 100 ล้านเหรียญ
ปัจจุบันหลินเซิงตายไปแล้ว ฉะนั้นเจิ้งหยางจึงได้ครอบครองมันทั้งหมด อีกฝ่ายสามารถทำกำไรจากมันได้มากแค่ไหนคงไม่ต้องถาม
ทว่าเจิ้งหยางน่ะเป็นคนฉลาด ก็อย่างที่บอกไปว่าย่านการค้ามัน ‘ขายไม่ได้’ และ ‘เก็บค่าเช่าแบบรายปี’ หมายความว่าไม่สามารถทำเงินได้ในทันที ทั้งยังต้องใช้เวลา ดังนั้นมันจึงถูกยกขึ้นมาเป็นข้อเสนอเพื่อช่วยให้การเจรจาระหว่างเขากับฉินเฟิงเป็นไปอย่างราบรื่น
ซึ่งในความเป็นจริง นี่คือยุคโลกาวินาศ สัญญาเพียงลมปากน่ะจะถูกฉีกออกเมื่อไหร่ก็ได้
หากวันใดวันหนึ่งฉินเฟิงตายในทุ่งล่า ย่านการค้าทั้งหมดก็จะถูกส่งคืนสู่มือเจ้าของ สุดท้ายเงินก็จะตกเป็นของเจิ้งหยางอยู่ดี
ในทำนองเดียวกัน สมมติว่าฉินเฟิงสามารถกลายเป็นเลเวล D ในอนาคต ถึงเวลานั้นต่อให้เจิ้งหยางมีความกล้ามากกว่านี้สัก 800 เท่า เขาก็ไม่กล้าที่จะถือหุ้น 40% ของสถานชุมชนเฟิงหลี
ดังนั้นการยื่นข้อตกลงเช่นนี้ ถือว่าเป็นข้อตกลงที่ดีและทำให้ทุกฝ่ายมีความสุข
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็ออกไปส่งเจิ้งหยางด้วยตนเอง ทว่าการประชุมของสมาชิกระดับสูงของเฟิงหลียังไม่จบลง
พวกเขาต้องคำนวณสิ่งต่างๆที่ได้รับมาใหม่ รวมถึงการแบ่งสันปันส่วนหุ้นของสถานชุมชนให้แก่ ผู้เข้าร่วมประชุม
แต่ไม่ได้หมายความว่าสัดส่วนผู้ถือหุ้นจะคงที่ตลอดไป มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
เพราะความสำเร็จในอนาคตของฉินเฟิงมีแต่จะสูงขึ้น สูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ต้องแกร่งขึ้น แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
บุคคลใดที่สามารถติดตามฉินเฟิงได้ ทรัพยากรในมือของคนๆนั้นก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน คนที่ไม่สามารถไล่ตามเขาทัน แม้ไม่สูญเสียอะไร แต่ในสัดส่วนหุ้นที่ครอบครองจะค่อยๆถูกปรับลดลง จนเมื่อเวลาผ่านไป ก็อาจต้องขายมันออก ไม่ก็ถูกคนอื่นรับซื้อต่อ ในที่สุดก็จะได้รับแค่เงินเดือนจากสถานชุมชนเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง สมาชิกระดับสูงทั้งหมดเลยต้องทุ่มเทพยายามอย่างหนัก เพราะหากคุณไม่มีพรสวรรค์ แล้วจะสามารถร่วมเดินเคียงข้างกับฉินเฟิงได้อย่างไร?
“วัตถุดิบปริมาณมหาศาลที่ผู้ว่าการฉินนำมาจนเต็มคลังสินค้า จะถูกนับรวม และคำนวณเป็นสัดส่วนหุ้น”
“รวมกับหุ้นของผู้ว่าการเจิ้งที่มอบให้ในวันนี้”
“เสริมด้วยอีก 2 พันล้านเหรียญที่ผู้ว่าการฉินเติมลงไป สัดส่วนหุ้นโดยรวมก็จะเป็น …”
หลังจากจบการคำนวณทางสถิติ ปรากฏว่าฉินเฟิงเพียงคนเดียว ในเวลานี้ครอบครองหุ้นของสถานชุมชนเฟิงหลีมากถึง 87 %!
ส่วนไป๋หลีกับหลิงหวู่ยี่ เลเวล E ที่เข้าร่วมกับสถานชุมชนเฟิงหลี ได้รับหุ้นคนละ 3 % ตามลำดับ แน่นอนว่าเขาและเธอแทบจะไม่มีภาระผูกพันใดๆ หรือเรียกได้ว่าไม่มีหน้าที่ต้องทำอะไรเลย
ทางด้านซูซิงฝู เนื่องจากเขาเป็นผู้ถือหุ้นดั้งเดิม เลยได้รับการจัดสัดส่วนใหม่ เปลี่ยนจาก 10 % เป็น 2 % ถึงจะเห็นว่าตัวเลขลดลง ทว่าทางด้านสินทรัพย์มิได้ลดลงแต่อย่างใด ดังนั้นเขาไม่มีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้
ส่วนเลเวล F ที่เหลืออยู่ ได้รับการจัดสรรหุ้นคนละ 0.5 %
อีก 1 % ที่เหลือสงวนไว้ไม่ได้ให้ผู้ใด
“การประชุมในครั้งต่อไป จะเป็นในอีก 3 เดือนให้หลัง หรือทุกๆไตรมาส ผมหวังว่า พวกคุณทุกคนจะพยายามทำงานอย่างหนัก และที่สำคัญคือห้ามฆ่ากันเอง เพราะที่ผมต้องการคือทีมเวิร์ค ไม่ใช่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายหรือสมรู้ร่วมคิด เข้าใจกันใช่ไหม?”
ทั้งหมดที่กำลังยิ้มแป้นสั่นสะท้านในหัวใจ
นี่คือคำเตือนของฉินเฟิง!
อาจกล่าวได้ว่าทุกคนในที่แห่งนี้ หากมีคนใดคนหนึ่งตายลง แม้ว่าหุ้นที่คนๆนั้นครอบครองจะไม่ตกอยู่ในมือของผู้อื่นก็ตาม แต่ไม่ต้องสงสัยเลย ว่าในการประชุมครั้งต่อไป มันจะต้องถูกแจกจ่ายให้กับใครสักคนแน่นอน
นี่เองที่เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ในสถานชุมชนยุ่งเหยิง ชวนให้สับสน
แม้ฉินเฟิงจะพัฒนาไปไกลมากจนทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่สมาชิกคนอื่นๆของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เมื่อความแข็งแกร่งสูสีกัน ก็อาจเกิดการเลื่อยขาเก้าอี้กันเป็นธรรมดา
และฉินเฟิงไม่ต้องการเห็นเรื่องอะไรพวกนี้
ฝูงชนตอบรับคำอย่างว่าง่าย แสดงท่าทีว่ามิได้มีใครคิดแบบนั้น
หลังจากทุกคนออกไป ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวก็เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันไปตามทางเดิน
“อาการของเสี่ยวหวงดีขึ้นรึยัง” ฉินเฟิงถาม
“ดีขึ้นมากแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันยังพามันไปที่เหมืองฉิงซาน และกวาดล้างพื้นที่แถบนั้นทั้งหมดอยู่เลย ตอนนี้ถ้ำนั่นกลายเป็นว่างเปล่าไปแล้ว!”
ไม่ว่าจะช่วงกอบกู้เมืองหาน หรือการประชุมในครั้งนี้ โจวฮ่าวไม่ได้รับอะไรดีๆมาเลย แต่โจวฮ่าวก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เพราะสำหรับเขา ทุกสถานที่ในทุ่งล่าคือแหล่งทรัพยากร ไม่มีใครให้ งั้นเขาไปหาเองก็ได้
“ได้ยินแบบนี้ฉันก็สบายใจ แต่ฉันไม่อยากให้นายพึ่งพามันมากเกินไป เพราะยังไงซะนางพญามดทองน่ะเลเวลตั้ง F5 แล้ว แต่นับจากเมืองหาน ความแข็งแกร่งของนายกลับไม่มีพัฒนาการขึ้นเลย”
“ฉันรู้หรอกน่า แต่หลังจากกลับมา มันไม่ได้มีอะไรที่สามารถปลุกไฟในใจฉัน ให้เกิดแรงฮึดต่อสู้เหมือนตอนเมืองหานได้เลยนี่นา!”
ฉินเฟิงพอได้ฟังก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก “จริงสิ! ฉันจำได้ว่าผู้ฝึกสัตว์มีพลังสมาธิอย่างเทคนิคเสริมพลังอยู่นะ”
ยังจดจำกันได้หรือไม่ ว่าพันธสัญญาน่ะเชื่อมต่อกันด้วยพลังสมาธิ และพลังสมาธิไม่เพียงใช้ในการสื่อสารระหว่างคู่พันธสัญญาเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้ระดมพลังงานของสัตว์ร้ายมาเป็นพลังของตนเองได้อีกด้วย
แต่หลังจากที่โจวฮ่าวมีเสี่ยวหวง เขาก็แทบไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ฝึกสัตว์เลย แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะกล่าวได้ว่าผู้ฝึกสัตว์ก็เป็นอาชีพที่อันตรายมากเช่นกัน
อย่างเช่น ยิ่งสัตว์ร้ายมีพลังงานมากเท่าไร ผู้ฝึกสัตว์ก็ยิ่งรับความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่สัญญาอันเปราะบางระหว่างคนกับสัตว์ร้ายพังทลายลง คนแรกที่จะสิ้นชีพ ไม่ใช่ผู้ใดเลยแต่เป็นตัวผู้ฝึกสัตว์เอง!
“แบบนั้นมันฟังดูแย่จัง แต่มันคงจะไม่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหวงหรอกใช่ไหม!” โจวฮ่าวมองไปทางไป๋หลี เขารู้ว่าตอนนี้ไป๋หลีอยู่ในเลเวล E แล้ว เลยกล่าวเสียงกระซิบว่า “นายคงไม่ได้ใช้วิธีเดียวกันกับไป๋หลีหรอกมั้ง!”
ฉินเฟิงยิ้มและกล่าว “ไป๋หลีไม่เหมาะกับวิธีนี้” และอีกอย่าง ฉินเฟิงก็ไม่ต้องการใช้วิธีการนี้ด้วย เพราะพัฒนาการของเขาก็รวดเร็วมากพออยู่แล้ว
ฉินเฟิงต้องการเติมเต็มตนเองด้วยการต่อสู้ที่แท้จริง เขาไม่ได้ขาดเหลือพลังงานแต่อย่างใด
ในทางกลับกัน โจวฮ่าวนั้นขาดพลังงาน แต่เขาชำนาญการต่อสู้
“โจวฮ่าว ทำไมนายไม่ลองคิดเรื่องนี้ดูดีๆสักหน่อยล่ะ ถึงแม้นายจะเห็นว่านางพญามดทองใช้พลังงานไปกับการต่อสู้แล้วก็จริง แต่จริงๆแล้วมันคือแม่แมลง และหน้าที่ๆมันต้องทำก็คือการสืบพันธุ์ เมื่อพลังงานล้นออกมา มันจะไม่นำไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง แต่จะถูกนำไปใช้เพิ่มจำนวนการวางไข่แทน ถ้านายไม่คิดทำอะไรกับมัน นายคงได้กินไขมดทุกวันแน่ๆ”
พอได้ยินฉินเฟิงพูดแบบนั้น โจวฮ่าวก็คล้ายได้สติ เอ่ยปากว่า “พอนายพูดขึ้นมา ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าหลายวันมานี้เสี่ยวหวงมีท่าทีค่อนข้างกระสับกระส่ายอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่ามันจะพยายามฟื้นฟูร่างกายกลับสู่ขนาดเดิม ขอบคุณพระเจ้าที่มอบบ้านหลังใหญ่มากพอให้ฉัน ไม่งั้นคงเก็บมันไว้ไม่ได้”
เห็นได้ชัดว่าพอเริ่มหายดี กลับมามีพลังงานอีกครั้ง เสี่ยวหวงต้องการจะขุดรังและวางไข่อีกรอบ ทว่าเมื่อย้อนนึกไปถึงรังมดในเมืองหาน โจวฮ่าวก็ไม่กล้าปล่อยให้มันทำเช่นนั้น
“ฉะนั้น หมายความว่าบทบาทที่แท้จริงของเสี่ยวหวงไม่ใช้พลังงานในการต่อสู้ แต่บทบาทของมันคือช่วยใช้พลังงานส่งเสริมให้นายแข็งแกร่งขึ้น ไม่งั้นชิหลงคงไม่แสดงท่าทีอิจฉาออกมาถึงขนาดนั้นหรอกจริงไหม? ถ้าเขาไม่ได้หวาดกลัวความแข็งแกร่งของไป๋หลีล่ะก็ เขาคงโจมตีนาย และชิงนางพญามดทองไปแล้ว ฉะนั้นเร่งพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองซะ เข้าใจไหม? ”
“อ่า ฉันเข้าใจแล้ว” โจวฮ่าวพยักหน้า ตั้งใจว่ากลับไปจะฝึกฝนทันที แต่ก่อนจะจากไป เขาก็ไม่วายหยอกล้อฉินเฟิง “แต่พลังงานของไป๋หลีเองก็เหลือล้นเหมือนกันไม่ใช่หรอ บางทีบทบาทของเธออาจไม่ใช่หน้าที่ต่อสู้ แต่เป็นภรรรยาที่พร้อมให้กำเนิดลูกของนายก็ได้นะ!”
“ไอ้บ้านี่ ไสหัวไปเลย!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
“เอาล่ะๆ ฉันไปก่อนนะ อ้อจริงสิ หลิงหวูยี่เหมือนมีบางอย่างอยากจะพูดกับนาย” โจวฮ่าวพยักเพยิดคางไปอีกทาง ส่งสัญญาณให้ฉินเฟิงหันไปมองหลิงหวูยี่ที่อยู่ไม่ไกล
เฝ้ารอจนกระทั่งโจวฮ่าวจากไป หลิงหวูยี่ถึงค่อยเดินเข้ามา
“ฉินเฟิง ขอบคุณมากนะสำหรับวันนี้ แต่ฉันอยากจะคืนหุ้นให้นาย”
นี่คือความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย แต่เขาไม่อยากเป็นเจ้าของมัน
แม้หลิงหวูยี่จะมีความสุขมากในตอนแรกหลังจากที่เขาได้รับอิสระ แต่กระบวนการทำตัวให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมภายนอกกลับไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นนัก ในเวลานี้ เขาไม่ทราบว่าตนเองสมควรทำอย่างไรดี
โดยเฉพาะมนุษย์กลายพันธุ์น่ะจะแตกต่างจากผู้ใช้วรยุทธโบราณทั่วๆไป พวกเขาไม่ได้พัฒนาผ่านการฝึกฝน แต่สามารถเติบโตขึ้นได้ด้วยการดัดแปลงยีน หรือเข้ารับการทดลองต่อไปเท่านั้น
ดังนั้น หลิงหวูยี่จึงไม่จำเป็นต้องฝึกฝน และเขาก็กำลังกังวลเกี่ยวกับมันมาก
“ที่ฉันให้หุ้นนาย ก็เพราะตั้งใจจะมอบหมายให้นายทำงานให้ฉัน ไม่ต้องเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจหรอก ถ้านายเบื่อจริงๆ ก็แค่ออกไปหาเงิน แม้ว่าตอนนี้นายจะไม่สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งได้ แต่ถ้าซื้ออุปกรณ์รูนมาใช้ ก็น่าจะช่วยให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมระดับหนึ่ง”
“จริงด้วยสิ ยังมีวิธีนั้นอยู่นี่นา!” หลิงหวูยี่พยักหน้า
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาทันใด “งั้นเอาแบบนี้ อีกครึ่งเดือนที่จะถึง นายสนใจไปเมืองไห่กับฉันไหม? มั่นใจได้เลยว่าพวกเราจะรับทรัพย์ครั้งใหญ่ และนายอาจเจออุปกรณ์ที่ถูกใจก็ได้”
หลิงหวูยี่ยิ้ม “ไปสิ! ฉันเองก็อยากเห็นความงดงามของเมืองไห่เหมือนกัน!”
“ฮ่าฮ่า ที่พูดนั่นไม่ได้หมายถึงแค่เมืองใช่ไหม?”
ด้วยวัยของหลิงหวูยี่ที่ยังหนุ่มยังแน่น เลยเป็นธรรมดาที่เขาจะจินตนาการถึงสาวงามที่อาจจะได้พบเจอ