แม้ว่าฉินจื่อหลิงจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็รู้จักวิทยายุทธ์ ฉินจื่อหลิงเคยเห็นทักษะจับดาบของคู่ต่อสู้ ทว่าไม่เคยเห็นทักษะจับดาบไร้ลักษณ์ราวกับมีมือขนาดใหญ่มากระชากดาบเขาไปเช่นนี้
…
“ฮ่าๆๆ” หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างโล่งอก เขาเดินไปด้านหน้าและตบไหล่ฉินจื่อหลิงก่อนจะเอ่ยถาม “จื่อหลิง ความรู้สึกตอนที่ถูกพรากดาบไปเป็นอย่างไรบ้าง?”
ฉินจื่อหลิงส่งเสียงคร่ำครวญ “ข้ารู้สึกราวกับมีพลังดูดมหาศาลที่มองไม่เห็นจากกระบี่ของผู้ดูแลหลิน ซึ่งทำให้ข้าไม่สามารถประคองดาบไว้ได้”
“เจ้าดูคลางแคลงใจ ต้องการลองอีกครั้งหรือไม่?”
“ขอรับ!”
ฉินจื่อหลิงกระโจนออกไปเหยียบลงบนกำแพงหิน จากนั้นก็ดึงดาบเหล็กที่ถูกตรึงลงมา ก่อนจะพูดว่า “ระวังตัวขอรับผู้ดูแลหลิน ข้าพร้อมโจมตีอีกครั้งแล้ว!”
“อื้ม!”
ครานี้ฉินจื่อหลิงไม่พุ่งโจมตีเป็นเส้นตรงอีกต่อไป ทว่าตวัดดาบจากด้านบน!
หลินมู่อวี่หมุนตัวขณะที่ปราณยุทธ์ควบแน่นบนใบดาบ พลังหมุนไร้ลักษณ์สามเกลียวปรากฏขึ้นและพุ่งไปล้อมรอบดาบของฉินจื่อหลิงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้น! ก็ก่อเกิดพลังดูดมหาศาลจนทำให้ดาบหลุดมือฉินจื่อหลิงอีกครั้ง!
‘เคร้ง!’
ดาบเหล็กปลิวหมุนไปกับพื้นขณะที่ฉินจื่อหลิงยืนตะลึงงัน “ผู้ดูแลหลิน…นี่คือทักษะอะไรกัน มันช่างดูเหมือนเวทย์มนต์…”
หลินมู่อวี่เผยยิ้มเล็กน้อย “นี่เป็นแรงดึงดูดที่เกิดจากพลังหมุน หากพลังยุทธ์ของเจ้าเพิ่มขึ้นจนถึงระดับนี้ในภายภาคหน้า ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถเรียนรู้ทักษะนี้ได้อย่างดี เอาล่ะจื่อหลิง ไปพักผ่อนเถิด”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่ได้คิดชื่อของทักษะนี้ไว้แล้ว นั่นคือ ‘กระบี่ดึงดูด’ ซึ่งเป็นชื่อที่บ่งบอกถึงทักษะได้อย่างชัดเจน
…
หลินมู่อวี่เดินเคียงข้างฉินจื่อหลิงบนทางเดินวิหารเพื่อกลับไปยังห้องพักขณะที่ครุ่นคิดในใจ ทักษะการดูดของเกลียวทั้งสามนั้นไม่ดีเท่าพลังของนักฆ่าลึกลับ หลินมู่อวี่จำเป็นต้องฝึกฝนอีกมากเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เทียบเคียงกับคนผู้นั้น!
วันรุ่งขึ้นหลินมู่อวี่ไม่ต้องไปสอน เนื่องจากเป็นหน้าที่ของผู้ดูแลเกอหยาง หลินมู่อวี่จึงมีเวลาว่างและตัดสินใจไปเยี่ยมฉู่เหยาที่สมาพันธ์โอสถ
พระอาทิตย์สาดส่องยามเช้า หลินมู่อวี่เข้าไปในสมาพันธ์โอสถอย่างราบรื่นเนื่องจากชุดคลุมวิหาร ระหว่างทางผู้คนต่างมองมาทางหลินมู่อวี่อย่างเกรงกลัว ผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์มีบารมีสูงส่งกว่าผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถมาก แม้ว่าจักรวรรดิจะให้ความสำคัญกับสมาพันธ์โอสถ แต่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน้อยกว่าวิหาร
หลินมู่อวี่เห็นกลุ่มนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ระดับสอง และระดับสาม กำลังสกัดส่วนประกอบของโอสถอย่างขะมักเขม้นขณะที่เหงื่อไหลท่วม
หลินมู่อวี่เห็นฉู่เหยาจากระยะไกล นางกำลังสกัดโอสถสมุนไพรระดับเจ็ดด้วยท่าทางสง่างามที่มุมหนึ่งของแผนกกลั่นโอสถ ฉู่เหยาผายฝ่ามือพร้อมนิ้วยาวขยับราวกับปีกผีเสื้อ หลินมู่อวี่มั่นใจว่าต้องเป็นเพราะตำราแปลกประหลาดเล่มนั้น ในช่วงเวลาแสนสั้นฉู่เหยาสามารถพัฒนาฝีมือจนได้เป็นปราชญ์โอสถอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ปู่ฉู่เฟิงทำไม่ได้…ตอนนี้ฉู่เหยาสานฝันนั้นแล้ว
อีกทั้งหลินมู่อวี่รู้สึกได้ว่าพลังยุทธ์ของฉู่เหยาพัฒนาขึ้นมากเช่นกัน ขณะนี้นางอยู่ที่ขอบเขตปฐพีชั้นที่สามพร้อมปราณแท้ที่บริสุทธิ์มากขึ้น มิเช่นนั้นคงไม่สามารถสกัดสมุนไพรระดับเจ็ดได้อย่างง่ายดายราวกับว่าฉู่เหยากำลังเต้นรำท่ามกลางกองสมุนไพร ดังนั้นจึงมีสายตาจากนักปรุงโอสถหลายคนกำลังจ้องมองปราชญ์โอสถผู้งดงามคนนี้
เพียงแวบเดียวที่เห็นตราสีทองบนปกเสื้อฉู่เหยา ก็ทำให้ดวงตาหลินมู่อวี่เปล่งประกาย มันคือใบไม้สีทองเหมือนกับของเขา ทว่ามีรูปร่างเรียวยาวกว่า ทำให้หลินมู่อวี่รู้ว่าตราผู้ดูแลของวิหารศักดิ์สิทธิ์และสมาพันธ์โอสถนั้นมีหน้าตาคล้ายคลึงกัน!
เมื่อหลินมู่อวี่เดินเข้ามาในระยะสามเมตร ฉู่เหยาที่กำลังตั้งใจสกัดโอสถอยู่ก็พลันสังเกตเห็น เธอรีบหันกลับมาและพบใบหน้าหล่อเหลาของหลินมู่อวี่ ฉู่เหยาก็อดไม่ได้ที่จะตะลึงขณะที่น้ำตาเอ่อล้น นางพลันอ้าแขนกอดหลินมู่อวี่ทันที!
“อาอวี่ ข้านึกว่าเจ้าสูญหายไป!”
“ไม่ จะเป็นไปได้อย่างไร…” หลินมู่อวี่ลูบหลังฉู่เหยาและยิ้ม “พี่ฉู่เหยาก็เป็นหนึ่งในผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถแล้ว อย่าทำเช่นนี้เลย…พวกเขาจะหัวเราะเยาะเรา!”
ฉู่เหยาค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดหลินมู่อวี่ขณะที่น้ำตาไหลนองจากดวงตาคู่งาม “เจ้ารู้หรือไม่ ตอนที่เจ้าไปเมืองหยาดสายัณห์ ข้าฝันถึงเจ้าติดต่อกันหลายคืนซึ่งเป็นฝันร้ายทั้งหมด! ข้าฝันว่ามีศัตรูที่ทรงพลังฉีกเจ้าออกเป็นชิ้น มันทำให้ข้ากังวลเป็นอย่างมาก”
“แล้วข้ามิได้รอดชีวิตกลับมาหรือ?” หลินมู่อวี่ยิ้มสดใส “ขอแสดงความยินดีกับฉู่เหยาที่ได้กลายเป็นผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถ…”
“อื้อ…”
ฉู่เหยาเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวว่า “เจ้าเองก็ได้เป็นผู้ดูแลวิหารศักดิ์สิทธิ์เหรอ?”
“ข้าได้รับความรักจากผู้อาวุโสอย่างที่ไม่สมควรได้รับ…”
“ข้าก็เหมือนกัน”
“โอ้ จากผู้ดูแลท่านใดหรือที่ให้ความรักเจ้า?”
“ข้าเพียงพูดเล่น เหตุใดจึงต้องจริงใจถึงเพียงนั้น…”
ฉู่เหยาพลันจับมือหลินมู่อวี่แผ่วเบาและพูดด้วยรอยยิ้ม “อาอวี่มากับข้าสิ พี่สาวมีอะไรจะแสดงให้ดู”
“โอ้?”
หลินมู่อวี่เดินตามฉู่เหยาออกไปตามทางเดินสีเขียวของสมาพันธ์โอสถ กระทั่งถึงเรือนเพาะปลูกซึ่งไม่มีผู้คน ฉู่เหยายิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ดี ตรงนี้ละกัน!”
พูดจบฉู่เหยาก็เอื้อมมือไปดึงกระบี่ดอกหลีฮวาออกมาจากเอวพร้อมสายตาแน่วแน่และผายฝ่ามือออก กระบี่ดอกหลีฮวาพลันลอยขึ้นไปบนอากาศ ปราณค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเพลิงลุกโชนบนใบดาบขณะที่มีโซ่เชื่อมกับฝ่ามือ ทันใดนั้น! กระบี่เริ่มหมุนควงก่อเกิดเกลียวเพลิงอันทรงพลัง!
เกลียวเพลิงหมุนวนรอบกระบี่ดอกหลีฮวาและก่อตัวเป็นพายุลูกใหญ่หอบหิ้วดอกไม้และพืชพรรณรอบบริเวณ
ฉู่เหยาเงยหน้าขึ้นและยิ้มหวาน “การฝึกฝนไฟควบคุมกระบี่ของพี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง เขารู้ว่าการใช้เกลียวเพลิงด้วยไฟควบคุมกระบี่นั้นยากเพียงใด…ทว่าในช่วงเวลาไม่นานฉู่เหยากลับพัฒนาเกลียวเพลิงขึ้นมาได้ แม้ว่าพลังจะน้อยกว่าเกลียวเพลิงมังกรของเขาก็ตาม แต่ก็น่าเกรงขามมาก! นางไม่เพียงพัฒนาฝีมือการปรุงโอสถ วิทยายุทธ์ของฉู่เหยาเองก็พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ด้วยความแข็งแกร่งของนางตอนนี้ บางทีอาจสามารถเข้าร่วมวิหารศักดิ์สิทธิ์ในฐานะครูฝึกดาวทองได้อย่างง่ายดาย?
กระนั้นเปลวเพลิงก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
ฉู่เหยาหน้าซีดเล็กน้อยและรีบพูดอย่างละล่ำละลัก “อาอวี่ถอยไป ระวังบาดเจ็บ”
หลินมู่อวี่เผยยิ้ม “นี่คือเรือนเพาะปลูก คงไม่ดีสำหรับเจ้าในฐานะผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถที่จะทำลายเรือนเพาะปลูกนี้ มากับข้าสิ มันจะไม่เป็นไร ตามมาเถิด!”
“อืม…ตกลง!”
ฉู่เหยาจับมือทั้งสอง ทันใดนั้น! พลังก็ระเบิดออกพร้อมกระบี่ดอกหลีฮวาหมุนคว้างด้วยความเร็วสูงตรงมาที่หลินมู่อวี่!
เมื่อหลินมู่อวี่เห็น เขาก็ชักกระบี่วิญญาณมังกรออกมาทันที พลังหมุนสามเกลียวปรากฏขึ้นล้อมรอบใบดาบ ก่อนจะผนึกกับกระบี่ดอกหลีฮวาอย่างรวดเร็ว ทว่าพลังเกลียวเพลิงแข็งแกร่งเกินไป ทั้นใดนั้น! กระบี่เล่มยาวก็พุ่งตรงมายังหน้าอกของหลินมู่อวี่!
‘วิ้ง!’
แขนซ้ายเปล่งแสงสีทองพร้อมมังกรสีทองเกาะที่แขน หลินมู่อวี่พลันยกแขนขึ้นและทุบลงไปตรงหน้า ‘เปรี้ยง!’ กระแทกกระบี่ดอกหลีฮวาปลิวลงไปปักกับพื้นทันที พลังเกลียวเพลิงไร้ลักษณ์ยังคงเอ่อล้นอยู่ทั่วกระบี่
ฉู่เหยาเดินไปดึงกระบี่ดอกหลีฮวาจากพื้น ส่วนหลินมู่อวี่หัวเราะลั่น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะทำลายข้าวของไปมาก…กว่าจะฝึกเกลียวเพลิงได้”
ฉู่เหยาแลบลิ้นออกมา “กำแพงหินสามที่ก็เท่านั้น…”
“ฮ่าๆๆ”
หลินมู่อวี่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ความจริงแม้ว่าเกลียวเพลิงจะทรงพลัง ตราบใดที่พี่ฉู่เหยาระมัดระวังในการบังคับทิศทาง ก็จะสามารถประคองกระบี่ได้”
“อืม ข้าจะฝึกฝนให้หนักขึ้น!”
ฉู่เหยาก้าวไปด้านหน้าและจับแขนหลินมู่อวี่ “พลังยุทธ์ของอาอวี่ล้ำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ชายบอกว่าพลังยุทธ์ของอาอวี่สูงกว่าเขาแล้ว!”
“โอ้ พี่ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพูดเช่นนั้นหรือ? เขาถ่อมตนเกินไป!”
“ไม่ ไม่ใช่ ทุกคนในจักรวรรดิต่างก็รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชนะในการประลองยุทธ์ เจ้าต่างหากที่ไม่ควรถ่อมตน!”
“ฮ่าๆ ไม่ล่ะ! พี่ฉู่เหยา ไปทานอาหารกลางวันกับข้าเถิด ออกไปหาของอร่อยกินกัน!”
“อื้ม!”
จากนั้น ณ ลานกว้างที่พักฉู่เหยา หลินมู่อวี่จึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์แก่นางอีกครั้ง ฉู่เหยาเป็นผู้มีพรสวรรค์โดยกำเนิด การได้หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเป็นอาจารย์จะทำให้ผลลัพธ์การฝึกฝนเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า!
เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ทั้งคู่ก็ออกไปทานอาหารด้วยกัน
ทางเดินยาวของสมาพันธ์โอสถเต็มไปด้วยดอกไม้พืชพรรณซึ่งโรแมนแตกมาก ต่างจากความรู้สึกโอ่อ่าในวิหารศักดิ์สิทธิ์ ฉู่เหยาและหลินมู่อวี่เดินเคียงข้างกันและพูดคุยอย่างมีความสุข ราวกับกำลังเติมเต็มสมาพันธ์โอสถด้วยเสียงหัวเราะของทั้งสอง
…
ที่หัวมุมอาคารนักปรุงโอสถราวแปดคนทยอยเดินเข้ามาหา พวกเขาเป็นบุคคลที่หลินมู่อวี่คุ้นเคยดี…หลัวปิน และยังเป็นคนที่เคยได้รับบาดเจ็บจากหลินมู่อวี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถ อีกคนคือชางชู่หลิงลูกชายของหลัวซิ่งที่ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจในเมืองหลันเยี่ยน แต่น่าเสียดายที่หลัวปินเป็นเพียงคนแคระในสายตาเท่านั้น หลังจากที่หลินมู่อวี่ได้เป็นสี่วีรบุรุษแห่งเมืองหลันเยี่ยน
“ข้าจะต้องเป็นคนแรกที่ได้ดื่มด่ำกับสาวงามแห่งสมาพันธ์โอสถ!”
“ฉันเป็นคนที่สามารถดื่มด่ำกับความงามครั้งแรกในแผนกยาครอบจักรวาลของเรา”
หลัวปินมองทั้งสองอย่างประหลาดใจ “ฉู่เหยา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ดูแลสมาพันธ์โอสถ แต่กลับไม่รู้ที่ต่ำที่สูง หลินมู่อวี่เป็นราชบุตรบุญธรรมขององค์จักรวรรดิ และมีความสัมพันธ์อันดีกับองค์หญิงซี ทุกคนในเมืองหลันเยี่ยนต่างก็พูดกันหนาหูว่าคนที่หลินมู่อวี่จะแต่งงานด้วยก็คือองค์หญิงซี! ทว่าเจ้ายังเกาะแกะเขาเช่นนั้น เจ้ายินดีจะเป็นมือที่สามรึ?”
ใบหน้าฉู่เหยาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำขณะที่จ้องมองเขา “หลัวปินอย่ามาพูดจาไร้สาระ ข้าและอาอวี่เป็นเพียงพี่น้องกัน มิใช่อย่างที่เจ้าคิดสักนิด!”
หลัวปินยิ้ม “ในเมื่อเจ้าและหลินมู่อวี่มิใช่คู่รัก เหตุใดจึงไม่รับรักข้าล่ะ?”
ฉู่เหยายิ้มตอบ “เพราะข้าไม่ชอบเจ้า”
“เจ้า!” ใบหน้าหลัวปินเปลี่ยนเป็นสีม่วงด้วยความโกรธ เขารู้สึกอับอายที่ถูกพูดเช่นนี้ต่อหน้าสหาย ทว่าก็ต้องอดทน เนื่องจากเขาก็เอาชนะทั้งคู่ไม่ได้
ในฐานะแม่ทัพองครักษ์ทิศใต้ หลินมู่อวี่ครุ่นคิดอยู่นาน เขารู้ดีว่าคนเหล่านี้ไม่มีทางสู้เขาได้ ทว่าหากลงมือกับชางชู่หลิง อาจเป็นการทำให้หลัวซิ่งแค้นเคืองได้ หลินมู่อวี่จึงประสานหมัดและยิ้ม “ผู้ดูแลหลัวปิน ข้ากำลังจะออกไปทานอาหารกับพี่สาว ต้องการไปด้วยกันหรือไม่ขอรับ?”
หลัวปินพ่นลมออกจมูก “เหอะ! ข้าไม่ไปกับพวกเจ้าหรอก!”
“เช่นนั้นข้าขอตัว”
หลินมู่อวี่แสดงความเคารพก่อนจะหันไปทางฉู่เหยา นางพลันคล้องแขนหลินมู่อวี่พร้อมเสียงหัวเราะกังวานราวกับกระดิ่งเงิน ซึ่งทำให้หลัวปินรู้สึกทั้งรักทั้งเกลียดเมื่อมองสองคนนี้ หลัวปินเต็มไปด้วยความรู้สึกหึงหวงขณะที่พูดว่า “หญิงผู้นี้…ข้าต้องเอามาให้ได้!”
นักปรุงโอสถด้านข้างกระซิบ “ผู้ดูแลเบาเสียงลงเถิด…ครั้งก่อนก็โดนฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ ยังไม่พออีกหรือ…”
“เจ้า!”
……………………..