ถังปินเดินออกมาจากลานประลองด้วยสีหน้าเศร้าหมอง ร่างกายกำยำแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ทายาทเพียงคนเดียวที่ถูกส่งมาจากตระกูลถังแห่งเมืองชีไห่ตกรอบในอันดับที่สิบสอง เขาคิดว่าพระเจ้าช่างไม่ยุติธรรมที่ให้เขามาเจอกับเฟิงจี้สิง ความน่ากลัวของชายผู้นั้นยังติดตรึงในใจเขามาจนถึงตอนนี้
ทางด้านเฟิงจี้สิงที่บาดเจ็บเล็กน้อย เดินออกมาจากลานประลองตรงไปหาฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนและหลินมู่อวี่ด้วยสีหน้าสดใสตรงกันข้ามกับถังบิ้น เมื่อฟังทั้งคู่เอ่ยแสดงความยินดีจบจึงเอ่ยขึ้น “หากไม่ได้โอสถฝันคืนสู่สูงสุดของอาอวี่ช่วยให้บรรลุขอบเขตนภาขั้นสอง ไม่รู้ว่าตอนนี้ข้าจะตกอยู่ในสภาพไหน วิชาผนึกจิ้งจอกอัคนีระดับเจ็ดช่างทรงพลังยิ่งนัก!”
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนพยักหน้า “ต่อไปเป็นอาอวี่…คู่ต่อสู้คือหลิงเฟิงบุตรชายของแม่ทัพองครักษ์หลิงหนานเทียน แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรทั้งยังเป็นถึงยอดฝีมือระดับจักรพรรดินภา หลิงเฟิงเองก็คงสืบทอดพลังมาจากพ่อ ทักษะกระบี่ก็ไม่เป็นสองรองใคร เจ้าต้องระวังตัวให้ดีอาอวี่!”
“อืม ข้าจะระวังไว้”.
หลินมู่อวี่กระชับกระบี่วิญญาณมังกรและเดินเข้าสู่ลานประลอง ในขณะเดียวกันหลิงเฟิงก็กำลังย่างเท้าเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดียวกัน กระบี่ในมือดูเหมือนจะเป็นอาวุธนิลระดับสอง แม้จะมีคุณภาพด้อยกว่ากระบี่วิญญาณมังกร แต่ใช่ว่าจะใช้ป้องกันตัวไม่ได้ อย่างไรก็ตามกุญแจสู่ชัยชนะของหลินมู่อวี่คือพลังยุทธ์ระดับขอบเขตนภาขั้นสอง ในขณะที่หลิงเฟิงอยู่เพียงขั้นหนึ่ง ตราบใดที่ทักษะดาบอยู่เหนือกว่าหลินมู่อวี่สามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอน
หลิงเฟิงกอดอกก่อนจะกล่าวโดยไม่แสดงความเคารพใดๆ “หลินมู่อวี่ ข้าได้ยินมาว่าทักษะดาบของเจ้าเป็นที่เลื่องลืมในบรรดาองครักษ์อวี้หลิน ช่างพอดีกับข้า…วิชาดาบที่สืบทอดมาในตระกูลหลินก็นับได้ว่าแข็งแกร่งไม่แพ้ใคร การได้ประดาบกับผู้ที่มีฝีมือทัดเทียมกันช่างน่าสนใจยิ่ง!”
หลินมู่อวี่แอบขมวดคิ้ว หลิงเฟิงผู้นี้ช่างหยิ่งผยองยิ่งกว่าเจิ้งฟางเสียอีก ดูเหมือนแม่ทัพองครักษ์จะตามใจลูกจนเสียคน
หลินเฟิงจับด้ามกระบี่และดึงออกมาก่อนจะโยนขึ้น ทันใดนั้นกระบี่เรืองแสงแยกออกเป็นสามเล่ม!
หลินมู่อวี่กระโจนไปข้างหน้าพร้อมกับดึงกระบี่วิญญาณมังกรออก! สะบัดข้อมือปัดป้องกระบี่ทั้งสามของหลิงเฟิงจนหมดและถอยกลับ
“กลัวงั้นรึ?”
หลิงเฟิงไม่คิดเลยว่าฝีมือหลินมู่อวี่จะน่าทึ่งเพียงนี้ เขาพุ่งเข้าโจมตีหลินมู่อวี่อีกครั้งจนเกิดการปะทะกัน “เคร้ง!” หลิงเฟิงรวบรวมปราณยุทธ์ไว้ที่เท้าและกระโดดขึ้นจากพื้น ก่อนจะม้วนตัวและโจมตีหลินมู่อวี่กลางอากาศ กระบี่ทั้งสามกวัดแกว่งจนเกิดเป็นสายฟ้าฟาดใส่หลินมู่อวี่อย่างรวดเร็ว! “พลังตรีหยินหยาง!”
ด้วยเสียงคำรามลั่น หลิงเฟิงปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์รูปร่างอสูรเพลิงขนาดยักษ์ออกมา มันโอบล้อมรอบไหล่ของหลิงเฟิงก่อนจะส่งผ่านพลังเข้าสู่กระบี่ช่วยเสริมการโจมตีทั้งสาม!
หลินมู่อวี่เมื่อเห็นพลังที่ควบแน่นในกระบี่ก็รู้ตัวในทันทีว่าไม่สามารถป้องกันด้วยมือเปล่าได้แน่ เขาจึงเรียกกำแพงน้ำเต้าออกมา แสงทองสว่างวาบ! กำแพงรูปน้ำเต้าสีทองปรากฏขึ้นรอบตัวปิดกั้นการโจมตีสามทิศ! ด้วยพลังอันมหาศาลของกระบี่เสริมปราณยุทธ์ทำให้กระดองเต่าทมิฬชั้นนอกแตกสลาย กระทั่งเหลือกระบี่สุดท้ายพุ่งเข้าใส่กำแพงน้ำเต้าชั้นในสุด!
“เปรี้ยง!”
หลินมู่อวี่เซถอยหลังหลายก้าวและเริ่มรู้สึกสนใจชายผู้นี้ขึ้นเล็กน้อย การโจมตีของหลิงเฟิงทำให้เขาต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อป้องกัน เคล็ดวิชาสืบทอดแห่งตระกูลหลิงนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่แปลกใจที่หลิงหนานเทียนจะได้ตำแหน่งแม่ทัพองครักษ์! อย่างที่ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเคยกล่าวก่อนหน้าว่าหลิงเฟิงนั้นเป็นคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างน่ากลัว เขามีคุณสมบัติมากพอจะขึ้นแปดอันดับสูงสุดได้ง่ายๆ
“เฮ้ๆ…”
แม้จะกระหน่ำโจมตีมาหลายครั้งทว่าพลังของหลิงเฟิงแทบจะไม่ลดจากตอนแรก ร่างกายที่ล้อมรอบไปก้วยปราณยุทธ์สีขาวจางๆ เผยรอยยิ้มบนหน้าและเอ่ยขึ้น “เป็นอย่างไรบ้าง? วิญญาณยุทธ์เพลิงเซี่ยจื่อจากตระกูลหลิงนั้นอยู่ระดับสอง เป็นวิญญาณของสัตว์ร้ายโบราณ…วิญญาณยุทธ์น้ำเต้าระดับสิบอันต่ำต้อยคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเท่าไร ท่านหลินมู่อวี่เป็นถึงปรมาจารย์จากวิหารทั้งยังเป็นยอดองครักษ์อวี้หลิน หากยอมแพ้เสียตอนนี้คงไม่น่าอายนัก รักษาชื่อเสียงของท่านไว้จะดีกว่านะท่าน”
เขาพูดอย่างเยือกเย็นประหนึ่งไม่ไยดีกับคนฟัง
หลินมู่อวี่ยิ้มก่อนจะตวัดกระบี่วิญญาณมังกรจนเกิดเสียงเบาๆ “ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่านลูกแม่ทัพ แต่การต่อสู้นี้ยังไม่จบ…หากรีบยอมแพ้ไปคงน่าอายแย่!”
“หึ! งั้นลูกแม่ทัพผู้นี้จะทำให้ท่านร้องขอชีวิต!”
หลิงเฟิงหัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนจะกระโดดขึ้น ปราณยุทธ์ของเขาเปลี่ยนรูปร่างเป็นสายลมผสานเข้ากับกระบี่ในมือ ด้วยเสียงโหยหวนระเบิดสายลมคลั่งออกมา! ผู้ชมโดยรอบต่างหลับตาเพราะต้านแรงลมไม่ไหว เพียงแค่ลมอ่อนๆ ก็สามารถเฉือนผิวหนังได้ การโจมตีหลิงเฟิงช่างอันตรายเสียจริง!
หลิงเฟิงผู้ปกปิดความสามารถของตัวเองมาตลอดไม่เปิดเผยเฟิงจี้สิง ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน และคนอื่นๆ ด้วยความสามารถระดับนี้คงนับได้ว่าคู่ควรกับเหรียญตรามังกรทอง เหรียญตราที่สามารถเรียกรวมพลทหารได้หมื่นคนช่างทีค่าสูงล้ำนัก ทุกคนต่างก็อยากได้เพื่อเพิ่มฐานะทางทหารให้ตนเอง
ไม่เพียงแต่หลิงเฟิง…หลินมู่อวี่ก็จะยอมแพ้ไม่ได้ เขากางฝ่ามือปล่อยให้กระบี่วิญญาณลอยขึ้น พลังธาตุวายุเข้าห้อมล้อมกระบี่และเข้าจู่โจมหลิงเฟิงด้วยพลังวายุอย่างรุนแรง!
วิชากระบี่สายลมจักรวรรดิ!
หลินมู่อวี่รวบรวมปราณยุทธ์ในฝ่ามือและระเบิดออก ลมวายุเปลี่ยนรูปเป็นคมกระบี่และพุ่งเข้าใส่หลิงเฟิง! คมวายุอันทรงพลังเป็นไปไม่ได้เลยที่หลิงเฟิงจะปัดป้องได้หมด!
หลิงเฟิงตกตะลึงทั้งที่แทบจะลืมตาไม่ได้ เขารีบหลบโดยไวและตะโกนขึ้น “โล่เพลิงเซี่ยจื่อ”
“วิ้ง…”
วิญญาณยุทธ์ของหลิงเฟิงคำรามลั่นและสร้างโล่สีแดงเพลิงขึ้นต่อหน้าผู้เป็นนาย ดูเหมือนว่าวิญญาณยุทธ์เพลิงเซี่ยจื่อจะมีความสามารถในการป้องกัน ทว่าว่าคงไม่มากพอจะป้องกันพลังหลินมู่อวี่ได้
“เปรี้ยง…เปรี้ยง!”
คมวายุโหมกระหน่ำใส่โล่แดงเพลิงจนแทบแตกสลาย กระทั่งกระบี่ลมจักรวรรดิเริ่มอ่อนแรงลง หลิงเฟิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะเห็นหลินมู่อวี่กระโจนเข้ามาพร้อมกับหมัดเปลวเพลิง หลินมู่อวี่ชกหมัดเข้าใส่โล่เพลิงเซี่ยจื่อ!
“เปรี้ยง!”
หลิงเฟิงกระอักเลือดทันทีที่โล่เพลิงแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะเร่งถอยไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้ตั้งตัว…หลินมู่อวี่ก็โจมตีด้วยวิชากระบี่เพลิงจักรวรรดิ!
หลิงเฟิงตกใจรีบตวัดกระบี่ด้วยปราณยุทธ์ตามสัญชาตญาณ ปราณยุทธ์อันทรงพลังสร้างเป็นเกราะปราณหลายชั้นขึ้นรอบกระบี่ หลิงเฟิงวาดกระบี่และตะโกนออก “กระบี่กวาดล้าง!”
หลินมู่อวี่เผยท่าทีประหลาดใจอย่างมาก วิชากระบี่ของตระกูลหลิงช่างน่าทึ่งจริงๆ ที่สามารถเปลี่ยนการโจมตีเป็นป้องกันได้ แต่จะกันพลังทำลายล้างจากเกลียวมังกรคลั่งได้งั้นรึ?
แน่นอนว่าไม่!
“เปรี้ยง!”
กระบี่วิญญาณมังกรทะลวงพลังป้องกันของหลิงเฟิง “เคร้ง!” กระบี่หลิงเฟิงหัก!
หากไม่มีกระบี่เล่มนั้นคอยป้องกันไว้ มีหวังคอของหลิงเฟิงคงได้แหลกแทนกระบี่เป็นแน่
ทว่ากระบี่วิญญาณมังกรยังคงไม่หยุดแค่นั้น มันพุ่งเข้าจ่อที่คอหอยของหลิงเฟิงด้วยแก่นเพลิงมังกร หลิงเฟิงหลับตาลงพร้อมรับความตาย “ฟึบ…” ทันใดนั้นหลินมู่อวี่ก็คว้ากระบี่ของตนไว้ก่อนมันจะทิ่มคอหลิงเฟิงในอีกหนึ่งเซนติเมตร “ข้าชนะได้หรือยัง?”
หลิงเฟิงหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ เขาไม่กล้าอวดดีเพราะงานประลองยุทธ์นี้ได้ลงนามข้อตกลงการตายในสนามไว้ หากหลินมู่อวี่สังหารเขาที่นี่พ่อของเขาก็ไม่มีสิทธิ์ล้างแค้น หลิงเฟิงจึงได้แต่พยักหน้าและเอ่ยขึ้น “วิชากระบี่ของท่านหลินมู่อวี่ช่างน่าอัศจรรย์ ข้า…หลิงเฟิงผู้นี้ยอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดี!”
“ชิ้ง!”
หลินมู่อวี่เก็บกระบี่เข้าฝักก่อนจะหันมาคำนับ “ขอบคุณที่ให้ข้าชนะ!”
หลิงเฟิงลุกขึ้นด้วยท่าทีอันหยิ่งผยองเช่นเคยก่อนจะคำนับ “ขอบคุณในความเมตตาของท่านหลินมู่อวี่ ข้าแพ้แล้ว!”
เมื่อหลิงเฟิงเดินออกจากลานประลองไป เสียงปรบมือจากอัฒจันทร์ผู้ชมก็ดังกึกก้องขึ้น ฉินอินและถังเสี่ยวซีลุกขึ้นปรบมือ ฉินจิ้นพยักหน้าให้เขาด้วยความภาคภูมิใจในบุตรบุญธรรมของตน สำหรับฉินจิ้นต่อให้หลินมู่อวี่ไม่เทียบวิชายุทธ์กับหลิงเฟิงก็ดูเหนือกว่ามาก
หลินมู่อวี่เดินออกจากลานประลองและรอศึกต่อไปอย่างใจเย็น
หลายคู่ผ่านไปในที่สุดก็ถึงการประลองหลักเสียที ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนปะทะเจิ้งฟาง! นี่เป็นการต่อสู้ที่ซับซ้อนและค่อนข้างลำบากใจสำหรับฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน เพราะเจิ้งฟางผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเจิ้งเซียงก็คือลูกพี่ลูกน้องของตนด้วย หากเขาชนะเจิ้งเซียงคงไม่พอใจเป็นแน่ จวนเสินโหวได้วางแผนจัดคู่ให้เขามาเป็นอย่างดี…เพราะพวกนั้นอยู่ข้างเจิ้งฟาง และเจิ้งอี้ฝานต้องโมโหอย่างมากแน่หากเจิ้งฟางแพ้ ถึงกระนั้นฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนก็จะแพ้ไม่ได้ มิเช่นั้นจะเสียเกียรติให้ฐานะองครักษ์อวี้หลินและตระกูลขุนนางของตน
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนลุกขึ้นมองไปยังลานประลอง นี่มันคือสิ่งที่เขาใฝ่ฝัน!
เฟิ้งจี้สิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้รับชมเอ่ยขึ้น “ด้วยเกียรติแห่งแซ่ฉู๋ของเจ้า หากเจ้าใช้ดัชนีดาวตก เจ้าจะมีโอกาสเอาชนะเจิ้งฟางได้ ทว่าหากเจ้าไม่ใช้มันเจ้าต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เพราะข้าได้ยินมาว่าเจิ้งฟางใช้โอสถฝันคืนสู่สูงสุดจนบรรลุของเขตนภาขั้นสองได้แล้ว ทั้งยังได้รับการฝึกฝนโดยตรงจากเจิ้งอี้ฝาน เลือกเอาแล้วกันว่าเจ้าอยากแพ้หรือชนะ!”
ฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ “ข้าต้องชนะเท่านั้น!”
“เยี่ยม!”
บนอัฒจันทร์ฝั่งจวนเสินโหว เจิ้งอี้ฝานหรี่ตาและเอ่ยขึ้น “ฟางเอ้อ…ฝั่งตรงข้ามคือฉู๋ฮว๋ายเหมี่ยน อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด เจ้านั่นมีวิชาดัชนีดาวตกอันแข็งแกร่งอยู่ พลังอันมหาศาลนั่นสามารถทำลายเกราะปราณได้ในพริบตา ยิ่งตอนนี้มันบรรลุขอบเขตนภาขั้นสองแล้ว หากสู้ด้วยกำลังไม่ได้ก็ต้องใช้เลห์เหลี่ยม!”
“ขอรับท่านพ่อ”
เจิ้งฟางกระชับกระบี่ในมือและยิ้มรับ “มั่นใจได้เลยขอรับ บุตรชายผู้นี้จะกำจัดไอ้เศษสวะนั่น และทำให้ท่านพี่ได้รู้ว่ามันไม่คู่ควรจะได้เป็นเขยตระกูลเจิ้ง!”
เจิ้งเซียงขมวดคิ้ว สีหน้าเรียบนิ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ “จงระวังตัวน้องชายข้า”
เจิ้งฟางเลือกที่จะไม่เอ่ยตอบสิ่งใด เพราะเขารู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเจิ้งเซียงดี
………………………
Related