Ep.566 – ความคิดของฮงรี
“ฮึ!”
ไป๋หลีส่งเสียงในลำคอ บ่นด้วยความโกรธแค้น “เพลิดเพลินงั้นหรอ? เฟิงหลีเป็นของเรา ไม่ใช่ของคนอื่น ใครอนุญาตให้พวกเขาเพลิดเพลินไปกับมัน? คนแบบนั้นแค่ขับไล่ออกไปให้พ้นๆก็พอแล้ว!”
ฉินเฟิงตะลึงกับคำพูดของเธอ แต่สักพักก็อดหัวเราะไม่ได้
“นั่นสินะ ไอ้พวกคนโลภ ก็แค่ขับไล่พวกมันออกไป!”
…
ในเดือนธันวาคม เกล็ดหิมะเริ่มโปรยปราย กระแสลมเย็นมาเยือน ทำให้ผู้คนสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
นับแต่เมืองเฟิงหลีก่อตั้งขึ้น นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มันก้าวเข้าสู่สิ้นปี แต่วันนี้พิเศษกว่าวันอื่นๆ เพราะการประชุมใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ปัจจุบัน บุคลากรในกลุ่มเฟิงหลีได้ขยับขยายอย่างรวดเร็ว แต่ตอนนี้มีกว่าครึ่งถูกไล่ออกไป ภายในกลุ่มเฟิงหลีถูกกวาดล้างจนกลับมาสะอาดดังเดิมอีกครั้ง ส่วนคนที่เหลืออยู่ ก็เริ่มตื่นตัว ฉุกคิดว่าไม่ควรทำอะไรน่าสงสัยในอนาคต เพราะตราบใดที่ฉินฟเิงยังไม่ตาย สิ่งที่พวกเขาหวังก็ไม่ต่างจากภาพฝัน
ภายในกลุ่มเฟิงหลี เกิดการเปลี่ยนแปลงหุ้น หลังจากฉินเฟิงอัดฉีดเงินทุนเข้าไป ผลลัพธ์กลายเป็นว่าหุ้นกว่า 95 % อยู่ในมือของฉินเฟิง ส่วนหุ้นบริหารบางส่วนที่แจกจ่ายอันออกไปในตั้งแต่แรก บางส่วนที่จำเป็นต้องลดก็ลด บางส่วนที่จำเป็นต้องให้ก็ให้
ฉินเฟิงนั่งอยู่หัวแถวของห้องประชุม มองไปยังผู้คนหลายร้อยคนเบื้องหน้า
คนเหล่านี้ หลังจากกลุ่มเฟิงหลีถูกก่อตั้งขึ้น ก็ถูกจ้างเข้ามา ได้พักอาศัยในเมืองเฟิงหลี และในอนาคต พวกเขาจะกลายเป็นกระดูกสันหลังของเมือง
ฉินเฟิงกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “ในหมู่พวกคุณ อาจมีหลายคนเพิ่งเคยเจอผมเป็นครั้งแรก แน่นอน ในเมื่อเจอกันแล้ว ผมก็ไม่อยากให้นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะได้พบหน้าเหมือนกัน!”
“นับจากนี้ไป เฟิงหลีจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่เครดิตเหล่านี้ จะไม่ถือว่าเป็นของพวกคุณ”
คำเหล่านี้ กล่าวตรงๆ ชัดถ้อยชัดคำ ไม่สละสลวยอะไร
“และขอให้จดจำเอาไว้ให้ดี ว่าถ้าคุณไม่ต้องการทำงานภายใต้การควบคุมของผม ก็ขอให้ลาออกก่อนที่มันจะสายเกินไป”
“หากอยู่ต่อ ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ผู้ที่มีความสามารถ , ผู้ที่พัฒนาตัวเองจนแข็งแกร่ง จะได้รับสถานะในกลุ่มสูงขึ้นเป็นธรรมดา ”
“ถ้าคุณไม่อยากถูกผมทิ้งไว้เบื้องหลัง ที่ต้องทำก็ง่ายๆ นั่นคือฝึกฝน! ออกไปต่อสู้! หากเอาแต่เอนหลังบนเก้าอี้ และเพลิดเพลินไปกับเกียรติยศโดยไม่ต้องทุ่มเทอย่างหนัก ตัวคุณมันจะมีประโยชน์อะไร? ”
“ผมไม่มีเวลามากพอที่จะดูแลพวกคุณก็จริง แต่ผมยังมีคนอื่นๆคอยสอดส่อง! หากผลงานของพวกคุณยอดเยี่ยม ผมก็จะไม่ปฏิบัติตัวไม่ดี หรือไม่ให้ความยุติธรรมแก่พวกคุณ”
ทั้งคนทั้งร่างของฉินเฟิงคล้ายปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมา เวลานี้เขามิได้ใช้กำลังภายในหรือพลังสมาธิออกมากดดันใส่ผู้คน
แต่แรงกดดันทั้งหมดที่เกิดขึ้น ถูกส่งมาจากกลิ่นอายของเขา
อย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็เพียงพอแล้วให้ผู้คนตกตะลึง
ฉินเฟิงหันไปมองรอบๆ สุดท้ายถอนสายตากลับ ผุดลุกขึ้น
“จบเรื่องแล้ว เลิกประชุมได้”
และร่างของฉินเฟิง ก็เดินนำออกไปคนแรก กระทั่งแผ่นหลังของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ผู้คนถึงค่อยตื่นจากภวังค์ สามารถเรียกคืนสติของตัวเองกลับมา
‘นี่ .. นี่น่ะหรอท่านประธานของพวกเรา? นี่น่ะหรอผู้การรัฐของทะเลเหนือ?’
‘เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาไม่ได้ปลดปล่อยกำลังภายในออกมา แต่ทำไมก่อนเขาจะไป ฉันถึงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นเลย หรือนั่นจะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าแรงกดดันของตัวตนทรงพลัง?’
‘ครั้งนี้เสียหน้าจริงๆ ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะถูกประธานตำหนิอีกแล้ว การที่กลุ่มเกิดเรื่องราวขึ้นมากมายขนาดนี้ ถือเป็นความผิดของฝ่ายบริหารอย่างฉันเอง’
‘จากนี้คงต้องทำงานให้หนักขึ้น ฝึกฝนพัฒนาตนเองให้ดียิ่งขึ้น ถึงเราจะไม่สามารถไล่ตามท่านประธานได้ทัน แต่ถ้าไม่ตื่นตัว ไม่นานพวกที่ไล่หลังมา คงกระโดดข้ามหัวไป!’
แต่ละคนคิดกันต่างๆนาๆ แต่ทั้งหมดล้วนถูกฉินเฟิงตำหนิ ดังนั้นเส้นประสาทเขม็งเกร็ง พวกที่คิดตื้นๆทั้งหมดได้ถูกเตะส่ง ขับไล่ออกไปแล้ว ฉะนั้นผู้ที่ยังอยู่ แต่ละคนจึงไม่กล้าผ่อนคลาย
ฉินเฟิงตัดสินใจพักอยู่ในเมืองเฟิงหลี และใช้อุปกรณ์สื่อสารในการติดต่อกับคนของเมืองหลวงมังกรเท่านั้น เพราะอย่างไรสัญญาก็เริ่มดำเนินการไปแล้ว
แต่หากจะให้พูดถึงความก้าวหน้าของเมืงเฟิงหลี เห็นได้ชัดว่าบางสถานที่ ฉินเฟิงรู้สึกสนใจมันเป็นพิเศษ
ที่นั่นคือห้องปฏิบัติการทดลองของเฟิงหลี ที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลัง แต่มีมันสมองในฐานะนักวิทยาศาสตร์
นักวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยนี้ ล้วนเป็นคนธรรมดาที่ต้องการเอาชีวิตรอด เป็นอาชีพทำมาหากินอาชีพหนึ่ง
คนเหล่านี้ แม้จะไม่เท่ากับผู้ใช้พลัง แต่ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่สามารถได้รับเงินมหาศาล และยิ่งถ้าคนๆนั้นมีความสำคัญ ชีวิตความเป็นอยู่ย่อมไม่เลวร้ายอย่างแน่นอน
อย่างน้อยที่สุด ก็ไม่มีเหตุผลใดๆให้ถูกสังหาร
ตอนนี้ ห้องทดลองของฉินเฟิง ได้ขยายพื้นที่ไปกว่าเดิมมาก จากตอนแรกเป็นห้องวิจัยใต้ดิน ปัจจุบันไม่ต่างจากฐานขนาดย่อม แน่นอน นอกเหนือไปจากงานวิจัยมนุษย์กลายพันธ์ ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นงานวิจัยอาวุธปืน
“การทดลองยกระดับสู่ราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล C ไปถึงไหนแล้ว?”
“ระดับความอันตรายคงอยู่ที่ 50% เนื่องจากข้อมูลมีน้อยเกินไป พวกเราเลยไม่สามารถทำการทดลองมนุษย์ได้” หัวหน้าห้องทดลอง มีการสับเปลี่ยนคนแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ
“ถ้ายังไม่พร้อม อย่าได้คิดทดลองกับร่างกายมนุษย์เชียว!” ฉินเฟิงเอ่ยเสียงจม “พวกเรากับพันธมิตรองค์กรมืดไม่เหมือนกัน จากนี้ไปผมจะหาข้อมูลให้กับคุณเอง ส่วนตอนนี้ ทำในสิ่งที่ทำให้เถอะ ”
“ครับท่านประธาน!”
จากนั้นฉินเฟิงก็เดินไปตรวจตราพวกเครื่องจักร และหยิบฉวยบางสิ่งจากดินแดนล่มสลายของเผ่าวิญญาณออกมาให้คนเหล่านี้ได้ศึกษา แล้วจากไป
เมื่อแยกตัวออกมา ฉินเฟิงก็เริ่มทำการเชื่อมต่อเครือข่ายของเมืองหลวงมังกร พิมพ์ตัวอักษรแล้วทำการขอข้อมูลทันที
–องค์กร Z !
“ในชีวิตก่อน ฉันไม่พบเบาะแสเกี่ยวกับองค์กร Z เลย แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ฉันสามารถเข้าถึงได้ มันมีน้อยเกินไปหรอกหรอ?”
แต่หลังจากเกิดใหม่ หลังได้กลายเป็นลูกรักของพระเจ้า ฉินเฟิงได้ตระหนักว่าการเป็นที่รู้จัก สามารถเข้าสู่แวดวงของผู้ใช้พลัง มันนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างไปจากเดิม
ตอนนี้ ฉินเฟิงกับอีกหลายสิบตระกูลในเมืองหลวงมังกรกำลังร่วมมือกัน ดังนั้นสามารถใช้เครือข่ายระดับสูงของเมืองหลวงมังกรได้ นี่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่เขาได้มาก
แต่การค้นหาข้อมูล แน่นอนว่าต้องใช้เวลา ฉินเฟิงทำได้เพียงแค่เฝ้ารออย่างอดทน
…
วันที่สามหลังฉินเฟิงกลับมายังเมืองเฟิงหลี เหวินไห่ก็ได้รับข่าวยืนยันการเสียชีวิตของเทียนหยาน และส่งต่อไปยังผู้ใช้พลังเลเวล B ถึงหูของฮงรี
“อะไรนะ? นายกำลังบอกว่าเป็นฝีมือของฉินเฟิง?”
ประธานกลุ่มฮงรี เมื่อได้ฟังรายงานของเหวินไห่ หางตาของเขาก็กระตุกทันที
แม้ฮงรีจะไม่ได้อยู่ในเมืองเป่ยหัว ทั้งปัจจุบันยังออกกวาดล้างสัตว์ร้าย อยู่ท่ามกลางสนามรบมาเป็นเวลานาน แต่ในฐานะเลเวล B เป็นธรรมดาที่เขาพอจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับฉินเฟิง
เหวินไห่ไม่รู้ว่าทำไมฮงรีถึงได้ดูตื่นตัวนัก แต่เนื่องจากสถานการณ์มันไม่เป็นไปอย่างที่คิด ดังนั้นกัดฟันกล่าว “ใช่ เป็นฝีมือเขา!”
“ช่างโง่เง่า!” ฮงรีสบถโกรธเคือง “อีกฝ่ายเป็นลูกรักของพระเจ้า เป็นผู้ที่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของหอคอยประตูมังกรได้ นายรู้ไหมว่านั่นหมายความว่ายังไง!?”
“ท่านประธาน อันที่จริงพวกเรา .. พวกเราคิดว่าเขาคงตายไปแล้ว แต่ต่อให้เขาไม่ตาย พวกเราก็แค่ขโมยของชิ้นเดียว ใครมันจะไปคิดกัน ว่าเพียงเพราะเรื่องแค่นี้ เขาถึงขั้นกลับมาสังหารเทียนหยานด้วยตัวเอง”
“ผายลมเถอะ! เขาเป็นประธานกลุ่ม แต่พวกนายดันไปลงมือกับผู้บริหารเฟิงหลี เขาจะไม่โกรธได้ยังไง? ลองคิดดูดีๆ ถ้ามีใครมาทำร้ายนาย ฉันจะอยู่เฉยไม่ทำอะไรเลยหรือ?”
เหวินไห่แม้ในใจรู้สึกไม่เห็นด้วย แต่ยังกล่าวประจบประแจง “ท่านประธาน เขาจะไปเทียบกับคุณได้ยังไง เขาเป็นแค่เลเวล C มีตำแหน่งเป็นผู้การในรัฐต่ำต้อยเท่านั้นเอง”
“ช่างสายตาคับแคบนัก” ฮงรีตำหนิด้วยความโกรธ แต่ก็พบว่าบางเรื่อง ไม่อาจอธิบายให้เหวินไห่เข้าใจได้ จริงอยู่ที่ฉินเฟิงเป็นเลเวล C แต่คนๆนั้นมีความสามารถมากพอที่จะสังหารเลเวล B ได้
“ปล่อยเรื่องนี้ไปซะ ฉันจะเป็นคนจัดการเอง! และจำไว้ให้ดี อย่าทำตัวอวดฉลาดเป็นอันขาด มิฉะนั้น ความตายอาจย่างกรายไปหาโดยไม่รู้ตัว!”
พูดจบ ฮงรีก็เริ่มค้นหารายชื่อ เตรียมหาวิธีนัดพบฉินเฟิง