เช้าวันรุ่งขึ้นฝนที่ตกหนักก็สงบลง
มีฉากแปลกประหลาดเกิดขึ้นบนถนนอวิ้นจงสายเก่า ชายหนุ่มรูปงามขี่ม้าเคียงข้างเด็กสาวผู้เลอโฉม ทว่านางผู้นี้ขี่ม้าถอยหลัง!
“สนุกมากเลย…”
ฉินอินหัวเราะอย่างอ่อนโยนขณะที่ถือม้วนคัมภีร์ทักษะเชื่อมจิตในมือ มือขาวราวกับหิมะวางอยู่บนหัวม้าอย่างเบามือพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่อาอวี่ เดาได้หรือไม่ว่าม้าตัวนี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่?”
“มันคงกำลังคิดถึงหญ้าสดหรือหญ้าแห้งสำหรับมื้อกลางวัน” หลินมู่อวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ฮะ?”
ฉินอินอ้าปากค้าง “ร…รู้ได้อย่างไร?”
“หืม…จำเป็นต้องคิดด้วยหรือ? มันสามารถเดาได้อย่างง่ายดาย”
หลินมู่อวี่ขี่ม้านำไปก่อนจะพูดว่า “เสี่ยวอิน เลิกทรมานม้าของเจ้าได้แล้ว…ปล่อยให้มันเดินอย่างถูกต้องเถิด ด้วยความเร็วของเราตอนนี้ อาจไม่ถึงโรงเตี๊ยมถัดไปก่อนเวลาค่ำ”
“อืม ได้สิ…”
ฉินอินตบหลังม้าแผ่วเบาและพูดว่า “เจ้าม้า เดินปกติได้แล้ว”
ราวกับได้รับการอภัย ม้าตัวนั้นรีบหันกลับและหยุดทนทุกข์กับ ‘การทรมาน’ ขององค์หญิง มันสะบัดหางอย่างมีชีวิตชีวา หลังจากที่ได้เชื่อมจิตกันแล้ว ม้าตัวนี้ก็รับรู้ได้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่สูงส่งกว่าคนนับหมื่น มันจึงหยุดคิดไม่ได้ว่าตนเองไม่ใช่ม้าธรรมดาอีกต่อไป ทว่าเป็น ‘ม้าศักดิ์สิทธิ์ส่วนพระองค์’ ขององค์หญิง!
“เสี่ยวอิน ทักษะเชื่อมจิตยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเลยหรือ?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
ฉินอินพยักหน้ารับ “อื้ม การใช้พลังวิญญาณเชื่อมจิตกับอีกฝ่ายยอดเยี่ยมมาก ทว่าทำได้กับสัตว์วิญญาณที่อ่อนแอ มิเช่นนั้นมันจะไม่ยอมคุยกับผู้คนเลย หลังจากเชื่อมต่อแล้ว เจ้าต้องใช้พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งมากขึ้นเพื่อทำให้สัตว์วิญญาณยอมจำนนและทำให้เชื่องได้อย่างมังกรนภาของตู้ยี่หมิง เพียงแต่ว่าตู้ยี่หมิงนั้น…”
ใบหน้าฉินอินเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ “เจ้าคนเลวทรามนั่นมิคู่ควรกับทักษะนี้สักนิด! อีกทั้งพลังยุทธ์ของตู้ยี่หมิงค่อนข้างอ่อนแอ ทักษะเชื่อมจิตมีถึงแปดระดับ ขณะที่ตู้ยี่หมิงอยู่ระดับที่สองซึ่งยังห่างไกลจากทักษะเชื่อมจิตขั้นสูงมาก!”
“เป็นเช่นนี้เอง…”
หลินมู่อวี่ยื่นมือออกมา “เสี่ยวอิน ขอข้าดูหน่อย ข้าเองก็ต้องการเรียนรู้ทักษะเชื่อมจิต”
ฉินอินหัวเราะคิกคัก “พี่อาอวี่ยังต้องการทำให้สัตว์วิญญาณเชื่องอีกหรือ?”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้า “การมีสัตว์เลี้ยงที่ทรงพลังคงจะดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก? เสี่ยวอินคิดว่าอย่างไร?”
“ข้าเห็นด้วย…”
ฉินอินเม้มริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “น่าเสียดายที่มิได้มีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังอยู่ใกล้ถนนสายหลักนี้ มิเช่นนั้นเราคงสามารถทดสอบทักษะเชื่อมจิตเพื่อทำให้สัตว์วิญญาณเชื่อง”
“ไม่ใช่ว่าเราจะทำไม่ได้…”
หลินมู่อวี่เก็บคัมภีร์ทักษะเชื่อมจิตไว้ที่อกเสื้อก่อนจะเปิดแผนที่และพูดว่า “ถนนอวิ้นจงสายเก่าตัดผ่านป่าล่ามังกร ตราบใดที่เราออกจากถนนสายนี้และเข้าไปในป่า เราก็จะสามารถหาสัตว์วิญญาณที่ต้องการ แน่นอนว่าเราจะไม่เข้าไปลึกนัก มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าจะไม่สามารถปกป้องเราทั้งสองได้”
“เราทำเช่นนั้นได้จริงหรือ?”
ดวงตาคู่งามของฉินอินเบิกกว้างอย่างคาดหวัง
“อื้ม พวกเราสามารถไปทานอาหารกลางวันที่โรงเตี๊ยมด้านหน้านี้ จากนั้นมุ่งหน้าไปป่าล่ามังกร ตราบใดที่ไม่อ้อมไกลเกินไป ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อกำหนดการของเรา”
“อืม ตกลง!”
…
ในตอนเที่ยง พวกเขาเดินทางไปโรงเตี๊ยมเพื่อซื้ออาหารแห้งสำหรับครึ่งเดือนพร้อมอาหารจำพวกซาลาเปาและน้ำ อีกทั้งยังซื้อกระทะ ทัพพี และกระโจมเรียบง่าย หลินมู่อวี่โยนของที่ซื้อเข้าถุงสรรพสิ่ง กระทะเหล็กถูกเก็บในถุงปะปนกับเพชรสีขาวดูประหลาดตา ทว่าหลินมู่อวี่ไม่สนใจเนื่องจากมันไม่สำคัญ!
จากนั้นทั้งคู่เดินอ้อมเข้าป่าล่ามังกรในยามบ่าย ฉินอินชักกระบี่จื่อยินออกมา ขณะที่หลินมู่อวี่เดินตามหลังพร้อมอ่านคัมภีร์ทักษะเชื่อมจิต
บทแรกของคัมภีร์ทักษะเชื่อมจิตกล่าวถึงภาษาสัตว์อสูร มันขึ้นอยู่กับความเข้าใจในภาษาของสัตว์ร้ายเป็นหลัก ซึ่งทำให้เชื่อมต่อกับมันได้ง่ายขึ้น
สัตว์วิญญาณถือกำเนิดขึ้นในผืนแผ่นดิน ซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและไม่เคยสาบสูญ บทแรกของคัมภีร์มุ่งเน้นไปที่ความเร็วและน้ำเสียงในภาษาสัตว์อสูร ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการสื่อสารกับสัตว์ป่า
มันง่ายมาก หลินมู่อวี่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงในการซึมซับเข้าสมอง
บทที่สองของคัมภีร์กล่าวถึงการเชื่อมต่อวิญญาณบทนี้เป็นหัวใจหลักของทักษะ โดยการส่งฌานสัมผัสเข้าสู่ตัวสัตว์ร้ายเพื่อเชื่อมต่อจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน
ด้วยพลังยุทธ์ของฉินอิน ทำให้นางสำเร็จวิชาทักษะเชื่อมจิตภายในช่วงเช้าเท่านั้น
ทว่าหลินมู่อวี่เร็วยิ่งกว่า เนื่องจากทักษะชีพจรวิญญาณทำให้จิตวิญญาณของหลินมู่อวี่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมยุทธ์ในระดับเดียวกัน อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าฉินอินมาก ดังนั้นเพียงสิบนาทีก็สามารถเชื่อมต่อกับม้าของเขาสำเร็จ ในช่วงขณะที่เชื่อมต่อ จิตใจของหลินมู่อวี่ก็เต็มไปรสชาติของหญ้าหลากชนิด ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ม้าตัวนี้นึกถึงตลอดทั้งวัน
มันยังไม่มืดมากขณะที่หลินมู่อวี่เงยหน้ามองท้องฟ้า ก่อนจะกลับมามองฉินอินที่มุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญพร้อมกระบี่ในมือ หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะยิ้ม คงถึงเวลาที่จะปล่อยให้องค์หญิงผจญภัยในป่าเพื่อฝึกฝนฌานสัมผัสให้เฉียบคม เนื่องจากฉินอินเป็นองค์หญิงแห่งจักรวรรดิ และต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ มากมายในภายภาคหน้า ยิ่งฉินอินมีประสบการณ์มากเท่าใด นางก็จะเป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดมากเท่านั้น
ส่วนหลินมู่อวี่จะฝึกฝนพลังยุทธ์ต่อไป ในที่สุดก็ถึงบทที่สามของคัมภีร์…บทพิชิต
คัมภีร์เล่มนี้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการใช้จิตวิญญาณในการทำให้สัตว์วิญญาณยอมจำนนและทำตามความต้องการของผู้ใช้ การทำให้เชื่องเป็นขั้นตอนที่ตู้ยี่หมิงไม่สามารถทำได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะจิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินไป?
เมื่อพลิกไปด้านหลังของคัมภีร์ก็เจออีกห้าบทได้แก่ บทผสมพันธุ์ บทดูดซับ บทแปลงเกราะ บทเชื่อมต่อสวรรค์ และบทแปลงกายเทวะ ซึ่งทรงพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าหลินมู่อวี่ทำได้เพียงเรียนรู้ไปทีละขั้น เขาจะพูดถึงเรื่องนี้หลังจากเรียนรู้บทพิชิตเรียบร้อยแล้ว
หลินมู่อวี่อ่านอย่างรอบคอบและจดจำทุกรายละเอียดของทักษะเชื่อมจิต ก่อนจะส่งม้วนคัมภีร์คืนฉินอิน หลินมู่อวี่นั่งบนหลังม้าขณะที่ปลดปล่อยปราณยุทธ์อย่างเชื่องช้าเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณและฝึกฝนคาถาของบทพิชิต ไม่นานก็มีสายธารอุ่นไหลผ่านจิตใจของหลินมู่อวี่ ก่อนที่มันจะไหลเวียนทั่วร่างกาย
หลินมู่อวี่ดีใจมาก สิ่งนี้คือ ‘พลังเชื่อง’ ซึ่งถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ทักษะเชื่อมจิต หากไม่มีพลังนี้ ก็จะไม่สามารถทำให้สัตว์วิญญาณเชื่องได้
เห็นได้ชัดว่าตู้ยี่หมิงและมังกรนภามิได้มีความสัมพันธ์แบบ ‘เชื่อง’ ทั้งคู่มีความสัมพันธ์แบบพึ่งพาอาศัยกันมากกว่า หากตู้ยี่หมิงทำให้สัตว์วิญญาณเชื่องได้จริงๆ พวกเขาคงมีพันธะวิญญาณ เมื่อตู้ยี่หมิงตาย วิญญาณของมังกรนภาจะแตกกระจายและตายตามไป ทว่ามังกรนภายังสามารถโจมตีฉินอินหลังจากนั้นได้ ซึ่งมันแสดงให้เห็นว่าตู้ยี่หมิงฝึกฝนทักษะเชื่อมจิตอย่างตื้นเขิน
…
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำทั้งสองก็เดินเข้าไปในป่าล่ามังกรค่อนข้างไกล มีสัตว์วิญญาณปรากฏตัวไม่มากระหว่างทาง ทว่าพวกมันเป็นสัตว์วิญญาณอายุน้อยและไม่มีสติปัญญา
หลินมู่อวี่ฝึกฝนพลังเชื่องได้สำเร็จ และรอทดสอบกับสัตว์วิญญาณที่เหมาะสม
ขณะเดียวกันทักษะชีพจรวิญญาณก็ตรวจพบพลังงานผันผวน หลินมู่อวี่รีบมองไปทางขวาและพูดว่า “เสี่ยวอิน ดูเหมือนจะมีบางสิ่งติดตามเรามา”
“โอ้?”
ฉินอินเผยยิ้มจางๆ “มันคือสิ่งใดหรือ?”
“เราจะได้รู้เมื่อเห็นตัวมัน”
หลินมู่อวี่พลันยกแขนขึ้นพร้อมเถาวัลย์น้ำเต้าพวยพุ่งออกมาทันใด ก่อนจะมีเสียงคำรามก้อง! มันคือเสือดาวหิมะที่มีเส้นสีทองหนึ่งเส้นและเส้นสีเงินสองเส้นบนหัว ซึ่งหมายความว่ามันมีอายุหนึ่งพันสองร้อยปี ขาทั้งสี่ของสัตว์ร้ายถูกเถาวัลย์น้ำเต้าพันธนาการแน่น
หลินมู่อวี่แข็งแกร่งกว่าสัตว์วิญญาณตัวนี้ และวิญญาณยุทธ์น้ำเต้าก็แข็งแกร่งมาก จึงทำให้เสือดาวหิมะไม่สามารถหลุดจากพันธนาการได้เลย
ฉินอินควบม้าเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่ต้องการทำให้เสือดาวหิมะตัวนี้เชื่องหรือ?”
“อืม ข้าอยากลองทดสอบ เสี่ยวอินช่วยคุ้มกันข้าที”
“ได้สิ!”
…
หลินมู่อวี่ยืนอยู่ที่เดิมและเขาสามารถได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวจากการเรียนบทภาษาสัตว์อสูร ทว่าหลังจากผ่านไปไม่กี่นาทีมันก็เริ่มร้องขอความเมตตา หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ก่อนจะปลดปล่อยทักษะชีพจรวิญญาณและฌานสัมผัสเข้าสู่ความคิดของเสือดาวหิมะ ร่างกายหลินมู่อวี่สั่นสะท้านทันที ราวกับเข้าไปพื้นที่แปลกประหลาด
‘โฮก!’
ท่ามกลางความโกลาหลเสือดาวหิมะพุ่งเข้ามาพร้อมตะปปกรงเล็บอย่างรวดเร็ว!
“บังอาจ…”
หลินมู่อวี่พูดขึ้นขณะที่ปล่อยหมัดใส่เสือดาวหิมะเต็มแรงจนทำให้มันกระเด็นออกไป เขารีบไล่ตามและเหยียบลงกลางลำตัวก่อนที่สัตว์ร้ายจะส่งเสียงครวญครางอย่างน่าเวทนา หลินมู่อวี่พลันยกระดับฌานสัมผัส ทันใดนั้นพลังเชื่องก็แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสีขาวชะล้างจิตวิญญาณของเสือดาวหิมะครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานสัตว์ร้ายก็สั่นสะท้านขณะที่ร้องขอความเมตตา
“หยุดเถิด ข้ายอมแล้ว…”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตของหลินมู่อวี่ เขาพลันลืมตาขึ้นก็พบว่าเสือดาวหิมะหมอบอยู่ด้านหน้าราวกับลูกหมาตัวน้อย มันยอมจำนนอย่างแท้จริง!
หลินมู่อวี่วางมือลงบนหัวของเสือดาวแผ่วเบา กระแสน้ำอุ่นสีขาวไหลผ่านเข้าไปในจิตสัตว์ร้าย ก่อนที่วิญญาณหลินมู่อวี่จะเอาชนะมัน ซึ่งเป็นการพิชิตอย่างแท้จริง อีกทั้งยังทำให้สัตว์ร้ายไม่สามารถขัดขืนอีกด้วย!
เสือดาวหิมะส่งเสียงร้องขณะที่คลานเข้ามาอย่างเชื่อฟังและแกว่งหางไปมา
ฉินอินลงจากหลังม้าและเดินมาลูบหัวเสือดาวหิมะด้วยรอยยิ้ม “พี่อาอวี่ จู่ๆ มันก็ดูน่ารักขึ้นมา…”
“นั่นมัน…”
หลินมู่อวี่เผยยิ้มอย่างพอใจ ทว่าทันใดนั้น! เสือดาวหิมะก็คำรามลั่น พร้อมตะปปกรงเล็บอย่างดุร้าย แม้กระทั่งดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ มันกลิ้งลงพื้นอย่างทุรนทุรายราวกับจะขาดใจตาย
“เกิดอะไรขึ้น?” หลินมุ่อวี่ตื่นตระหนก
ฉินอินรีบเปิดอ่านบทพิชิตในคัมภีร์ก่อนจะพูดว่า “พี่อาอวี่รีบหยุดฌานสัมผัสเร็ว! จิตวิญญาณของเสือดาวหิมะตัวนี้อ่อนแอเกินกว่าจะทนจิตวิญญาณของเจ้าได้ มันกำลังจะตาย!”
“ฮะ?”
หลินมู่อวี่ไม่ต้องการให้เสือดาวหิมะตายเช่นนี้ เขาจึงรีบถอนฌานสัมผัสทั้งหมดกลับคืน ทำให้ความเจ็บปวดในตัวเสือดาวหายไปก่อนที่มันจะกระโดดหนีเข้าป่าทึบอย่างรวดเร็ว
หลินมู่อวี่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่กำหมัดแน่น “บัดซบ! ของดีหลุดมือไปซะได้…”
ฉินอินปลอบโยนเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ “อย่าเสียใจไปเลย…เราคงได้เจอสัตว์ร้ายที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งกว่านี้ในภายภาคหน้า…”
“อืม”
…………………