ยามดึกสงัด แสงจันทร์นวลสาดส่องทั่วบริเวณ
หลินมู่อวี่ในชุดคลุมสีขาวของวิหารนั่งพิงกับราวหินด้านนอกโถงจวนผู้ว่าการขณะที่กอดกระบี่วิญญาณมังกรไว้ในอ้อมแขน ฉินอินเข้าสู่นิทราไปแล้ว ทว่าหลินมู่อวี่ยังคงเฝ้าอยู่หน้าห้อง จางเหว่ยด้านข้างจุดยาสูบก่อนจะหัวเราะ “หลินมู่อวี่ ต้องการสูบหรือไม่?”
“ไม่ล่ะ เจ้าสูบไปเถิด”
“เจ้ามีบางสิ่งในใจหรือ?”
“ช่างเถิด…”
“ฮ่าๆ…” จางเหว่ยยิ้มและพูดว่า “น้องชาย เจ้าเป็นถึงครูฝึกดาวทองในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ท่านเหล่ยหงดูแลเจ้าในทุกเรื่อง ขณะที่ในตำหนักเจ๋อเทียนเจ้าก็เป็นถึงราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรพรรดิ องค์หญิงอินคงชื่นชอบเจ้ามาก แม้แต่คนหยาบกระด้างเช่นข้าก็ดูออก อีกทั้งพลังยุทธ์ของเจ้าช่างลึกล้ำยิ่งนัก ข้าไม่เข้าใจสักนิดว่าเจ้ามีสิ่งใดให้กังวลอีก หรือว่าจะ…เกี่ยวกับการอภิเษกกับองค์หญิงอินใช่หรือไม่? หากเป็นเช่นนั้น…ฮ่าๆ องค์หญิงอินเป็นรัชทายาทพระองค์เดียว มีชายหนุ่มมากมายต้องการอภิเษกกับพระองค์ ทว่า…ก็มีไม่กี่คนที่จะมีคุณสมบัติเพียงพอ สำหรับคนธรรมดาคงเป็นเรื่องยาก”
หลินมู่อวี่ตอบกลับ “เฒ่าจางคิดเรื่องบ้าอะไร ข้ามิเคยนึกถึงเรื่องนั้นเลย”
“เจ้ารักองค์หญิงอินหรือไม่?” จู่ๆ จางเหว่ยก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ข้า…”
หลินมู่อวี่ตะลึงขณะที่เอื้อมมือไปคว้าหิมะมาและปั้นมันเป็นก้อน เขาขว้างออกไปอย่างแรงและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “รัก…”
“ฮ่าๆๆ…”
จางเหว่ยหัวเราะลั่น “พวกคนหนุ่มสาวนี่ปากแข็งยิ่งนัก รักก็คือรัก เหตุใดต้องอายด้วย หากเจ้ารักองค์หญิงอิน เช่นนั้นก็ทุ่มเทเพื่อพระองค์ซะ แล้วเจ้าจะได้อยู่เคียงข้างพระองค์ในภายภาคหน้า ทว่าสิ่งสำคัญคือเจ้าไม่สามารถทำให้ซูฉินและองค์จักรพรรดิขุ่นเคืองได้อีกต่อไป เจ้าควรรู้เรื่องนี้ดีกว่าเฒ่าจางใช่หรือไม่?”
“ข้ารู้”
หลินมู่อวี่ยิ้มจางๆ “เฒ่าจาง สาเหตุที่ข้าหนักใจมิใช่เพราะเสี่ยวอินหรอก ระหว่างข้ากับเสี่ยวอินกำลังไปได้ด้วยดี อีกทั้งยังสามารถเจอหน้ากันทุกวัน คงไม่มีสิ่งใดให้กังวล”
“เช่นนั้นด้วยเหตุอันใด?”
“เป็นเพราะครอบครัวหลงเซียนหลิน”
“โอ้?”
จางเหว่ยยืนขึ้นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ารู้ว่าเจ้าและหลงเซียนหลินมีมิตรภาพที่ดีให้แก่กันเล็กน้อย ทว่า…เจ้ามิควรสับสน หลงเซียนหลินขณะนี้กลายเป็นกบฏแห่งจักรวรรดิ และครอบครัวของเขาจะมีความผิดข้อหาเดียวกัน หากเจ้าช่วยเหลือครอบครัวหลงเซียนหลิน และเมื่อเรื่องนี้ถึงหูฝ่าบาทละก็…ข้าเกรงว่าเจิ้งอี้ฝานจะเป็นมาจัดการเจ้า”
“ข้ารู้”
หลินมู่อวี่เงยหน้ามองแสงจันทร์นวลและกล่าวว่า “แต่หลงเซียนหลินเชื่อใจข้ามากและยังมอบกองทหารค่ายเขาเหินหนึ่งหมื่นเจ็ดพันให้ข้า หากข้าช่วยชีวิตภรรยาเขาไว้ไม่ได้ คนทั้งแผ่นดินจะคิดกับข้าอย่างไร?”
จางเหว่ยตัวสั่นเล็กน้อย “หากเจ้าตั้งใจจะช่วยภรรยาของหลงเซียนหลินจริง เช่นนั้นข้าจางเหว่ยจะไปกับเจ้าด้วย!”
“จะช่วยนางได้อย่างไร?” หลินมู่อวี่เอ่ยถาม
จางเหว่ยหรี่ตาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กองทหารเพิ่งถูกแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือทหารแห่งจักรวรรดิ และอีกกลุ่มคือทัพเขี้ยวกระบี่แห่งเมืองหยาดสายัณห์ ช่วงกลางดึก่อนรุ่งสางกองทัพจักรวรรดิจะเข้ามาทำหน้าที่รักษาการแทนซึ่งเป็นคนของข้า จากนั้นข้าจะสร้างความโกลาหลและฉวยโอกาสช่วยภรรยาของหลงเซียนหลินออกมา ทว่าข้าช่วยได้เพียงคนเดียวเท่านั้น มันเสี่ยงเกินไป”
“อืม”
หลินมู่อวี่พยักหน้าและพูดว่า “ข้าจะนำกองทหารค่ายเขาเหินลาดตระเวนคืนนี้ เมื่อถึงเวลาข้าจะไปพบเจ้า หลังจากช่วยหูเสี่ยวอวิ๋นแล้ว เฒ่าจาง…เจ้าไปส่งนางที่ภูเขาหลงหยานในเมืองหลันเยี่ยนด้วยตนเอง แล้วบอกหลัวอวี่แห่งกลุ่มทหารรับจ้างมังกรผงาดให้ดูแลนาง หลังจากได้ข่าวหลงเซียนหลินแล้วค่อยส่งนางออกไป”
“ขอรับ วางใจเถิดท่านหลินมู่อวี่!”
“อืม!”
…
กลางดึกสงัดเกิดเสียงดังอลหม่านขณะที่กำแพงคุกพังทลายลง
ภายใต้แสงจันทร์ จางเหว่ยอุ้มหญิงสาวผู้หนึ่งไว้ในอ้อมแขนและรีบวิ่งไปที่ประตูทางทิศเหนือของเมืองห้าหุบเขา
ด้านนอกประตูทางทิศเหนือ หลินมู่อวี่และกองทหารจากค่ายเขาเหินกำลังเฝ้าประตูอยู่ หลินมู่อวี่พูดเสียงดัง “ประตูเมืองปิดแล้ว หากเจ้าต้องการออกจากเมือง ก็ต้องรอวันรุ่งขึ้น!”
จางเหว่ยเปิดเสื้อคลุมก่อนจะยิ้มและพูดว่า “แม่ทัพหลิน นี่ข้าเองเฒ่าจาง…ท่านแม่ของข้าป่วยหนัก ข้าต้องรีบกลับบ้านไปดูนาง ข้าหวังว่าท่านจะปล่อยข้าไป ได้โปรดเถิดขอรับ”
“เป็นท่านจางเหว่ยเองรึ!” หลินมู่อวี่ยิ้มและโบกมือ “เปิดประตูและปล่อยเขาไป”
ทหารค่ายเขาเหินตกตะลึง “ท่านหลิน นี่มัน…ไม่ผิดกฎใช่ไหมขอรับ? ท่านแม่ทัพบอกว่าหลังเที่ยงคืนจะไม่มีใครสามารถเข้าหรือออกเมืองห้าหุบเขาได้”
“ข้าบอกให้ปล่อย เจ้าก็ต้องปล่อย อย่าพูดให้มากความ”
“ขอรับ!”
จางเหว่ยขี่ม้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะเดียวกันเสื้อคลุมบนหัวหญิงสาวในอ้อมแขนก็ค่อยๆ เปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างาม นางพลันพูดเสียงแผ่วเบา “หูเสี่ยวอวิ๋น…ขอบคุณแม่ทัพหลินเจ้าค่ะ…”
หลินมู่อวี่โบกมือ “ไปเถิด”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพ…”
จางเหว่ยควบม้าและหายไปในความมืด ทหารทั้งสองนายของค่ายเขาเหินต่างก็เห็นหน้าหูเสี่ยวอวิ๋น พวกเขาตกตะลึงและหันหน้ามามองหลินมู่อวี่
“พวกเจ้ามิได้เห็นสิ่งใดทั้งนั้น หากใครบังอาจแพร่งพรายออกไป ข้าจะตามไล่ล่าอย่างไม่ปรานี!” ใบหน้าหลินมู่อวี่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ทันใดนั้นทหารทั้งสองก็คุกเข่าลงพร้อมกล่าวน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่ทัพ ข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้แก่พี่น้องค่ายเขาเหินไปตลอดชีวิต!”
“มิต้องพูดแล้ว ไปเข้านอนซะ เราจะกลับเมืองหลันเยี่ยนในวันรุ่งขึ้น”
“ขอรับ!”
…
หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความกังวลว่าจางเหว่ยจะไปถึงภูเขาหลงหยานอย่างปลอดภัยหรือไม่ อีกทั้งเขาเสียใจที่ยังไม่ทราบว่าหลงเซียนหลินอยู่ที่ใด หลงเซียนหลินเป็นแม่ทัพที่มีเมตตา หากเขาตายคงน่าเสียดายยิ่งนัก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกองทหารก็ได้เคลื่อนทัพมุ่งหน้าไปยังเมืองหลันเยี่ยน
มู่หยุนนั่งรถม้าที่ใช้ม้าสีดำแปดตัวซึ่งดูสง่างามมาก ส่วนฉินอินเองก็นั่งรถม้าขององค์หญิง ขณะที่หลินมู่อวี่ขี่ม้าศึกอารักขาอย่างใกล้ชิด
หิมะกำลังละลาย ทว่าอากาศยังคงหนาวเหน็บ ฉินอินพลันเปิดม่านรถม้าและมองไปที่หลินมู่อวี่พร้อมรอยยิ้ม “อาอวี่ เจ้าต้องการผลไม้ไหม? ข้ามี…แอปเปิลและสาลี่ เจ้าต้องการหรือไม่?”
“ไม่ล่ะ ขอบคุณมากเสี่ยวอิน” หลินมู่อวี่คว้าถุงน้ำออกมาจากเอวและดื่มสุราเข้าไป กระแสน้ำอุ่นไหลสู่ช่องท้องของเขา ซึ่งสุรามีฤทธิ์ป้องกันความหนาวเหน็บได้ และเป็นการทดสอบความคอแข็ง
ขณะเดียวกันเฟิงจี้สิงที่สวมชุดผู้บัญชาการอยู่ด้านหน้าก็เข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงอิน ข้าต้องการแอปเปิลพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฮ่าๆ ข้าไม่ให้เจ้าหรอก!” ฉินอินแลบลิ้นอย่างซุกซน
หลินมู่อวี่หัวเราะเบาๆ “พี่เฟิง ท่านมิต้องนำหน้ากองทัพเพื่อเปิดเส้นทางหรือ?”
“ครานี้มีกองทัพแห่งจักรวรรดิมาด้วยห้าพันนาย ข้าจึงไม่จำเป็นต้องนำทัพเปิดเส้นทาง”
เฟิงจี้สิงขมวดคิ้ว “มู่หยุนกงสั่งให้ข้าดูแลครอบครัวของนายพลผู้ทรยศในเกวียนคุมขัง ช่างลำบากเสียจริง ข้าเฟิงจี้สิงมิอาจทนดูหญิงสาวได้รับความอัปยศได้ จริงสิอาอวี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจางเหว่ยไปไหน? จู่ๆ เขาก็หายไป ชายผู้นี้…หากเขาปฏิบัติหน้าที่อย่างขาดตกบกพร่อง…ข้ากะจะให้เขาขึ้นเป็นแม่ทัพ”
หลินมู่อวี่หยิบแอปเปิลจากฉินอินและส่งให้เฟิงจี้สิง “ข้าไม่ทราบเรื่องภายในกองทัพของพี่เฟิง เนื่องจากมันไม่ได้เกี่ยวกับข้า”
เฟิงจี้สิงกัดแอปเปิลคำโตและมองมาที่หลินมู่อวี่ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่งเบา “หึ! กำแพงคุกถูกทำลายเมื่อคืน ผู้บัญชาการจางจงใจปล่อยผู้หญิงไป และมีเจ้าขอทานเห็นเข้า อาอวี่เจ้าทำให้ข้าต้องตามล้างตามเช็ด และเสียสิบเหรียญทองให้เจ้าขอทานนั่น”
หลินมู่อวี่รู้สึกเย็นวาบไปถึงหัวใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ “เช่นนั้น…ขอบคุณมากพี่เฟิง!”
เฟิงจี้สิงเอื้อมมือไปตบไหล่ของหลินมู่อวี่จนทำให้เสื้อคลุมวิหารเปื้อนน้ำแอปเปิล “ครั้งต่อไปถ้าจะทำการสิ่งใด ก็แจ้งข้าด้วย เข้าใจหรือไม่?”
“อื้ม!”
“หลังจากกลับไปยังเมืองหลันเยี่ยนก็อย่าลืมเชิญข้าไปรับประทานอาหารค่ำสำหรับสิบเหรียญทองที่ข้าเสียไปด้วยล่ะ”
“ไม่มีปัญหา พี่เฟิงไปหอสดับพิรุณได้เลย ข้าเลี้ยงไม่อั้น!”
“ตกลง…ข้าจะหาสองสาวงามไปดื่มด้วย…”
“ได้สิ”
ฉินอินมองไปยังเฟิงจี้สิงในระยะไกลพร้อมทำหน้ามุ่ย “ผู้บัญชาการเฟิงจี้สิง อย่าทำให้พี่อาวี่ลำบากใจสิเจ้าคะ…คงไม่มีสาวงามคนใดในหอสดับพิรุณมาดื่มกับท่านหรอก”
เฟิงจี้สิงสูดหายใจลึก และกล่าวออกมาเป็นนัย “องค์หญิงอินและอาวี่มีสายสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งและเคารพซึ่งกันและกัน แต่เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าผู้บัญชาการที่อยู่ท่ามกลางทหารมากมายเช่นนี้…พวกเราจะหงอยเหงาเพียงใดในยามดึก…”
ใบหน้าฉินอินพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ “ผู้บัญชาการเฟิงช่างไม่มียางอาย!”
เฟิงจี้สิงยื่นมือออกมา “เกิดอะไรขึ้น…หลังจากงานเลี้ยงเมื่อคืนที่มุมโถงจวนผู้ว่า มิใช่ว่าองค์รัชทายาทแอบย่องออกไปจุมพิตที่แก้มซ้ายของหลินมู่อวี่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
แก้มของฉินอินเป็นสีแดงก่ำก่อนจะเหวี่ยงหมัดไปด้านหน้า “อ๊า! ข้าจะใช้โซ่เทวะจัดการเจ้าซะ!”
เฟิงจี้สิงหัวเราะ “ดูสิ องค์หญิงทรงกริ้วแล้ว…อาอวี่ สิ่งที่ข้าพูดนั้นผิดหรือ?”
หลินมู่อวี่ถูจมูกก่อนจะตอบว่า “แท้จริงแล้วเป็นแก้มขวา…”
ฉินอินหน้าแดงก่ำ “ห้ามพูดสิ่งใดอีก!”
ขณะเดียวกันซูฉินก็ขี่ม้าเข้ามาและมองพวกเขาด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้า…กำลังทำสิ่งใดกันอยู่…”
“ไม่มีอะไรขอรับท่านแม่ทัพ!” เฟิงจี้สิงประสานหมัดแน่นด้วยความเกรงกลัว
หลินมู่อวี่รีบประสานหมัดคำนับ “ท่านแม่ทัพ!”
ซูฉินยิ้มอย่างมีเลศนัย “แม่ทัพสองอันดับแรกจากสี่แม่ทัพยังเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย ฮ่าๆ…จักรวรรดิคงได้แม่ทัพมารับช่วงต่อแล้ว เจ้าทั้งสองจำเป็นต้องฝึกฝนอย่างหนักและศึกษาวิทยายุทธ์เพื่อรับใช้จักรวรรดิในภายภาคหน้า!”
“ขอรับท่านแม่ทัพ!”
ชายทั้งสองที่เพิ่งหยอกล้อองค์หญิงพลันประทับหมัดที่หน้าอกและแสดงความเคารพเฉกเช่นทหาร
…
สี่วันถัดมาพวกเขาก็เดินทางมาถึงเมืองหลันเยี่ยน ระหว่างทางจางเหว่ยก็กลับมาเข้าร่วมกับกองทัพ เหตุผลที่เขาหายตัวไปก็คือ เขาต้องกลับไปดูแลแม่ที่ป่วยหนัก ทว่าเมื่อกลับไปถึงแม่เฒ่าก็หายดีแล้ว จางเหว่ยจึงกลับมาเข้าร่วมกองทัพอีกครั้ง เฟิงจี้สิงหัวเราะออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและมิได้กล่าวสิ่งใด ทว่าภายในใจแอบสาปแช่งที่ทั้งสองโกหกหน้าตาเฉยเช่นนี้
………………….