ตอนที่290 เลือกที่จะสู้
หัวเซินซวนโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน เสี้ยวพริบตาร่างของเขาล้มลงกับพื้น แววตาวิสัยทัศน์รอบข้างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำมืดและหมดสติไป พอเขาได้สติตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลเสียแล้ว
สมาชิกตระกูลหัวอยู่กับพร้อมหน้าพร้อมตากันในห้องพักส่วนตัว พอเห็นหัวเซินซวนได้สติฟื้นขึ้นมา ทุกคนก็รีบเร่งเอ่ยถามขึ้นทันทีว่า รู้สึกยังไงบ้าง
หัวเซินซวนหลับตาลงอย่างแผ่วเบา กล่าวขึ้นว่า
“ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว คนอื่นๆ ออกไปก่อนยกเว้น เซินกัง, เซินกัว, ฉีเฉินและฉีหมิง”
ทุกคนล้วนต้องปฏิบัติตามคำสั่งและออกไปจากห้องพักทันที เหลือแค่หัวเซินกัง หัวเซินกัว หัวฉีเฉินและหัวฉีหมิงเท่านั้นที่ยังอยู่
หัวเซียงตงมีลูกทั้งหมดห้าคน ประกอบด้วยลูกชายสามและลูกผู้หญิงสองคน
ลูกชายคนโตคือหัวเซินซวน ลูกชายรองคือหัวเซินกัง และลูกชายคนเล็กหัวเซินกัว
ปัจจุบันหัวเซินซวนเป็นผู้นำตระกูลหัว มีลูกสามคนและสองในสามเป็นลูกชายได้แก่ ลูกคนโตหัวฉีเฉินและหัวฉีหมิงซึ่งเป็นลูกคนสุดท้อง
การที่หัวเซินซวนขอให้ทั้งสี่คนนี้อยู่ก่อน ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าเขามีเรื่องสำคัญจะบอก
หัวเซินซวนหลับตากล่าวขึ้นว่า
“นั่งลงก่อน”
ทั้งสี่พยักหน้าและนั่งลงทันที
หัวเซินกังเอ่ยถามทันทีด้วยความเป็นห่วงว่า
“พี่ใหญ่ ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง? เรียกหมอมาตรวจซ้ำดีไหม?”
หัวเซินซวนส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าวตอบไปว่า
“ไม่เป็นไร ที่ฉันขอให้พวกนายสี่คนอยู่ก่อน เพราะฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องบอก ตอนนี้เรากำลังต่อสู้กับคนสกุลจ้าว และฉันกังวลว่าพวกมันจะต้องโจมตีเราแน่นอนในอนาคต แทนที่จะมานั่งรอความตาย เราต้องคิดแล้วว่าจะรับมือยังไง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของตระกูลหัวนับจากนี้…”
ทั้งสี่มองหน้าสบตากันไปมา ไม่มีใครกล้าเอ่ยกล่าวอะไรออกมาก่อน เรื่องนี้ฟังดูสำคัญเกินกว่าจะเสียมายาทเอ่ยกล่าวแสดงความเห็นได้ตามใจ
หัวเซินซวนที่เห็นไม่มีใครกล้าตอบ เขาจึงกล่าวขึ้นว่า
“เซินกัง แกอาวุโสสุดในนี้ พูดก่อนเลย”
หัวเซินกังใจหายวาบลงไปตาตุ่ม เหงื่อเย็นรินไหลจนชุ่มทั้งแผ่นหลัง เขาทั้งรู้สึกกดดันและหวาดกลัวในเวลาเดียวกันและบ่ายเบี่ยงตอบไปว่า
“พี่ใหญ่ เรื่องที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้มันเกินกว่าความสามารถของผมแล้ว ผมว่าควรถามความเห็นของน้องสามกับพวกลูกพี่ใหญ่จะดีกว่านะ”
หัวเซินกัวส่ายหน้าอานตอบสวนกลับไปทันที
“ผมเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับลูกชายทั้งสองคนของพี่ใหญ่แล้ว ส่วนพวกเราสองพี่น้องย่อมทำตามที่พี่ใหญ่สั่งอยู่แล้วไม่ต้องห่วง”
หัวเซินซวนได้ยินแบบนั้นก็เดือดมาก เดิมทีเขาแค่อยากฟังความคิดเห็นของน้องชายสองคนนี้ แต่ที่ไหนได้พวกมันคิดว่าตัวเองเล่นฟุตบอลอยู่รึไง ถึงได้ผลักความรับผิดชอบกันไปมา
หัวฉีเฉินกล่าวขึ้นทันทีว่า
“พ่อ ผมว่าเราควรใช้แผนระยะยาวในการรับมือดีกว่า เรายังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน เราไม่ควรเอาอนาคตของตระกูลหัวมาเดิมพันกับเรื่องอะไรพวกนี้เลย”
เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้สำหรับสิ่งที่หัวฉีเฉินกล่าวออกไป เพราะอย่างไร อีกไม่นานตระกูลหัวก็จะกลายมาเป็นของเขา และถ้าตระกูลหัวกับตระกูลจ้าวจะสู้กันจนตายไปข้างแบบนี้ ตระกูลหัวที่เขาจะต้องรับสืบทอดต่อจากนี้คงไม่ได้แข็งแกร่งอย่างในปัจจุบันแน่นอน
หัวฉีเฉินเลี่ยงการปะทะ แต่กลับมีบางคนไม่เห็นด้วย ซึ่งนั้นก็คือหัวฉีหมิง
ตามหลักจารีตประเพณีจีน ตำแหน่งผู้นำตระกูลรุ่นต่อไปจะตกเป็นของลูกชายคนโต ถ้าตระกูลหัวไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นซะก่อน คนที่ได้รับสืบทอดตำแหน่งนี้คงหนีไม่พ้นหัวฉีเฉิน
แต่ถ้าตระกูลหัวกับตระกูลจ้าวเกิดปะทะกันจนแตกเป็นเสี่ยงจริงๆ ในฐานะที่หัวฉีหมิงเป็นลูกชายคนสุดท้อง เขาเองจะได้รับมรดกของตระกูลไปส่วนหนึ่ง แม้ว่าทรัพย์สินที่มีไว้สำหรับจัดสสรแบ่งส่วนจะมีน้อยลง แต่สุดท้ายหนึ่งส่วนที่ว่านั้นก็จะตกเป็นของเขาอยู่ดี ทั้งหุ้นบริษัทอสังหาและท่าเรือจะตกเป็นของเขา แถมหัวฉีเฉินเองก็ใช่ว่าจะล้มละลาย เขาที่เป็นพี่ใหญ่ย่อมต้องได้สมบัติเช่นกัน นี่ถือเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
หัวฉีหมิงที่คิดได้ดังนั้นจึงกล่าวทันทีว่า
“พ่อครับ แต่ผมเห็นด้วยกับความคิดของพ่อนะ เราจะรอคอยความตายอยู่เฉยๆ แบบนี้น่ะเหรอ? เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วผมไม่คิดว่า พวกมันจะปล่อยพวกเราไปแน่นอน ถ้าเรายังทนให้พวกมันรังแกซ้ำแล้วซ้ำเล่า สักวันพวกมันจะยิ่งได้ใจ ทำลายตระกูลหัวของเราเข้าจริงๆ ศัตรูที่แข็งแกร่งไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเราที่ไม่ต่อต้านและนอนรอความตาย! การที่เราไม่ทำอะไรเลยก็เหมือนกับกบในกาน้ำร้อน ทนทรมานและรอวันตาย!”
ความเห็นของหัวฉีเฉินกับหัวฉีหมิงแตกออกเป็นสองฝั่ง นี่ยิ่งทำให้หัวเซินกังกับหัวเซินกัวไม่กล้าแสดงความเห็นเข้าไปใหญ่
หัวเซินซวนไม่ได้เอ่ยวิพากษ์ถึงความเห็นของลูกชายทั้งสองคน แต่กลับหันมาถามหัวเซินกังอีกครั้งว่า
“เซินกัง แกบอกมาเถอะว่าคิดยังไง ไม่ต้องโยนความรับผิดชอบไปให้คนอื่น เอาที่ใจแกต้องการพอ”
หัวเซินกังทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ แต่อย่างไรเขาก็ไม่กล้าผลักความรับผิดชอบไปให้คนอื่นอีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวตอบไปว่า
“ถ้าพี่ใหญ่พูดมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าผมพูดอะไรผิดไปก็อย่าว่าผมนะ”
หัวเซินซวนพยักหน้าตอบไปว่า
“ไม่ต้องห่วง ความคิดเห็นของพวกแกไม่มีถูกหรือผิด ฉันแค่อยากฟังความเห็นของแกเท่านั้น”
“ถ้าอย่างนั้นผมจะพูดแล้วนะ ผมคิดว่า…ฉีหมิงพูดถูกต้อง ถึงศัตรูที่เรากำลังเผชิญหน้าด้วยจะทั้งแข็งแกร่งและน่ากลัว แต่การนั่งรอความตายมันเป็นอะไรที่สิ้นหวังเกินไป แทนที่จะรอคอยอย่างสิ้นหวัง ทำไมเราถึงไม่พยายามสู้เท่าที่เราไหว บางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจดีกว่าที่คาดไว้ด้วยซ้ำ”
หัวเซินกังกล่าวแสดงความคิดเห็นออกไป
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หัวเซินกังเพียงต้องการเสาะแสวงหาโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ในยามที่ตระกูลหัวโกลาหลเท่านั้น เขาถึงสนับสนุนให้ต่อสู้
ตอนนี้เหลือเพียงหัวเซินกัวเท่านั้นแล้วที่ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นยออกไป หัวเซินซวนกล่าวกับเขาว่า
“เซินกัว ตาแกแล้ว”
เมื่อเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่มิอาจเลี่ยงได้อีกต่อไป หัวเซินกัวทำได้เพียงกัดฟันกล่าวไปว่า
“พี่ใหญ่ แต่ผมเห็นด้วยกับมุมมองของฉีเฉินมากกว่า เราไม่ควรเคลื่อนไหวอะไรจนกว่าจะทราบถึงความแข็งแกร่งของศัตรู อย่างคำกล่าวที่ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เก็บข้อมูลของศัตรูให้ได้มากที่สุดก่อนแล้วมาวิเคราะห์ว่าเราควรจะสู้ต่อหรือถอยทัพ”
“แล้วสรุปว่า แกเห็นด้วยกับการปะทะหรือประนีประนอมมากกว่า?”
หัวเซินซวนยังคงเอ่ยถามต่อ
หัวเซินกัวกล่าวอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ไม่ควรปะทะโดยไม่จำเป็น ถึงแบบนั้นจะเลือกกลยุทธ์แบบไหนล้วนต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริง หากทราบว่าอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าเราเท่าไหร่ ผมคงเลือกที่จะสู้ แต่อีกฝ่ายเกินเอื้อมจริงๆ คงเลือกที่จะเจรจาอยู่กันอย่างสันติวิธี แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้เราไม่ควรหุนหันพลันแล่น”
หัวเซินซวนยิ้มและกล่าวกับทุกคนว่า
“เข้าใจแล้ว ขอบใจมากสำหรับความเห็นของพวกแก ออกไปรอข้างนอกเถอะ ฉันขอนอนพักหน่อย”
ทั้งสี่รีบลุกขึ้นและโค้งคำนับหัวเซินซวนทันที
อีกด้านหนึ่งจ้าวเฉียนกำลังเปิดอีเมลฉบับหนึ่งขึ้นอ่าน ซึ่งอีเมลพวกนี้เป็นข้อแนะนำจากสายลับที่จ้าวฝู่ส่งไปเป็นสายในบ้านสกุลหัว
หลังจากจ้าวเฉียนอ่านทุกข้อความเบ็ดเสร็จ เขาก็พิมพ์ตอบส่งกลับไปให้รายคน พร้อมบอกพวกเขาให้เตรียมพร้อมได้แล้ว ทันทีที่มีคำสั่งลงมาอีกครั้ง เตรียมโจมตีตระกูลหัวทุกเมื่อ
หลังจากนั้นสามวันพ้นผ่าน หัวเซินซวนก็ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด
ทุกวี่วันเราล้วนคิดถึงมาตรการรับมือซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะเลือกอย่างไรดี เขาเป็นหัวหน้าตระกูลและทำงานอย่างหนักมาโดยตลอดเพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติยศของตระกูลหัว แต่การกระทำของจ้าวเฉียนมันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของตระกูลหัวมากเกินกว่าจะรับได้แล้ว สุดท้ายนี้เขาเลือกที่จะต่อสู้กับตระกูลจ้าวเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนมา
ดังนั้น หัวเซินซวนจึงจัดการประชุมครั้งใหญ่ในนามสกุลหัว
ตามกฎของตระกูลหัว เมื่อใดที่หัวหน้าตระกูลจัดการประชุมขึ้น ทุกคนจะต้องเข้าร่วมโดยไม่มีเงื่อนไข อย่างน้อยที่สุดก็ควรส่งหัวหน้าของแต่ละตระกูลสาขาย่อยมา เพื่อลงมัติและวางแผนถึงแนวทางของตระกูลในอนาคต
กระประชุมครั้งนี้จัดขึ้น ณ ห้องจัดเลี้ยงของตระกูลหัว มีตัวแทนที่เข้าร่วมทั้งหมด26คน
หัวเซินซวนเข้าเรื่องไม่มีอ้อมค้อมทันทีว่า
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาในวันนี้ก็เพื่อแจ้งให้ทราบว่า ฉันได้ตัดสินใจที่จะสู้กับพวกสกุลจ้าวให้ตายกันไปข้าง นี่ก็เพื่อกู้ศักดิ์ศรีของตระกูลคืนมา และก็เพื่ออนาคตของพวกเราสกุลหัว!”