ตอนที่261 ไปชิงตัวเจ้าสาวมาจากไหน
หวานเจียงเอ่ยถามทันทีเจือน้ำเสียงแผ่วอ่อน
“จ้าวเฉียน บอกความจริงฉันมาเดี๋ยวนี้นะ ครอบครัวของนายทำธุรกิจอะไรกันแน่? พ่อนายเป็นประธานบริษัทระดับรัฐวิสากกิจหรือรับราชการระดับสูงงั้นเหรอ?”
จ้าวเฉียนส่ายหัวและเอ่ยตอบอย่างเฉยเมยว่า
“ก็เปล่าหนิ พ่อฉันก็แค่นักธุรกิจธรรมดาทั่วไป”
หวานเจียงทำใจเชื่อไม่ลงแม้สักนิด นักธุรกิจธรรมดาทั่วไปที่ไหนมีปัญญาขับรถหรูแถมยังใช้ป้ายทะเบียนแพงระบมขนาดนี้?
จ้าวเฉียนยิ้มพลางเอ่ยถามกลับไปว่า
“นี่เธอหมายความว่ายังไงกันห่ะ? ถึงทำสีหน้าใส่แบบนั้น? ไม่ใช่หลงคิดไปว่า ครอบครัวของฉันเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านอะไรแบบนั้นหรอกนะ? เธอคิดผิดแล้ว พวกเราก็แค่ครอบครัวธรรมดา พอกินพอใช้”
หวานเจียงที่ได้ยินดังนั้นยิ่งเดือดจัด คำพูดของจ้าวเฉียนกับสิ่งที่เธอเห็นมันคนละเรื่องกันเลย
คนขับรถที่กำลังใจจ่อใจจ่ออยู่บนท้องถนนถึงกับหลุดขำออกมาฉับพลัน กับคำพูดของจ้าวเฉียน
หวานเจียงรู้สึกอายเป็นอย่างมาก เธอเป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยินกรุ๊ป แต่จ้าวเฉียนกลับปฏิบัติกับตัวเธอราวกับเด็กสาวตัวน้อยที่ไม่เคยผ่านโลกมาอย่างใดอย่างนั้น แม้กระทั่งคนขับรถของเขายังหลุดขำออกมา
จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รีบเอ่ยปากของโทษหวานเจียงโดยไว
“ผมขอโทษ ผมผิดอีกแล้ว เดี๋ยวอีกสักพักก็ถึงบ้านแล้วนะ แม่ฉันอุตสาห์แสดงฝีมือทำอาหารเตรียมรอเธออยู่”
หวานเจียงมุ่ยหน้าบ่นตอบไปว่า
“ฉันไม่เชื่อหรอก ระดับแม่นายเป็นคุณหญิงไฮโซจะตายไป ดาได้เลยว่า มือของเธอไม่เคยผ่านความร้อนหรือน้ำมันลวกเลยด้วยซ้ำ แล้วเธอจะทำอาหารรอฉันได้ยังไง? นายอย่าหลอกฉัน!”
“ที่เธอพูดไปก็ถูกนั้นแหละ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะเธอคือลูกสะใภ้ในสายตาเขาไง ถึงยอมลงทุนเข้าครัวทำอาหารเองแบบนี้ นี่เธอจะใจร้ายถึงขั้นปฏิเสธอาหารที่แม่ฉันทำออกมาสุดฝีมือเลยเหรอ?”
หวานเจียงระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น พอได้ฟังแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าเธอจะอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด
ไม่นานคนขับก็ตรงมาถึงบ้านของจ้าวเฉียน
พอจอดตรงเนินเขา คนขับก็หันมากล่าวกับจ้าวเฉียนอย่างสุภาพขึ้นว่า
“คุณชายจ้าวครับ ให้ผมขับขึ้นไปหรือเดินเท้าไปกันเองดี?”
จ้าวเฉียนที่เห็นว่า ทั้งพ่อทั้งแม่ของเขายังเดินขึ้นเขาเองได้ แถมหวานเจียงก็ใช่ว่าจะพิการสักหน่อย ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปว่า
“เดี๋ยวพวกเราขึ้นไปเอง”
คล้อยหลังพูดจบ เขาก็เปิดประตูเดินลงมาจากรถ ช่วยหวานเจียงถือกระเป๋าเดินทาง พาเธอขึ้นไปบนภูเขา
เวลานี้ ภายในใจของหวานเจียงสั่นระรัวไม่เป็นจังหวะแล้ว ครอบครัวของจ้าวเฉียนไม่ใช่พวกคนรวยธรรมดาจริงๆด้วย! แต่บ้านเขาอยู่บนภูเขาส่วนตัว! พอเห็นแบบนี้หวานเจียงรู้ได้ทันทีว่า ภูมิหลังของจ้าวเฉียนคนนี้สุดจะหยั่งถึงได้แล้ว บางทีพวกเขาอาจเป็นครอบครัวเชื้อพระวงศ์เก่าไม่ก็ขุนนางในสมัยโบราณ
หลังจากเดินขึ้นมาได้ประมาณห้านาที หวานเจียงก็คว้าตัวจ้าวเฉียนทันที
จ้าวเฉียนเหลือบหันมามองเธอและเอ่ยถามขึ้นว่า
“เป็นอะไร? เหนื่อยแล้วเหรอ?”
หวานเจียงส่ายหัวโดยไม่พูดไม่จา พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังประหม่าอยู่อย่างแน่นอน แต่คราวนี้จ้าวเฉียนไม่ได้อามรณ์เสียแบบก่อนหน้าอีกต่อไป เขากล่าวปลอบโยนเธอว่า
“พ่อกับแม่ฉันรอที่จะพบเธอจริงๆ ฉันไม่ได้พาเธอมาให้ขายหน้าสักหน่อย นอกจากนี้ถ้าพวกเขาเจตนาจะทำแบบนั้นจริงๆ ฉันนี่แหละจะค้านคนแรก”
หวานเจียงเงยหน้าขึ้นมอง เผยสีหน้าดูน่าสงสัยออกมา ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแกร่งแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังมีด้านที่อ่อนแอ
“นายอาจจะโกหกฉันก็ได้ พวกเขาเป็นพ่อแม่ของนายนะ แล้วนายจะกล้าค้านพวกเขาเพื่อฉันได้ยังไง? แล้วที่สำคัญ อย่าลืมไปสิว่า นายเพิ่งทะเลาะกับฉันนะเช้านี้ พ่อแม่ของนายไม่พอใจฉันแน่ ฉันว่า…ฉันควรกลับตั้งแต่ตอนนี้ดีกว่า!”
จ้าวเฉียนที่เห็นแบบนั้นก็รีบทิ้งกระเป๋าเดินทางในมือลง โผ่เข้าไปสวมกอดเธอทันทีในอ้อมแขน ค่อยยกมือลูบแผ่นหลังด้วยความอ่อนโยน
ในเวลาเดียวกัน บรรดาลูกพี่ลูกน้องทั้งหลายของจ้าวเฉียนก็วิ่งลงมาจากภูเขา พอเห็นทั้งสองกำลังสวมกอดกันแน่น จู๋จี๋กันอยู่ดูหวานชื่น แต่ละคนก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไลฟ์สด เผยแพร่ให้อวีกุยเฟยที่อยู่ด้านบนดู
“ฮ่าฮ่า…พี่สะใภ้ตัวจริงสวยมาก! เธอสวยจนบดบังออร่าความหล่อของพี่เฉียนไปเลยแหะ!”
“ฮ่าฮ่า…”
จ้าวฝู่ที่ดูทั้งสองกอดกันผ่านมือถือของอวีกุ้ยเฟิงก็ระเบิดหัวเราะออกมาทันทีอย่างมีความสุข ในท้ายที่สุดนี้ เขาที่เลี้ยงไอ้หมาน้อยจ้าวเฉียนมานานกว่ายี่สิบปี สุดท้ายก็ใช้ประโยชน์หวังพึ่งมันได้สักที
จ้าวเฉียนยังคงกอดหวานเจียงปลอบเธอไม่คลายอ่อน เธอที่สวมกอดเขาอยู่จู่ๆก็ดันไปเห็นบรรดาลูกพี่ลูกน้องของจ้าวเฉียนไม่ใกล้ไม่ไกล กำลังชูโทรศัพท์ถ่ายเธออยู่
จ้าวเฉียนรีบปลอบต่อทันทีว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องอาย แต่หวานเจียงจะไปเก็บอาการอยู่ได้ยังไง? เธอรีบผละออกจากตัวจ้าวเฉียน ร่นถอยสองสามก้าวออกไปโดยตรงพร้อมใบหน้าสีแดงฉ่า
พวกลูกพี่ลูกน้องเหล่านั้นระเบิดหัวเราะลั่น ตะโกนว่า
“พี่เฉียน แฟนพี่หน้าแดงหมดแล้ว! รีบไปช่วยเธอเร็ว ฮ่าฮ่า…”
ใบหน้าของหวานเจียงในตอนนี้แดงก่ำแทบจะระเบิดออกมาแล้ว เธอหันควับจ้องจ้าวเฉียนตาเขม็ง คำรามลั่นด้วยความโกรธจัดว่า
“ไม่ใช่ว่านายบอกเองรึไงว่า มีแค่คนในครอบครัว ไม่มีคนนอก!”
จ้าวเฉียนพยักหน้าตอบไปตามตรงว่า
“ก็ใช่ไง เฉพาะคนในครอบครัวไม่ได้เชิญคนนอกที่ไหนมา พวกเขาทั้งหมดเป็นญาติพี่น้องในครอบครัวของฉันเอง”
“แต่…แต่นายบอกเองว่า มีแค่พ่อกับแม่ไง?!”
หวานเจียงสวนกลับไป
จ้าวเฉียนอธิบายตอบกลับทันที
“ทีแรกฉันเองก็คิดว่า มีแค่พ่อแม่กับคุณปู่เฉยๆที่จะมาในวันเทศกาลไห้วพระจันทร์ แต่ที่ไหนได้ พอมาถึงกลับแห่กันมาทั้งวงศ์ตระกูล แหะ แหะ…”
หวานเจียงยืนค้างแข็งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพลันหันศีรษะมองลงไปยังตีนเขาทันที
จ้าวเฉียนที่รู้ทันจึงรีบตรงไปคว้าร่างเธอก่อน และกล่าวขึ้นว่า
“นี่เธอคิดจะทำอะไร? มาถึงขนาดนี้แล้ว ฉันไม่ให้เธอกลับหรอกนะ”
“ก็ฉันไม่ได้เตรียมใจอะไรมากเลย ถ้าพวกเขายิงคำถามใส่ฉันรัวๆขึ้นมา จะให้ฉันตอบยังไงกลับล่ะ? อย่างน้อยระหว่างทางที่มาก็ควรบอกฉันก่อน จะได้เตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน นี่มันกระทันหันเกิรไป…”
หวานเจียงพยายามสะบัดมือจ้าวเฉียนทิ้ง ดูแล้วอยากจะกลับท่าเดียว
ลูกพี่ลูกน้อยคนหนึ่งของจ้าวเฉียน ชื่อว่า หยวนเฟิงเฟิงรีบวิ่งเข้ามาคว้าแขนของหวานเจียงและ ยิ้มหวานกล่าวขึ้นว่า
“พี่สะใภ้ไปผิดทางแล้ว คฤหาสน์ของพวกเราอยู่บนยอดเขานะ เดี๋ยวหนูจะพาพี่ไปเอง”
ทันทีที่พูดจบหยวนเฟิงเฟิงก็ลากหวานเจียงขึ้นไปบนภูเขาทันที แต่เธอก็ยังพยายามใจดีสู้เสือ ยิ้มปฏิเสธท่าเดียว
หากเป็นก่อนหน้านี้ จ้าวเฉียนคงหัวเสียอีกครั้งไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาค่อนข้างใจเย็นขึ้นมาก หากมองในมุมหวานเจียง เธอมบินมาหยานจิ้งตัวคนเดียว ไม่รู้จักหรือมีญาติสักคนอยู่ที่นี่ ย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะรู้สึกกลัวและประหม่าขนาดนี้ ดังนั้นแล้ว เขาจึงรีบตรงเข้าไปปลอบโยนเธอด้วยความใจเย็น
“เสี่ยวเจียง เธอไม่ต้องคิดมากนะ ลูกพี่ลูกน้องฉันเป็นพวกอัธยาศัยดี พูดเก่งเฉยๆ ไม่มีใครจงใจทำให้เธออับอายขายหน้าหรอกนะ”
ท่าทีของหวนเจียงยังคงดูลังเล เธอไม่แน่ใจเลยว่าควรจะขึ้นไปบนเขาลูกนี้ต่อดีไหม เธอจึงตอบกลับไปว่า
“ไม่ ไม่จ้าวเฉียน ฉันยังเตรียมใจไม่พร้อมจริงๆ ตอนนี้ฉันรู้สึกประหม่าไปหมดแล้ว การที่ครอบครัวของนายอาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้ แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน บางที….บางทีพ่อแม่ของนายอาจจะดูถูกฉันก็ได้ ไม่เอาแล้ว ฉัน…ฉันขอตัวกลับก่อนดีกว่า ไว้พร้อมเมื่อไหร่ฉันจะมาหาใหม่นะ”
จ้าวเฉียนปราศจากความอดทนอีกต่อไป เขาพูดเรื่องเดิมๆมาซ้ำนับสิบรอบได้แล้ว และถ้าเธอยังเป็นแบบนี้ มีหวังเสียเวลาอยู่ตรงนี้ยันเย็นแน่นอน เป็นการดีกว่าที่เขาต้องใช้ไม้แข็งสักเล็กน้อย
โดยไม่พูดพล่ำอันใด จ้าวเฉียนช้อนตัวหวานเจียงอุ้มเธอขึ้นมาทันที
หวานเจียงร้องอุทานลั่นด้วยความตกใจ
“ว๊าย! จ้าวเฉียน! นายกำลังทำบ้านอะไรเนี่ย! ปล่อยฉันลง!”
เธอยกมือขึ้นทุบอกจ้าวเฉียนไม่หยุดไม่หย่อน แต่อย่างไรก็ยังไร้ผล เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะสู้กับแรงผู้ชายอย่างจ้าวเฉียนได้
พวกลูกพี่ลูกน้องโดยรอบระเบิดหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน หยวนเฟิงเฟิงรู้งานวิ่งตรงไปหยิบกระเป๋าเดินทางของหวานเจียง และวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาล่วงหน้าพลางตะโกนลงมาว่า
“พี่เฉียน เดี๋ยวหนูขึ้นไปเก็บกระเป๋าให้พี่สะใภ้เองค่ะ ไม่ต้องห่วง!”
จ้าวเฉียนตะโกนตอบกล่าวขอบคุณ และอุ้มหวานเจียงในอ้อมอกขึ้นไปบนยอดเขาโดยตรง
พวกลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆก็วิ่งติดตามทั้งคู่ขึ้นไป ตะโกนขึ้นเป็นระยะว่า
“พี่เฉียนสุดยอดไปเลย! เขามีแต่ล่อสาวเข้าถ้ำเสือ นี่เล่นจับอุ้มเข้าไปหน้าตาเฉย! พี่นี่ไอดอลผมเลย!”
จ้าวเฉียนกัดฟันวิ่งขึ้นไปถึงยอดเขาภายในอึดใจเดียว และก็เป็นอวี้กุยเฟิงและบรรดานลุงป้าน้าอาทั้งหลายที่ยืนต้อนรับการมาถึงของเธออยู่หน้าคฤหาสน์
เมื่อเห็นจ้าวเฉียนอุ้มหวานเจียงขึ้นมาทั้งแบบนั้น ทุกคนก็ระเบิดหัวเราะ
“ไอ้หมาน้อย แกไปลากเมียขึ้นมาจากไหน?”
“ฮ่าฮ่า…เจ้าหลานคนนี้ ทำอย่างกับไปชิงตัวเจ้าสาวจากคนอื่นมา ระวังลูกระวัง”
“สมแล้วที่เป็นพี่เฉียน! ชายผู้เปิดตัวแบบธรรมดาๆไม่เป็น! ฮ่าฮ่า…”
…….
จ้าวเฉียนเพิกเฉยต่อหน้าพวกเขาทุกคน และวิ่งผ่านเข้าไปในตัวคฤหาสน์ทันทีในชั่วพริบตา ก่อนจะวางตัวหวานเจียงลง
หวานเจียงในตอนนี้ยืนตัวแข็งทื่อย่างกับรูปปั้นหิน ใบหน้าแดงก่ำลามมาถึงใบหู ไม่ว่าเธอจะรู้สึกกลัว อึดอัดหรือเก้อเขินเพียงใดมันก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะภายใต้สถานการณ์ตอนนี้ ถึงจะอย่างวิ่งหนีออกไปเพียงใด ก็สายเกินไปแล้ว
“พี่สะใภ้ของพี่เฉียนสวยจัง ดูมีออร่าเปล่งประกายมาก สวยกว่าดาราบางคนอีก”
“ดูสวยกว่าในรูปเยอะเลย”
…..
ทุกคนรอบข้างต่างเอ่ยปากชื่นชมหวานเจียงไม่หยุดปาก ซึ่งนี่ช่วยบรรเทาความตึงเครียดแก่เธอค่อนข้างมาก
หวานเจียงลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกก เธอรีบปรับเปลี่ยนความคิดของเธอโดยไว นี่เป็นเรื่องปกติเวลาเผชิญหน้ากับสังคมใหม่ๆและคนที่ไม่รู้จัก แต่จะอย่างไร เธอเป็นถึงคุณหนูคนโตแห่งฮวาหยินกรุ๊ป ดังนั้นเธอควรมีมาดมากกว่านี้
หวานเจียงยิ้มและโค้งศีรษะให้อวีกุ้ยเฟิง พร้อมกล่าวอย่างสุภาพขึ้นว่า
“สวัสดีค่ะคุณน้า ไม่ได้พบกันนานเลยนะคะ”
อวีกุ้ยเฟิงหัวเราะพร้อมตรงเข้าไปกุมมือหวานเจียง เธอยิ้มกล่าวตอบไปว่า
“ใช่ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สวยขึ้นเป็นกองเลยนะ แล้วนี่เป็นไง? ชุดที่หนูเลือกให้วันนั้น จำได้ไหม?”
หวานเจียงเพิ่งสังเกตเห็นว่า ชุดที่อวีกุ้ยเฟิงใส่อยู่ในขณะนี้เป็นชุดเดียวกับที่เธอเคยเลือกให้เมื่อครั้งที่แล้ว
สิ่งเหล่านี้มันหมายความว่ายังไง? นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า อวีกุ้ยเฟิงยอมรับในตัวลูกสะใภ้คนนี้แล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น หวานเจียงก็ยิ่งรู้สึกผ่อนคลายลงเป็นอย่างมาก เธอรีบหันไปทักทายคนอื่นๆทันที
“สวัสดีค่ะทุกคน…”
“ฮ่าฮ่า…”
ทุกคนต่างหัวเราะอย่างมีความสุข บรรยากาศในตอนนี้ดูอบอุ่นกันเป็นอย่างยิ่ง