โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.428 – เข้าสู่เมืองหวัง
ฉินเฟิงพยักหน้า
“ถูกต้อง นี่คือไข่ของราชันย์งูเหลือมเกล็ดทองคำ ผมได้รับมันมาในช่วงสังหารจักรพรรดิสัตว์ร้ายที่สันเขาถังซาน”
หลังจากในตอนแรกที่ถูกส่งเข้ามาในสุสานเทพสงคราม มันก็ถูกแยกออกมาเก็บไว้ในพื้นที่มิติพิเศษของไป๋หลี คอยชุบบำรุงด้วยวัตถุดิทรงพลัง จนถึงตอนนี้ เปลือกของมันใกล้จะกระเทาะออกแล้ว
“ไข่ราชันย์สัตว์ร้ายทั้งสองตัวนี้ ผมในฐานะหัวหน้า ขอมอบมันให้แก่วังเฉินและซูซิงฝู เนื่องจากคุณทั้งสองเป็นหัวใจหลักที่ต้องรับผิดชอบสถานชุมชนเฟิงหลีและปราการชาตง ดังนั้นพวกมันน่าจะช่วยให้พวกคุณแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”
ด้วยเงินแต่ละเดือนที่ซูซิงฝูและวังเฉินได้รับ ไม่น่าจะเป็นปัญหาในการชุบเลี้ยงราชันย์งูเหลือมเกล็ดทองคำ ส่วนจะสามารถช่วยวิวัฒนาการมันไปถึงเลเวล D ได้หรือไม่ อัน ก็ขึ้นอยู่กับพัฒนาการของทั้งสองคนแล้ว
สำหรับอนาคตของซูซิงฝู ฉินเฟิงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ว่าตราบใดที่อีกฝ่ายต้องการ การฝึกฝนไม่น่าใช่ปัญหา
ส่วนวังเฉิน ฉินเฟิงคือผู้เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของอีกฝ่าย เกรงว่าในชีวิตก่อนหน้า วังเฉินน่าจะไม่มีวันได้ออกมาจากเมืองหาน
ดังนั้นในตอนนี้ อนาคตของทั้งสอง ฉินเฟิงจะเป็นคนช่วยสนับสนุนให้เอง
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถ้าอย่างงั้นขอน้อมรับด้วยความยินดี” ซูซิงฝูกล่าว และนำไข่งูเหลือมเกล็ดทองคำใบหนึ่งไป
ส่วนวังเฉิน บอกตรงๆเขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เจ้าตัวไม่คิดเลยว่าฉินเฟิงจะไว้ใจตนถึงขนาดนี้ เพราะตั้งแต่ที่หานน่วนซึ่งเป็นทั้งเลเวล E และมือปืนเหมือนกับเขาทุกประการก้าวเข้ามา เขาก็คล้ายกับกำลังถูกแทนที่ และตกกระป๋องไป
จากนั้น ฉินเฟิงกับโจวฮ่าวก็หารือกันเรื่องกองทหารรับจ้างเฟิงหลี
โจวฮ่าวเข้าใจดี เขายินดีรับดูแล แต่ไม่คิดสั่งการเลเวล D เหล่านั้น
ส่วนสถานชุมชนเฟิงหลีและปราการชาตง แม้ก่อนหน้านี้ ฉินเฟิงไม่ค่อยมีส่วนร่วมในการจัดการมันตั้งแต่แรก ทว่าผู้คนที่คอยดูแลมัน ทุกคนล้วนเป็นคนที่ฉินเฟิงไว้ใจ ดังนั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร
สำหรับกองทหารรับจ้างเฟิงหลี พวกเขาล้วนเป็นทหารชั้นยอด มีหลายคนทรงพลังเป็นอย่างมาก ถึงตอนนี้พวกเขาจะยังอยู่เพราะฉินเฟิงยังทำประโยชน์ให้พวกเขาได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป และฉินเฟิงไม่กลับมา กองทหารรับจ้างนี้อาจเหลือแค่ในนาม!
แต่ฉินเฟิงไม่สนใจ
เพราะฉายาราชาทหารรับจ้างในชีวิตก่อนของฉินเฟิง ชื่อก็บอกอยู่ว่าราชาซึ่งหมายถึงตัวบุคคลไม่ใช่กลุ่ม!
แต่ทุกสิ่งมันเป็นเรื่องของอนาคต ไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความกว่านี้ หลังจากฝากฝังและจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ฉินเฟิงก็เสร็จสิ้นการประชุม
เขาตัดสินใจพักผ่อนหนึ่งวัน พอรุ่งสาง ก็ออกเดินทางทันที
อบิลิตี้มิติของไป๋หลีถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นฉินเฟิงไม่คิดเก็บมันเป็นความลับอีกต่อไป เมื่อค้นหาพิกัดมิติได้ ฉินเฟิงก็สั่งไป๋หลีเปิดประตูมิติทันที
ทั้งสองก้าวเข้าไป
มิติเกิดการเคลื่อนย้ายในฉับพลัน ทิวทัศน์ตรงหน้าของฉินเฟิงแปรเปลี่ยนไป
สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขา คือหุบเขาอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่
รอยแตกของหุบเขาแห่งนี้ขยายไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา ก้มมองลงไปให้ความรู้สึกลึกอย่างหาที่สุดมิได้ นอกจากนี้ยังมีเมฆดำบางส่วนลอยอยู่ภายในมัน ชวนให้รู้สึกมืดมน!
เดิมทีสถานที่แห่งนี้เป็นที่ราบธรรมดาๆ แต่จู่ๆก็เกิดหุบเขาขนาดใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าไม่ได้ก่อตัวขึ้นเองตามธรรมชาติ
มีตำนานเล่าขานว่า จักรพรรดิสัตว์ร้ายเลเวล A เคยจบชีวิตลงที่นี่ ก่อนตายมันย่ำเท้าลงบนพื้นดิน จนก่อตัวเป็นหุบเขาแห่งนี้ขึ้นมา
หากมองจากระยะไกล สถานที่แห่งนี้จะดูคล้ายกับรอยเท้าของมนุษย์ขนาดยักษ์ และเมืองหวัง ตั้งอยู่สุดขอบของปลายเท้า
ไป๋หลีคว้ามือฉินเฟิง โรยตัวลงไปใกล้หน้าผาหุบเขา
ภายในรอยเท้าขนาดยักษ์ หมอกสีเทายิ่งลึกเข้าไปก็ยิ่งหนาแน่น หมอกเหล่านี้มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก เพียงสูดดมอาจถึงขั้นหมดสติได้ ดังนั้นการบุกรุกเข้าสู่เมืองหวัง ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย
“ไปทางนั้น”
ฉินเฟิงเปิดใช้งานปีกนกยูง โอบเอวไป๋หลี บินไปตามทิศทางขอบหน้าผา
หุบเขาแห่งนี้ลึกกว่า 300 เมตร สภาพแวดล้อมเปียกชิ้น อากาศหนาวเหน็บ มีพวกต้นมอสผุดเติบโตขึ้นมากมาย ทั้งๆที่นี่คือช่วงเกือบเดือนมิถุนายน แต่มันกลับไม่มีร่องรอยของความอบอุ่นเลย
เนื่องจากไม่สามารถเข้าจากทางท้องฟ้าเพราะมีหมอกบังอยู่ ดังนั้นทางเข้าเมืองหวังจึงมีทางเดียว และทางออกก็มีทางเดียวเช่นกัน
ยิ่งไม่กว่านั้น ค่าธรรมเนียมในการขอเข้าเมืองยังสูงลิ่ว
ที่สำคัญ คือต่อให้จ่ายแล้ว แต่ออกไป เมื่อกลับมา ก็ต้องจ่ายอีกครั้ง!
เพราะสุดท้าย เมืองหวังคือเมืองแห่งการหลบหนี เมื่อมาที่นี่ และได้เข้าไปแล้ว ก็ไม่ต้องหวาดกลัวการถูกไล่ล่าโดยมนุษยชาติอีกต่อไป
ฉินเฟิงเดินไปข้างหน้าพร้อมไป๋หลี ไม่นานก็เริ่มเห็นกำแพงกั้นระหว่างหุบเขา หรือจะเรียกว่าเป็นอาคารที่ตั้งเป็นแนวยาวก็ได้
เหนือขึ้นไปบนมันถูกปกคลุมไปด้วยทะเลหมอก ช่วงบนของมันติดตั้งเตาปฏิกรขนาดใหญ่เอาไว้ และคาดว่าน่าจะเป็นเตานี้นี่แหละที่คอยปล่อยหมอกหนาออกมา
ตามแนวอาคารดังกล่าว ยังเต็มไปด้วยหน้าต่างบานเล็กจำนวนมาก บางบานมีคนยื่นปืนออกมา ทันทีที่ฉินเฟิงปรากฏตัวขึ้น พลังสมาธินับสิบก็ตรึงลงบนตัวเขาทันที
และยิ่งนาน จำนวนพลังสมาธิที่ตรึงลงบนร่างเขาก็ยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น
ทว่าใบหน้าของฉินเฟิงยังคงสงบไม่เปลี่ยนแปลง ทุกย่างก้าวมิได้เร่งร้อน ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ
ประตูเมืองไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก กว้างเท่ากับถนนสองเลน และมีประตูบานเล็กๆถูกติดตั้งเอาไว้ด้านข้าง
มีสี่คนกำลังนั่งเล่นไพ่อยู่หน้าทางเข้าประตูเล็ก มันเป็นไพ่ที่ล้วนถูกจำลองขึ้นจากพลังสมาธิ ทั้งสี่กำลังเล่นอย่างสนุกสนาน
ฉินเฟิงกวาดตามองพวกเขาอย่างเงียบๆ และพบว่าทุกคนล้วนเป็นเลเวล D
แน่นอน ถึงเบื้องหน้าจะเป็นแค่เลเวล D แต่ภายในกำแพงอาคารยักษ์ ย่อมมีเลเวล C อาศัยอยู่
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆก็คือ เบื้องหลังแนวกำแพงอาคารนี้ ล้วนเต็มไปด้วยวายร้าย!
การย่างกรายเข้าไป หากไม่มีความแข็งแกร่งมากพอ ไม่ถูกปล้นชิง ก็คงตกเป็นของเล่น!
“มีไอ้หน้าใหม่มาอีกแล้ว”
เลเวล D หลายคนที่กำลังเล่นไพ่ เบนความสนใจ มองไปยังฉินเฟิงและไป๋หลี
ท่าวพวกเขามองฉินเฟิงแค่แว่บเดียวเท่านั้น เมื่อสายตาตกลงบนร่างไป๋หลี ดวงตาของทั้งหมดพลันส่องประกายวาววับ
ฉินเฟิงเอ่ย “ผมขอเข้าเมือง”
เขาหยิบกระเป๋าใบเล็กๆออกมา ภายในบรรจุไว้ 20 เหรียญพลังงาน และโยนลงบนโต๊ะของชายที่สี่
ด้วยพลังสมาธิของพวกเขา ทำให้รับรู้ถึงจำนวนเงินได้ในทันที
“ดูเหมือนนายจะรู้กฏอยู่บ้างนะ แต่หน้าไม่คุ้นเลย เพิ่งมาเป็นครั้งแรกล่ะสิ แถมยังติดตราสัญลักษณ์ของพันธมิตรมนุษย์เอาไว้อีก คงไม่คิดมาหาเรื่องตายที่นี่หรอกใช่ไหม?”
คนเหล่านี้มองฉินเฟิงด้วยเจตนาร้าย พวกเขากระทั่งตั้งตารอคอย ว่าฉินเฟิงจะเอ่ยปากว่าตนคือคนของพันธมิตรมนุษยชาติ!
เพราะพวกเขาจะได้สามารถลงมือสังหาร!
แน่นอน ต่อให้ไม่ใช่ พวกเขาก็ยังคิดลงมืออยู่ดี
ฉินเฟิงเผยยิ้มบาง “ที่ติดตราเอาไว้ เพราะต้องการหยุดไอ้พวกตาบอดให้หลบไปไกลๆ ไม่มาวุ่นวายกับผม!”
หนึ่งในเลเวล D ดวงตาเบิกกว้าง ตวาดเสียงด้วยท่าทีคุกคาม “คิดขู่ฉันหรอ? ให้หลบไปไกลๆ? ไอ้คนที่มั่นใจว่าตัวเองแข็งแกร่งแบบแก ตายอยู่หน้าประตูนี้ไปแล้วตั้ง 800 คน!”
“งั้น 800 คนที่ว่า มันนับรวมตัวคุณเองด้วยไหม?” ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา
ชายคนนั้นเดือดดาลขึ้นมาทันที
“แส่หาที่ตาย!”
อีกฝ่ายเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D3 แม้สูงแค่ 180 ซม. แต่เกรงว่าน้ำหนักอาจมากถึง 300 ปอนด์ แม้อวบอ้วนแต่ทรงพลัง เพียงระเบิดออกด้วยหมัดเดียว กล้ามเนื้อสั่นสะท้านไปทั้งสรรพางค์กาย ปะทุออกด้วยกำลังภายในอันยิ่งใหญ่
ซึ่งมันไม่อ่อนแอเลย
หากเป็นคนธรรมดา โดนเพียงนัดเดียว คงจอดไม่ต้องจองตั๋วขากลับ
ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D3 คนนี้ ครอบครอง 3 มวลน้ำกำลังภายใน ยามระเบิดโจมตีใส่ฉินเฟิง เขาเรียกใช้งานถึง 2 มวลน้ำ ซึ่งมันมากกว่าผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D1 ถึง 2 เท่า
ที่ทำเช่นนี้ นั่นเพราะตราเลเวล D บนอกของฉินเฟิง ยังไม่มีขั้น บ่งบอกว่าเขาอาจยังไม่ถึงเลเวล D1 ด้วยซ้ำ
ดังนั้น ผู้ใช้วรยุทธโบราณที่เฝ้าประตูจึงมั่นใจมาก
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการแสดงอำนาจต่อฉินเฟิง
แน่นอน หากฉินเฟิงไม่สามารถรับมือได้ คงจะดีไม่น้อย เพราะลูกเจี๊ยบที่อยู่ข้างๆฉินเฟิง จะได้ตกเป็นของพวกเขา!
ฉินเฟิงเห็นผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D3 โจมตีเข้ามา แต่สายตาของอีกฝ่ายยังคงจดจ้องไป๋หลี สีหน้าของเขาพลันถมึงทึงทันใด
ทั้งคนทั้งร่างระเบิดออกด้วยกำลังภายใน ในทำนองเดียวกันและ–
–เปรี้ยง!