ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 223 เริ่มลงมือ

ตอนที่223 เริ่มลงมือ

ในไม่ช้าหวู่เสี่ยวหัวก็เดินตรงออกจากห้องทำงานและประกาศเสียงดังฟังชัดว่า

“อาล่ะทุกคน ตอนนี้โฟกัสกับโครงการฮวาหยินกรุ๊ปก่อน ติดต่อตามเบอร์นี้เพื่อขอข่าวเชิงลบมา และปล่อยตามสื่อต่างๆออกไปให้ได้มากที่สุด เพื่อกดราคาหุ้นและรอดูปฏิกิริยาตลาดก่อนเข้าซื้อ”

ทุกคนได้ยินดังนั้นก็ตกใจกัน จ้าวเฉียนไปคุยอีท่าไหนทำไมหวู่เสี่ยวหัวถึงอนุมัติโครงการนี้ได้

ตามหลักเกณฑ์การพิจารณาก่อนเข้าลงทุนของฟู่ไห่ เห็นได้ชัดว่าฮวาหยินกรุ๊ปไม่ผ่านคุณสมบัติที่กำหนัด ดังนั้นทุกคนจึงเอ่ยถามเธอทันทีด้วยความข้องใจ

“ประธานหวู่ แต่ความสามารถในการกำไรของหฮาหยินกรุ๊ปถือว่าค่อนข้างแย่ อาจไม่คุ้มกับการลงทุนของเราได้นะครับ”

“ใช่แล้วค่ะ ไม่ว่าจะประเมินด้านไหน ฮวาหยินกรุ๊แกลับไม่ผ่านเกณฑ์สักข้อเลยนะคะ นี่อาจจะ…ส่งผลต่อโบนัสปลายปีของพวกหนูได้นะคะ…”

“ประธานหวู่ลองพิจารณาอีกครั้งเถอะครับ จ้าวเฉียนเพิ่งย้ายมาทำงานที่สายนี้ ประสบการณ์อาจไม่มากพอ เลยมองเกมธุรกิจไม่ขาด พวกเรามาช่วยเขาฝึกใหม่กันดีกว่าครับ”

……..

หวู่เสี่ยวหัวคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่า ทุกคนต้องหงายหน้าพูดแบบนี้กัน จึงขอให้ทุกคนเงียบก่อนและอธิบายให้ฟังว่า

“พวกเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ จ้าวเฉียนอาสารับผิดชอบโครงการนี้เอง อันนี้ถือเป็นเงินบริษัทส่วนตัวที่ลงทุนเพื่อช่วยเขา ไม่ว่าผลประกอบการของฮวาหยินกกรุ๊ปจะเป็นยังไง มันไม่กระทบกับเงินโบนัสพวกเธอแน่นอน สบายใจได้”

เมื่อหวู่เสี่ยวหัวอธิบายไปแบบนั้น ทุกคนก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ จ้าวเฉียนเพิ่งเข้ามาในบริษัทนี้ได้ไม่นาน แต่ทำไมบริษัทถึงต้องออกตัวสนับสนุนเงินทุนส่วนตัวช่วยเหลือขนาดนี้?

“ประธานหวู่ ทำไมบริษัทถึงต้องช่วยเขาขนาดนี้? เขาเป็นแค่พนักงานใหม่ไม่ใช่เหรอ?”

“แหม แหม ประธานหวู่ เห็นหนุ่มหล่อเป็นไม่ได้เลยนะครับ ใจกว้างขึ้นมาเชียว”

“ฮ่าฮ่า…”

หวู่เสี่ยวหัวกลอกตามองบนเล็กน้อย เอ่ยตอบทันทีน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“เอาล่ะ หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว! รู้แค่ว่าจ้าวเฉียนมีจากสำนักงานใหญ่คอยช่วยเหลืออยู่ก็พอ แค่ว่าไม่อนุญาตให้บอกใครต่อ เข้าใจไหม? รีบแยกย้ายกลับไปทำงาน ถ้าแอบนินทาเรื่องนี้กัน มีลางถึงหูประธานสาขาใหญ่แน่ ถึงตอนนั้นถ้าอดโบนัสจริงก็อย่าโทษฉันก็แล้วกัน”

ทุกคนได้ยินดังนั้นต่างรีบพยักหน้าแยกย้ายทำให้หน้าของตัวเองโดยไว

เช้าวันรุ่นขึ้น พาดหัวข่าวประเด็นร้อนแรงที่สุดคงหนีไม่พ้น งบการเงินทุจริตที่ฮวาหยินกรุ๊ปปกปิดเอาไว้

“ฮวาหยินกรุ๊ป ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฉ้อโกงทางการเงิน”

“เพื่อขจัดความอันตรายที่อาจกระทบต่อบริษัท ฮวาหยินกรุ๊ปปกปิดทรัพย์สินบางส่วนไว้ในนามบุคคลธรรมดา”

“ฮวาหยินกรุ๊ปงานเข้า! ชุบมือเปิปขณะที่เฟยอวี่กรุ๊ปวิกฤต ซื้อลิขสิทธิ์โครงการมากมายในราคาที่ต่ำ ส่งผลให้ผู้ถือหุ้นน้อยใหญ่ของเฟยอวี่กรุ๊ปขาดทุนกว่า120,000ราย”

“คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์แห่งประเทศจีน จ่อเข้าสอบสวนฮวาหยินกรุ๊ป!”

……….

พาดหัวข่าวจากสื่อแต่ละสำนักดูน่าตกใจอย่างมาก ทำให้หุ้นฮวาหยินปรุ๊ปร่วงในพริบตาตั้งแต่เริ่มเปิดตลาด

เวลาประมาณ9:15น. ราคาหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปดิ่งกระแทกแนวรับ นับเป็นจุดต่ำสุดในตลอดหลายปี

หวานเจียงวิ่งหัวหมุนตั้งแต่เช้า หลังได้รับสายจากเลขา เธอรีบเข้าตรวจสอบหุ้นของบริษัทและเปิดอ่านข่าวที่เกิดขึ้นในรอบวันทันที ซึ่งนี่ทำให้เธอโมโหอย่างยิ่ง

จู่ๆก็มีข่าวเชิงลบกระหน่ำเข้ามามากมายขนาดนี้ มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่นอน และคนแรกที่หวานเจียงนึกถึงก็คือจ้าวเฉียน

เธอโทรศัพท์หาจ้าวเฉียนทันที ตะคอกถามด้วยความโกรธว่า

“จ้าวเฉียน! นี่นายจะเอาแบบนี้จริงๆใช่ไหม? ข่าวทั้งหมดในวันนี้เป็นฝีมือนาย?”

จ้าวเฉียนกล่าวตอบตามตรงอย่างหน้าไม่อายว่า

“ฉันเอง มีอะไรงั้นเหรอ?”

หวานเจียงยิ่งโกรธเป็นฝืนเป็นไฟ กรนด่าสาปแช่งไม่หยุดหย่อน

“ไอ้สารเลว! นายมันบ้า!”

“ไม่ ไม่ เธอจะพูดแบบนี้ก็ไท่ถูกนะ พวกเราเป็นศัตรูกันไม่ใช่เหรอ? นี่ก็เป็นวิธีแข่งขันกันปกติ แปลกตรงไหน?”

“ไร้ยางอาย! ถ้าจะแข่งกันก็แข่งกันแบบยุติธรรม! ไม่ใช่ใช้วิธีสกปรกแบบนี้มารังแกกัน! อย่าลืมนะว่าพวกเรายังมีสัญญาความร่วมมืออยู่! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉวาหยินกรุ๊ป เงินลงทุน150ล้านของนายก็สูญเปล่าไปด้วยเหมือนกัน! นายมันปัญญาอ่อนรึเปล่า?”

หวานเจียงตะคอกใส่อย่างไม่หยุดหย่อน

แต่จ้าวเฉียนกลับไม่ได้สนใจเลย เขายังคงปริปากตอบอย่างใจเย็นว่า

“ฉันเพิ่งเซ็นสัญญาไป ยังไม่ได้โอนเงินให้สักหน่อย ถ้ามีข่าวเชิงลบเข้ามาโจมตีฮวาหยินกรุ๊ปขนาดนี้ ผมก็มีเหตุผลมากพอที่จะฉีดสัญญาความร่วมมือได้เช่นกัน จะขึ้นศาลก็ได้นะ ฉันจะได้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากเธอ!”

หวานเจียงทั้งแค้นทั้งโกรธจนร้องไห้ออกมา เธอกรนด่าสาปแช่งจ้าวเฉียนทั้งน้ำตาแบบนั้นว่า

“จ้าวเฉียน! นายทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ! ฉันคิดว่านายเป็นคนดีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าหลับหลังนายจะเลวได้ขนาดนี้! แก…แกมันชั่วยิ่งกว่าหยางหมิงอีก ไปตายซะไปไอ้ชาติชั่ว!”

หลังจากพูดจบหวานเจียงก็ตัดสายทิ้งไปทันที และรีบระดมผู้บริหารระดับสูงมาประชุมเพื่อหาแนวทางการแก้ไข

จ้าวเฉียนโทรสายหาหยางหู่ต่อโดยไว และสั่งให้เขาแจ้งกับสื่อหลักทุกสำนักและเว็บไซต์ทุกช่องทางว่า ไม่อนุญาตให้ฮวาหยินกรุ๊ปออกข่าวชี้แจงหรือแก้ต่างใดๆเด็ดขาด

หวานเจียงและทีมงานของเธอใช้เวลากว่าสองชั่วโมงเพื่อพยายามหาทางแก้ไขปัญหา แต่ในที่สุด ไม่มีสื่อสักเจ้าให้ความร่วมมือกับเธอเลย โดยให้เหตุผลแค่ว่า ไม่สะดวกที่จะเผยแพร่ข้อมูลดังกล่าว แม้แต่เว็บไซต์บนโลกอินเตอร์เน็ตก็อ้างว่า ทากรมควบคุมเทคโนโลยีไม่อนุญาตให้พวกเขาลงข่าวของฮวาหยินกรุ๊ปได้ในช่วงเวลานี้

นี่ใกล้เวลาจะปิดตลาดหลักทรัพย์แล้ว ยังไม่มีประกาศหรือคำอธิบายใดๆจากฮวาหยินกรุ๊ปออกมา ซึ่งนี่ทำให้นักลงทุนรายย่อยทั้งหลายหัวเสียกันอย่างมาก และแสดงความคิดเห็นต่างๆลงบนโลกอินเตอร์เน็ตว่อนไปหมด

เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม คำชี้แจงของฮวาหยินกรุ๊ปเพิ่งได้รับกับอนุมัติและถูกเผยแพร่ออกมาในที่สุด อย่างไรก็ตาม ทุกสำนักข่าวกลับนำเสมอออกมาได้คลุมเครือ อธิบายแบบสองแง่สองง่ามไม่มีความชัดเจน

หลังจากหวานเจียงได้ดูข่าวพวกนี้ เธอก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ ทั้งๆที่เธอให้หลักฐานและคำชี้แจงที่ชัดเจนมากแล้ว แต่ทำไมนักข่าวเหล่านั้นถึงอธิบายออกมาแย่มาก? เธอรีบเข้าไปยังเว็บไวต์ข่าวเหล่านั้นเพื่อเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงออกไป พร้อมเรียกร้องขอความเป็นธรรม แต่ไม่นานข้อมูลเหล่านั้นของเธอก็ถูกลบออกไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ

ในจุดนี้ ราวกับว่าทุกคนกำลังรุมกลั่นแกล้งฮวาหยินกรุ๊ปของเธออยู่

หลังจากซึมเศร้าอยู่นานกว่าชั่วโมง หวานเจียงตัดสินใจโทรหาจ้าวเฉียนอีกครั้ง

“ไอ้สารเลว แกต้องการอะไรกันแน่? นี่แกใช้เงินไปเท่าไหร่ถึงทำให้พวกสื่อเชื่องได้ขนาดนี้? นี่ยอมจ่ายเงินขนาดนี้เพียงเพื่อแก้แค้นฉันนี่นะ? นี่แกอาฆาตอะไรฉันนักหนา?”

หวานเจียงกล่าวถามด้วยความโกรธเคือง

น้ำเสียงของจ้าวเฉียนยังแลดูสงบเสงียมทำราวกับทองไม่รู้ร้อนเหมือนเคย เขาตอบกลับอย่างใจเย็นไปว่า

“นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันจะนอน ถ้าไม่มีเหตุด่วนเหตุร้ายอะไรก็เลิกโทรมากวนได้แล้ว น่ารำคาญ”

“ไอ้เลว! แกเชื่อไหมว่า ฉันจะกลับไปคืนดีกับหยางหมิง แต่ร่วมมือโค่นแกลง! แกทำให้ฉันโกรธจริงๆแล้วนะ!”

หวานเจียงตะวาดเสียงดังลั่น มือไม้สั่นเทาไปหมด โกรธจัดจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

ท่าทีของจ้าวเฉียนเริ่มดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย เขาตอบกลับไปว่า

“ก็ตามใจ แต่สุดท้ายเธอมันก็แค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง พอถึงทางตันก็ร้องไห้กลับไปซบไข่ผู้ชาย ยืมมือคนอื่นเพื่อแก้ปัญหา จะร่วมมือกับใครก็ร่วมมือเถอะ ในสายตาฉัน เธอมันไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว รีบๆไปซบหยางหมิงแล้วขอให้เขาช่วยแล้วกันนะ ฉันจะแนะนำอะไรให้อีกอย่าง ลองบีบน้ำตาเยอะๆดู เผื่อหมอนั้นจะสงสารมากขึ้น ฮ่าฮ่าๆๆ….”

จ้าวเฉียนจงใจกระตุ้นหวานเจียงเพื่อให้เธอลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง

เธอกรนเสียงกัดฟันตอบไปทันทีว่า

“ได้! นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลย แกทำแบบนี้กับฉันได้ ฉันก็ทำแบบนี้กับแกได้เหมือนกัน! แล้วทำได้ดีกว่าด้วย!”

จ้าวเฉียนหัวเราะและตอบกลับไปว่า

“ตกลง! งั้นฉันจะคอยดูว่าบริษัทให้จัพินาศก่อนกัน! มีอะไรจะพล่ามอีกไหม? ฉันจะนอน”

หวานเจียงคำรามทิ้งทวนไปว่า

“จ้าวเฉียน! ต่อจากนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นศัตรูกัน!”

คล้อยหลังตะคอกจบเธอก็กดตัดสายทิ้งไปทันที

จ้าวเฉียนไม่ได้รีบร้อนอะไรอยู่แล้ว ตราบใดที่เขาสามารถควบคุมฮวาหยินกรุ๊ปได้ เขาก็ยังมีเวลาค่อยๆเล่นสนุกกับหวานเจียง

หวานเจียงขอร้องให้พ่อของเธอช่วยใช้เส้นสายที่มีทั้งหมดโดยเร็ว เพื่อซื้อใจสื่อต่างๆให้กลับมาอยู่ข้างเดียวกับพวกเธออีกครั้ง และใช้ช่องทางนี้เพื่อชี้แจ้งข้อแก้ต่างของฮวาหยินกรุ๊ป

ทว่าแม้แต่คนพวกนี้ที่เรียกได้ว่าสนิทสนมกันมานาน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีความสุภาพกับหวานหลินเลยแม้แต่น้อย กระทั่งรับสายยังไม่รับเลยด้วยซ้ำไป

หวานหลินถึงกับสงสัยอย่างยิ่งว่า จ้าวเฉียนเป็นแค่สตาร์ทอัพตัวเล็กๆเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมีเส้นสายที่แข็งแกร่งถึงปานนี้? สามารถปิดปั้นสื่อทุกช่องทางไม่ให้ฮวาหยินมีโอกาสออกมาแก้ต่างเลยสักนิด

วันต่อมา หวานเจียงนั่งจ้องกราฟหุ้นฮวาหยินกรุ๊ปที่กำลังจะทะลุแนวรับลงไปอีก เธอถึงขีดจำกัดแล้วและไม่สามารถทนดูมันต่อไปได้อีก ลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานปลึกวิเวกเปลี่ยนบรรยายกาศเพื่อสงบสติอารมณ์ลง

ถ้าการฟหุ้นยังดิ่งลงไปแบบนี้เรื่อยๆ มันจะกระทบถึงทรัพย์สินส่วนตัวของครอบครัวเธอได้ และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผู้ที่ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของฮวาหยินกรุ๊ปอย่างหวานหลิน ถ้ายังถือแบบนี้ต่อไปอาจไม่เหลือเงินกลับมาเลยก็ได้ สุดท้ายนี้มีให้เลือกอยู่สองทาง จะยอมถือแบบนี้ต่อไปจนล้มละลาย หรือขายขาดทุนออกไปเพื่อชักเงินสักก้อนกลับมา

หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว หวานเจียงจึงเรียกประชุมบรรดาผู้ถือหุ้นสามัญราใหญ่ทั้งหมดมาโดยด่วน เพื่อหามาตรการแก้ไขโดยทันที

ในอีกด้านหนึ่ง จ้าวเฉียนก็เริ่มถยอยกว่านซื้อหุ้นอย่างลับๆ

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี

Status: Ongoing
เนื้อเรื่องย่อ จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้ ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา! “ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที” “เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว” “ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?” “ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!” “ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset