ณ เมืองห้าหุบเขา สายลมเย็นพัดผ่านใบไม้แห้งปลิวไปทั่วเมืองจนทหารยามสองคนยืนสั่นเทาด้วยความหนาว
“จ้างซานเอ้อ เจ้าคิดว่านั่นคืออะไร?”
“สิ่งใดกัน?”
“สุดปลายถนนที่มีควันโขมงอยู่ เจ้าได้ยินเสียงพื้นสั่นสะเทือนนี่หรือไม่?”
“ข้าได้ยิน…พระเจ้า นั่นมันทัพทหารม้า!”
สองทหารยามมองออกไปด้านนอกกำแพงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดศึกควบม้ามา “ปิดประตูเมืองและเตรียมการตั้งรับ! จากนี้ไปอย่าให้ใครเข้าออกเมืองห้าหุบเขา! ลั่นกลองรบเตือนศัตรูกำลังใกล้เข้ามา!”
…
“ตึง…ตึง…ตึง…”
เสียงลั่นกลองรบสนั่นไปทั่วเมืองห้าหุบเขา หูเถี่ยหนิงนั่งอยู่ในจวนผู้ว่าการด้วยท่าทีวิตกกังวลพลางขมวดคิ้วกล่าว “เหตุใดกัน…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้…หลงเซียนหลินอยู่ที่ไหน?” ทหารค่ายเขาเหินไปไหนกันหมดยามที่ข้าต้องการที่สุด!”
ทหารเกษียณอายุนายหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างคำนับพลันเอ่ยขึ้น “ท่านผู้ว่า แม่ทัพหลงเซียนหลินนำทัพเขาเหินไปยังเมืองหน้าด่านชางหนานพื่อฝึกตามคำสั่งของท่านมิใช่หรือขอรับ?”
“ท่านสวี่ เช่นนั้นลองตอบข้ามาว่าข้าควรทำอย่างไร?” หูเถี่ยหนิงสับสน
สวี่สงบสติอารมณ์และถอนหายใจ “หากซูฉินกล้านำทัพบุกมายังเมืองห้าหุบเขาเช่นนี้แสดงว่าข่าวเรื่องการฟอกเงินของเรารู้ถึงหูองค์จักรพรรดิแล้วเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่คิดก่อเหตุประทุษร้ายขุนนางได้ ทว่าหากเราส่งกองทหารออกไปก็เท่ากับต่อต้านจักรวรรดิเช่นกัน ข้าจึงอยากแนะนำว่าให้อยู่ในเมืองรอกองทัพของซูฉินเข้ามาและทำการเจรจา บางทีเราอาจหลีกเลี่ยงได้ขอรับ”
“หลีกเลี่ยงอย่างนั้นรึ?”
หูเถี่ยหนิงสบถ “ฟอกเงินมีโทษทัณฑ์ถึงตาย ยังจะมีทางใดหลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้อีก?”
“ท่านอย่าลืมสิขอรับ” สวี่คลี่ยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “แม่ทัพเซี่ยงอวี้หลานชายของท่านยังคงทำหน้าที่ผู้บัญชาการสารวัตรทหารในเมืองหลวงนะขอรับ ไม่ว่าจะเป็นการมอบรางวัลหรือลงโทษล้วนเป็นอำนาจของเขาทั้งสิ้น แม้แต่ซูฉินยังเทียบเขาไม่ได้ หากจะให้กล่าว…ท่านมีสายสัมพันธ์อันดีกับผู้คุมกฏแห่งเมืองหลวง ดังนั้นต่อให้ท่านถูกซูฉินแจ้งจับ ผู้บัญชาการเซียงอวี้ก็สามารถยื่นอุทธรณ์แก่องค์จักรพรรดิได้ ตราบใดที่ยังมีผลประโยชน์ร่วมกัน ท่านจะรักษาชีวิตไว้ได้อีกนานขอรับ”
หูเถี่ยหนิงแววตาลุกโชน “ท่านหมายถึง…ให้ข้ายอมไปกับพวกมันก่อนและค่อยกลับมาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ!”
สวี่กล่าวต่อ “ท่านอย่าได้กังวล…แกล้งยอมแพ้ไปก่อน ท่านทำงานให้มณฑลชางหนานมาหลายปี เพียบพร้อมไปด้วยลูกศิษย์ นอกจากนี้เรายังมีเหรียญทองกว่าสิบล้านเหรียญเก็บไว้ที่เทือกเขาฉินหลิง อีกทั้งข้าได้สั่งให้คนไปที่หลิงหนานเพื่อร้องขอให้ฉินอี้ช่วยเหลือท่านแล้ว แม้ท่านจะไม่ได้กลับมาเป็นผู้ว่าการ แต่อย่างน้อยเขาก็คงช่วยให้ท่านได้เป็นผู้อาวุโสดูแลเมืองหยินซาน ท่านเห็นด้วยหรือไม่?”
“ทำตามที่ท่านว่าเลย!” หูเถี่ยหนิงตอบ
“ขอรับ!”
สวี่หันไปออกคำสั่งแก่คนทหารคนอื่นๆ ก่อนจะกลับมาหาหูเถี่ยหนิง “แต่งตัวเถิดขอรับท่านผู้ว่า เราจะได้ออกไปพบกับกองกำลังของซูฉิน กองกำลังที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของจักรวรรดิ คงไม่เสียเวลามารอเราเช่นนี้ขอรับ”
“อืม”
หูเถี่ยหนิงเอ่ยถามขณะสวมชุดประจำตำแหน่งผู้ว่าการพร้อมเกราะ “กองกำลังในเมืองเหลืออยู่เท่าไร?”
สวี่ตอบ “ทหารค่ายเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันนายไปกับแม่ทัพหลง ตอนนี้เหลืออยู่ในเมืองเพียงสามหมื่น ซึ่งจากการรายงานกองทัพจากเมืองหยาดสายัณห์มีราวเจ็ดหมื่นคน พี่น้องซูฉินและซูอวี่นำทัพทหารเขี้ยวกระบี่และฉินหลงด้วยตนเอง คงหมายจะเอาชนะโดยไม่ต้องเปลืองแรงมาก”
“เข้าใจละ…”
หูเถี่ยหนิงกล่าวต่อ “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ ข้าไม่น่าไว้ใจให้พวกสำนักอัศวินขุดเหมืองตั้งแต่แรก บัดซบ…ทั้งหมดเป็นความผิดของไอ้เด็กชั่วหลินมู่อวี่ มิเช่นนั้นเรื่องเหมืองทองก็จะไม่ถูกเปิดเผย!”
“มาพูดเอาตอนนี้คงไม่ช่วยอะไรขอรับท่านผู้ว่า…”
“เออ…”
…
ด้านนนอกเมือง กองทัพหยาดสายัณห์เคาะโล่จนเกิดเสียงอึกทึกดังแข่งกับเสียงลั่นกลองของเมืองห้าหุบเขา “หูเถี่ยหนิงจงออกมาพบท่านแม่ทัพบัดเดี๋ยวนี้!”
ซูฉินในชุดศึกชูดาบยาวในมือขึ้นขณะนั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ “ข้า…ซูฉิน นำราชโองการจากองค์จักรพรรดิมาแจ้งแก่เจ้าหูเถี่ยหนิง! หากเจ้าไม่ยอมเปิดประตูเมือง ข้าจะใช้กำลังบุกเข้าไป อยากจะรู้นักว่ากำแพงเมืองเจ้ากับปลายหอกของพวกข้าอะไรจะแข็งกว่ากัน!”
ยามเฝ้าประตูรีบโค้งคำนับแก่ซูฉิน “ท่านแม่ทัพ นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมาก ท่านผู้ว่าการออกราชการอยู่ขณะนี้จึงไม่สามารถมาพบท่านได้ขอรับ ขอท่านโปรดไตร่ตรองอีกครั้งเถิด…”
“ข้าก็ไตร่ตรองอยู่!”
ซูฉินตะโกนลั่น “เปิดประตูเสีย มิเช่นนั้นข้าจะพังมันเข้าไป!”
ทหารยามหนุ่มคนหนึ่งเอ่ย “เมืองห้าหุบเขาเป็นเมืองหลวงของมณฑลชางหนาน ท่านแม่ทัพทำเช่นนี้ได้อย่างไร หากท่านยังคิดจะใช้กำลังก็ข้ามศพข้าไปก่อน!”
“บังอาจนัก!”
ซูฉินโมโหหนัก ดึงบังเหียนม้าไปยังแนวหน้าแถวกองทัพเขี้ยวกระบี่พลางชูดาบยาวในมือ “ถึงเวลาจัดการกับกบฏของอาณาจักรแล้ว พี่น้องทั้งหลายเตรียมบุกได้!”
เสียงลั่นกลองศึกดังสนั่นกว่าครั้งไหน ขณะที่กองทัพซูฉินเตรียมพร้อมบุกเข้าเมืองได้ทุกเมื่อ
…
ทันใดนั้นประตูเหล็กหนาก็เปิดออก หูเถี่ยหนิงและลูกน้องควบม้าออกมาจากในเมือง
ซูฉินขมวดคิ้ว ด้านข้างมีแม่ทัพหญิงอายุราวสามสิบปี หน้าตาละม้ายคล้ายฉินอิน แม่ทัพผู้นี้คือซูอวี่ของสาวของซูฉิน
ซูอวี่เมื่อเห็นหูเถี่ยหนองเดินออกมาก็เผยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ดูเหมือนเราคงไม่ต้องโจมตีเมืองแล้ว หูเถี่ยหนิงคงออกมาขอประนีประนอม”
ซูฉินยิ้มก่อนจะควบม้าเข้าไปหาหูเถี่ยหนิง “ ไม่เจอกันนานผู้ว่าการหูเถี่ยหนิง…”
หูเถี่ยหนิงรีบลงจากม้าและคุกเข่าพลางยื่นตราผู้ว่า “ข้าไม่ทราบว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงกล่าวหาข้าเช่นนี้ หากพระองค์อยากให้ข้าตาย ข้าคงขัดขืนไม่ได้ นี่คือหยินโฉว ตราผู้ว่าการแห่งมณฑลชางหนาน ท่านแม่ทัพโปรดรับไปเถิด”
“เจ้ารู้ดีนี่ว่าต้องทำเช่นไร”
ซูฉินยิ้ม “แต่ท้ายที่สุดแล้วกฎก็คือกฎ นำตัวมันไปใส่กรงขังแล้วทำการยึดเมืองห้าหุบเขาเสีย!”
“ขอรับ!”
กลุ่มทหารหยาดสายัณห์นำรถเข็นมา มันบรรทุกกรงที่มีรูปทรงแปลกประหลาด ทุกซี่ของมันจะล้อมรอบไปด้วยหนามแหลม ทำให้นักโทษที่ถูกขังด้านในไม่สามารถขยับตัวได้ มิเช่นนั้นจะถูกหนามแทง
“ร…รถหนาม”
หูเถี่ยหนิงฉายแววตาแห่งความโกรธออกมาทันใด “ท่านแม่ทัพหมายความว่าอย่างไร จะใช้รถหนามกับข้าอย่างนั้นรึ?”
“เจ้ามีปัญหารึ?”
ซูฉินเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าทำผิดฐานฟอกเงิน ยังไม่เพียงพอต่อการได้นั่งรถหนามอีกหรือ?”
“เจ้า!”
หูเถี่ยหนิงสบถออกมาอย่างฉุนเฉียว สวี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันเอ่ยกระซิบ “ท่านผู้ว่าขอรับ อดทนไว้เถิด ซูฉินเป็นคนบ้าบิ่น ไม่มีประโยชน์จะขัดขืนขอรับ”
เมื่อได้ฟังดังนั้นหูเถี่ยหนิงก็สงบปาก “ตามที่ท่านต้องการเลยแม่ทัพซูฉิน!”
ซูฉินคลี่ยิ้ม “ถอดเกราะหูเถี่ยหนิงออก”
ทหารหลายนายกรุเข้ามาช่วยกันถอดเกราะหูเถี่ยหนิงออกตามคำสั่ง
หูเถี่ยหนิงรู้สึกเหมือนถูกกระทำเกินเหตุ ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความโกรธโดยไม่มีคำพูดใดๆ หลุดออกมา ทว่าทันทีที่มือของทหารนายหนึ่งสัมผัสร่างของหูเถี่ยหนิง เขาก็พลันชักดาบยาวจากเอวออก “ไอ้สารเลว!”
ซูฉินเห็นหูเถี่ยหนิงชักดาบออกพร้อมกับเสียง “ฉึก” ที่ดังมาจากทางด้านหลัง ปลายธนูแหลมปักทะลุคอของหูเถี่ยหนิงจนเลือดสาด! มือของเขายังง้างดาบอยู่กลางอากาศ ไม่ทันได้ทำสิ่งที่ตั้งใจร่างหนาก็ล้มลงกับพื้นและสิ้นใจทันที!
หูเถี่ยหนิงตายแล้ว!
ซูฉินยืนอึ้งก่อนจะมองหามือธนู “จางซ่านทง! ไอ้คนโง่เง่าเจ้ายิงหูเถี่ยหนิงทำไม?”
จ่าจางซ่านทงถือันธนูอยู่ในมือ ก่อนจะรีบโค้งคำนับ “ข้าเห็นหูเถี่ยหนิงยกดาบหมายจะสังหารท่านแม่ทัพ ข้าจึงชิงยิงเขาก่อนขอรับ”
ซูฉินกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ไอ้โง่! องค์จักรพรรดิและองค์หญิงมิได้ต้องการให้สังหาร เจ้าบังอาจขัดต่อพระประสงค์ของทั้งสองพระองค์!”
จางซ่านทงรีบลงจากหลังม้าและคุกเข่าโดยพลัน “ข้าน้อยสมควรตาย โปรดท่านแม่ทัพลงโทษข้าเถิด!”
“ช่างเถิด…ข้าไม่อยากเสียเวลากับเจ้า”
ซูฉินมองศพของหูเถี่ยหนิงพลางพูดพึมพำ “ตายไปเสียก็ดี คนอย่างชั่วมัน…”
…
ทันใดนั้นก็มีเสียงม้าควบมาแต่ไกล พร้อมกับชายคนหนึ่งถือทวนเหล็กตะโกนลั่นแหวกฝูงชนมา “หลีกไป หลีกทางให้ข้า!”
คนที่รีบเร่งเข้ามาไม่ใช่ใครแต่เป็นหลงเซียนหลิน!
เมื่อหลงเซียนหลินเข้ามาในวงล้อมได้สำเร็จ เขาก็พบพ่อตาของตนนอนจมกองเลือดด้วยธนูปักคาอยู่ หลงเซียนหลินสั่นเทิ้มเข่าทรุดลงกับพื้น น้ำตาพรั่งพรูออกมาไม่หยุด “ท่าน…ท่าน…”
“เจ้าคือหลงเซียนหลินรึ?” ซูฉินเอ่ยถามขณะเดินเข้าไปหา
หลงเซียนหลินไม่เอ่ยสิ่งใดนอกจากอุ้มร่างไร้วิญญาณของหูเถี่ยหนิงมุ่งหน้าเข้าเมืองหน้าหุบเขา
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ซูฉินคำรามลั่น “หลงเซียนหลินข้าบอกให้เจ้าหยุด!”
…
กระทั่งหลงเซียนหลินหยุดอยู่ตรงประตูเมือง เขาหันกลับไปมองซูฉินด้วยสายตาแห่งความเคียดแค้นและเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ปิดประตูเมือง เตรียมพร้อมรบ!”
…………………