‘กี้…’
มังกรตัวน้อยขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของหลินมู่อวี่ มันเลียฝ่ามือเจ้าของด้วยลิ้นเล็กๆ ราวกับลูกสุนัข หางที่ห่อหุ้มด้วยเกล็ดผลึกสีแดงกวัดแกว่งไปมาอย่างเชื่องช้า บ่งบอกว่ามันกำลังมีความสุข
หลินมู่อวี่ได้ทำพันธะวิญญาณกับมังกรน้อยแล้ว และความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณของมังกรน้อยก็ไม่ได้น้อยกว่าหลินมู่อวี่ ดังนั้นจึงเข้ากันได้เป็นอย่างดี
หลินมู่อวี่ตื่นขึ้นอย่างมีความสุขก่อนจะเดินไปหยิบไก่ฟ้าออกจากกรงหนึ่งตัว หลินมู่อวี่พลันใช้กระบี่วิญญาณมังกรตัดหัวไก่อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนขนและทำความสะอาดเพื่อนำไปเป็นอาหารมื้อแรกของมังกร ทว่าขณะที่หลินมู่อวี่หันหลัง มังกรน้อยก็ตะครุบไก่ฟ้าลงกับพื้นก่อนจะกลืนลงไปทั้งตัว
“เอาจริงเหรอ…”
หลินมู่อวี่พูดไม่ออกเล็กน้อย วิธีการกินแบบนี้ไม่ป่าเถื่อนเกินไปหน่อยหรือ? ทว่าเมื่อครุ่นคิดก็พบว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เดิมทีมังกรเป็นราชาแห่งสัตว์ร้าย ท้ายที่สุดมันก็ยังคงเป็นสัตว์อสูรอยู่ดี และพวกมันก็กินแบบนี้เป็นเรื่องปกติ หากหลินมู่อวี่เตรียมอาหารจานใหญ่ให้ มังกรน้อยก็คงกินหมดทันทีซึ่งเป็นธรรมชาติของมังกร
ขณะเดียวกันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมเสียงของเหล่ยหง “อาอวี่ตื่นหรือยัง? เกิดอะไรขึ้น? ท่านฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนหนึ่งในองครักษ์อวี้หลินมาหาเจ้า!”
หลินมู่อวี่ตกใจและรีบส่งสัญญาณให้มังกรน้อยซ่อนตัว
‘กี้!’
มังกรน้อยอ้าปากประท้วงราวกับมันยังไม่อิ่ม แต่ก็รีบไปซ่อนตัวพร้อมไก่อีกครึ่งหนึ่งใต้เตียง
…
หลินมู่อวี่เดินไปเปิดประตูและกล่าวอย่างเคารพ “ผู้ดูแล เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดพี่ฉู่จึงมาหาข้าตั้งแต่เช้า?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เหล่ยหงถือไม้เท้าของผู้ดูแลในมือ เขากราดตามองอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้า…มีแขกอยู่ที่นี่หรือ?”
“ไม่ขอรับ…”
“โอ้ เช่นนั้นเหรอ?”
เหล่ยหงเหล่ตามอง “แม้ว่าฌานสัมผัสของปู่จะไม่ไวเท่าเจ้า ทว่าก็ยังเป็นรากฐานของพลังยุทธ์ขอบเขตปราชญ์ อาอวี่…มีรัศมีมังกรอันทรงพลังอยู่ในห้อง เจ้ารู้ใช่หรือไม่?”
หลินมู่อวี่จนปัญญาจึงพูดเสียงแผ่วเบา “เช่นนั้นท่านปู่เชิญเข้ามา!”
เมื่อเหล่ยหงเดินเข้ามาหลินมู่อวี่ก็ปิดประตูทันทีก่อนจะส่งเสียงเรียกแผ่วเบา จากนั้นมังกรตัวน้อยก็คลานออกมาพร้อมแลบลิ้นและมีขนไก่ติดที่มุมปาก มังกรน้อยมองเหล่ยหงด้วยดวงตากลมโตพร้อมส่งเสียงคำราม ทว่าเสียงของมันนุ่มนวลฟังดูไม่เหมือนเสียงคำรามของมังกรและเหมือนกับลูกสุนัขแทน!
สำหรับเหล่ยหง…เขาเป็นถึงผู้ดูแลที่ชาญฉลาดแห่งวิหารศักดิ์สิทธิ์!
เขาแอบตกใจขณะจ้องมองมังกรน้อยชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับไปถามหลินมู่อวี่ “นี่…มังกรตัวนี้มาจากที่ใด?”
“ข้าซื้อมันมาด้วยสองหมื่นเหรียญทองจากร้านค้าแห่งจักรวรรดิ กล่าวกันว่าเป็นไข่มังกรที่ขุดมาจากบริเวณภูเขาไฟ คงมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหมื่นปี โชคดีที่ข้าฟักมันได้” หลินมู่อวี่บอกความจริง
เหล่ยหงดูตื่นเต้นมากขณะที่กล่าวว่า “อาอวี่ นี่มันน่าตื่นตกใจเกินไปสำหรับแผ่นดินนี้…เจ้ารู้หรือไม่ว่ามังกรผลึกโลหิตเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามังกรศักดิ์สิทธิ์โบราณ และเป็นรองแค่มังกรห้ากรงเล็บเท่านั้น ซึ่งมังกรผลึกโลหิตสูญพันธุ์ไปนานแล้วพร้อมกับมังกรห้ากรงเล็บ แต่เจ้า…เจ้ากลับได้มันมาครอบครอง วิเศษมาก!”
หลินมู่อวี่ตกตะลึง “ท่านผู้ดูแลอาวุโส หากข้าจะนำมังกรตัวนี้ออกไปด้านนอก มันจะ…โดดเด่นเกินไปหรือไม่?”
“ไม่เลย” เหล่ยหงลูบเคราขาวและเผยยิ้ม “มังกรผลึกโลหิตในตอนเด็กไม่แตกต่างจากซาลาแมนเดอร์มากนัก มันจะแสดงพลังมังกรที่แท้จริงก็ต่อเมื่อโตเต็มวัยเท่านั้น หากเจ้าจะพามันออกไปด้วย เจ้าเพียงต้องโกหกว่ามันเป็นซาลาแมนเดอร์ ข้าเชื่อว่าคนทั่วไปคงไม่สามารถเห็นถึงความแตกต่าง ทว่าจะดีกว่าหากให้มันอยู่ห่างไกลจากผู้คน ช่างน่าเสียดาย…”
“เสียดายหรือขอรับ?”
“มังกรผลึกโลหิตเป็นหนึ่งในมังกรโบราณ ต้องใช้เวลาเป็นหมื่นปีกว่าจะโตเต็มวัย น่าเสียดายที่เจ้าไม่สามารถรอได้นานถึงเพียงนั้น แม้ว่าเจ้าอาจรอได้ถึงร้อยปี มันก็ยังคงเป็นมังกรเด็ก”
“ข้าจะออกไปแล้ว…” หลินมู่อวี่ลอบถอนหายใจ “ท่านผู้ดูแล ข้าสามารถนำมังกรผลึกโลหิตตัวนี้ออกไปนอกที่พักได้หรือไม่?”
“คงดีกว่าหากไม่นำมันไปด้วย ข้าจะคอยดูแลให้เอง ไปหาฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเถิด เขามีท่าทีร้อนรน ต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่”
“ขอบคุณขอรับท่านปู่!”
…
หลินมู่อวี่ใช้ฌานสัมผัสสั่งให้มังกรน้อยอยู่ในห้องและห้ามออกไปด้านนอก ส่วนไก่ฟ้าสามารถกินได้เท่าที่ต้องการ มังกรน้อยพลันเชิดหน้าขึ้นพร้อมส่งเสียงเล็กตอบรับ เหล่ยหงนั่งยิ้มอยู่บนเตียงขณะที่ลูบหัวมังกรน้อย เขาพึมพำออกมา “เจ้ามังกรน้อย หากเจ้าเกิดก่อนสักหลายพันปี วิหารศักดิ์สิทธิ์คงสามารถพึ่งพาเจ้าได้ ช่างน่าเสียดาย…”
หลินมู่อวี่ในชุดเกราะวิหารเดินออกไปบนทางเดินพร้อมกระบี่วิญญาณมังกรที่หลัง ดูเหมือนว่าฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนจะไม่สามรถอดทนรอได้ พวกเขาจึงจอกันบนทางเดิน ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนพุ่งเข้ามาหาด้วยท่าทางร้อนรน “อาอวี่ เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!”
“มีอะไรหรือพี่ฉู่?” หลินมู่อวี่สั่นสะท้านในใจ “หรือว่าพี่ฉู่เหยาประสบอุบัติเหตุ?”
“ไม่ อาเหยาสบายดี ทว่าเกี่ยวกับซูฉิน!”
“หือ? มิใช่ว่าแม่ทัพซูฉินกลับไปยังเมืองหยาดสายัณห์พร้อมกองทหารแห่งจักรวรรดิโดยพี่เฟิงเป็นผู้นำไปหรือ?”
“ข…เขาถูกลอบสังหาร!”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนใบหน้าเคร่งขรึม “เมื่อคืนที่ผ่านมาแม่ทัพซูฉินแห่งกองทัพจักรวรรดิเสียชีวิตแล้ว!”
หลินมู่อวี่ตกใจ “ป…เป็นไปได้อย่างไร…ใครกันที่สามารถฆ่าซูฉินท่ามกลางกองกำลังนับพันได้?”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนตอบกลับ “เฟิงจี้สิงนำกองทหารม้าหนักห้าพันนายบนถนนอวิ้นจงสายเก่าเพียงครึ่งทาง กองทัพเขี้ยวกระบี่ทั้งหมื่นนายก็ออกมาต้อนรับซูฉิน ดังนั้นหยุนกงจึงออกคำสั่งให้เฟิงจี้สิงยกทัพกลับเมืองหลันเยี่ยน ทว่าวันถัดไปแม่ทัพซูฉินนำทหารห้าร้อยนายเข้าป่าล่ามังกรเพื่อล่าสัตว์ เขาถูกกลุ่มสำนักอัศวินสองพันคนเข้าจู่โจม หลายคนในนั้นมีพลังยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เมื่อหยุนกงนำทหารมาถึงก็พบว่าแม่ทัพซูฉินและทหารทั้งห้าร้อยนายนั้น…”
“ป…เป็นไปไม่ได้…”
หลินมู่อว่าส่ายหัวอย่างเชื่องช้าและพูดว่า “กองทัพเขี้ยวกระบี่ทั้งห้าร้อยนายไม่มีทางที่จะถูกทหารชำนาญการของสำนักอัศวินฆ่า…มันเป็นไปไม่ได้…”
“ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้”
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนลดเสียงลงและพูดว่า “ฝ่าบาทและองค์หญิงอินสงสัยว่านี่อาจไม่ใช่ฝีมือของสำนักอัศวิน แต่เป็นคนอื่นที่ใช้ชื่อสำนักอัศวินลงมือฆ่าซูฉิน
“เซี่ยงอวี้?” ดวงตาหลินมู่อวี่เบิกโพลง
ฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนไม่ตอบ เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ไปกันเถิด เข้าไปในตำหนักกับข้า ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์จะพบเจ้า!”
“อือ!”
…
ที่ด้านข้างวิหาร ทหารรักษาการณ์นำม้าของหลินมู่อวี่มาให้และกล่าวอย่างเคารพ “ท่านผู้ดูแล ม้าของท่านขอรับ”
หลินมู่อวี่พยักหน้ารับ “ขอบคุณ”
เขารีบขึ้นหลังม้าและควบออกไปตำหนักเจ๋อเทียนอย่างรวดเร็วพร้อมฉู่ฮว๋ายเหมี่ยน ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ค่อนข้างใหญ่ หลินมู่อวี่เชื่อว่าตนได้ช่วยชีวิตของซูฉินไว้แล้วในการต่อสู้ที่โรงเตี๊ยม และไม่ได้คาดคิดว่านั่นจะเป็นกลอุบายหรือการเดินหมากผิด ทว่าซูฉินในการคุ้มครองของทหารห้าร้อยนายกลับถูกลอบสังหารเช่นเดิม!
ตำหนักเจ๋อเทียนเงียบสงบและเยือกเย็น ทั้งสองรีบควบม้าไปที่นอกโถงก่อนจะลงจากม้า ขันทีผู้หนึ่งพลันกล่าวเสียงดัง “แม่ทัพองครักษ์ทิศใต้หลินมู่อวี่และแม่ทัพฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ภายในโถงหลัก ฉินจิ้นนั่งอยู่บนบัลลังก์ ขณะที่องค์หญิงอินและองค์หญิงซียืนอยู่เคียงข้าง ชวีฉู่ เฟิงจี้สิง และฉินเหลยก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน พวกเขาต่างเป็นคนใกล้ชิดของฉินจิ้นในตำหนักเจ๋อเทียน แม้แต่ข้าราชบริพารทั้งหมดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในบริเวณ ซึ่งบ่งบอกได้ถึงระดับการรักษาความลับของการเข้าพบครั้งนี้
หลินมู่อวี่และฉู่ฮว๋ายเหมี่ยนเดินเคียงข้างกันไปด้านหน้าของจักรพรรดิ หลินมู่อวี่พลันประสานหมัดและกล่าวว่า “เสด็จพ่อ”
ฉินจิ้นพยักหน้าและถามว่า “อาอวี่ เมื่อสามวันก่อนมีการต่อสู้อย่างดุเดือดกลางดึกที่โรงเตี๊ยมในเมืองหลันเยี่ยน มีคนลอบสังหารซูฉิน และอีกคนมาช่วยซูฉิน คนที่ช่วยซูฉินไว้ก็คือเจ้า”
หลินมู่อวี่ผงะ
ฉินจิ้นกระซิบ “อาอวี่ ตอบตามความจริง”
หลินมู่อี่พยักหน้า “เป็นข้าเอง”
ฉินจิ้นตกตะลึงก่อนจะเอ่ยถาม “ใครคือคนที่ลอบสังหารซูฉิน?”
“ผู้บัญชาการสารวัตรทหารเซี่ยงอวี้…”
“เจ้ามั่นใจหรือ?”
“ขอรับ”
หลินมู่อวี่สงบสติอารมณ์และพูดว่า “ข้ากับเซี่ยงอวี้ปะทะกัน และวิญญาณยุทธ์ของนักฆ่าคือพยัคฆ์เพลิงอัคนี อีกทั้งยังใช้พลังเก้าโกลาหล จึงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเซี่ยงอวี้ จอมยุทธ์รุ่นเยาว์ในเมืองหลันเยี่ยนยังไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะข้าได้อย่างง่ายดาย”
“หากเป็นเช่นนั้น…”
ฉินจิ้นกล่าวด้วยจิตสังหาร “เซี่ยงอวี้ห้าวหาญและทะนงตัว พึ่งพาชื่อเสียงในฐานะทายาทเทพทหารเซี่ยงเหวินเทียนจนกลายเป็นหยิ่งผยองเช่นนี้ ช่างน่าเกลียดชังยิ่งนัก! เฟิงจี้สิงเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เฟิงจี้สิงประสานหมัด “ฝ่าบาท แม้ว่าอาอวี่จะมั่นใจว่าเป็นเซี่ยงอวี้ ทว่าเราก็ไม่มีหลักฐานใด หากเซี่ยงอวี้ปฏิเสธคำพูดของหลินมู่อวี่ เราจะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? การลอบสังหารแม่ทัพซูฉินยังไม่ถูกเผยแพร่ออกไป เหล่าทหารจากสำนักอัศวินก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และไม่สามารถติดตามได้ หากเราสอบสวนเซี่ยงอวี้ถึงเหตุการณ์ครานี้ อาจจะทำให้ชื่อเสียงเสียหายได้พ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้นฉินจิ้นก็ตบเก้าอี้และกล่าวอย่างแค้นเคือง “เช่นนั้นข้าจะต้องปล่อยให้เซี่ยงอวี้ฆ่าแม่ทัพของข้าเฉยๆ และทำอะไรไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
เฟิงจี้สิงพลันคุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อมมิได้หมายความเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นเถิด”
ฉินจิ้นพลันลูบหัวคิ้วและพูดว่า “ซูฉินเป็นท่านลุงของเสี่ยวอินและเป็นพี่ชายของจักรพรรดินีซูอวิ๋น การตายของซูฉินครานี้จะทำให้ทั้งแผ่นดินตื่นตระหนก เราจำเป็นต้องทำบางสิ่ง…อาวุโสฉู่ ท่านเป็นอาจารย์ขององค์หญิง ท่านคิดว่าควรทำอย่างไร?”
ชวีฉู่ประสานมือกล่าวว่า “ควรตรวจสอบการเคลื่อนไหวทั้งหมดของเซี่ยงอวี้ในช่วงสามวันที่ผ่านมาอย่างละเอียด อีกทั้ง…ส่งคนไปปลอบขวัญหยุนกง การสูญเสียลูกชายในวัยชราเช่นนี้ คงเป็นความเจ็บปวดแสนสาหัสพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินจิ้นพยักหน้ารับ “เฟิงจี้สิง ข้ามอบสิทธิ์ให้เจ้าใช้อำนาจสั่งการทหารอวี้หลินในการตรวจสอบเซี่ยงอวี้ ฉินเหลยเตรียมของบรรณาการและราชโองการไปที่เมืองหยาดสายัณห์เพื่อปลอบขวัญหยุนกงพร้อมเลื่อนยศซูฉินเป็นเสินโหว และละเว้นการเก็บส่วยเขตอวิ้นจงเป็นเวลาหนึ่งปี”
เฟิงจี้สิงและฉินเหลยประสานมือและกล่าวพร้อมกัน “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท!”
หลินมู่อวี่ตกใจก่อนจะเอ่ยถาม “เสด็จพ่อ แล้วข้าล่ะ?”
ฉินจิ้นมองไปที่หลินมู่อวี่และพูดว่า “แม่ทัพซูฉินถูกลอบสังหาร แต่เดิมเสี่ยวอินน้องสาวของเจ้าและพ่อจะต้องไปร่วมพิธีศพ ทว่าพ่อแก่เกินไปและสุขภาพไม่ดีคงไม่สามารถเดินทางเป็นเวลานานได้ เฟิงจี้สิงและฉินเหลยต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน ดังนั้นเสี่ยวอินจึงไม่สามารถไปร่วมพิธีศพคนเดียวได้ มันไม่ปลอดภัย อาอวี่เจ้าจะต้องอยู่กับน้องสักสองสามวัน หากนางต้องการทำสิ่งใด ก็ตามใจนางเถิด ตอนนี้ข้าเหนื่อยเหลือเกิน ข้าคงต้องขอตัว”
“ขอรับ”
……………………….