กลุ่มที่เข้าแดนพิศวงลำดับแรกเป็นตัวแทนจากเมืองพุทธ ชิงเหยียนก้าวเข้าสู่ประตูมิติสีน้ำเงินก่อนใคร
หนทางลุ่มหลง หนึ่งก้าวหนึ่งความลุ่มหลง
โดยปกติแล้ว ยิ่งเป็นคนที่มีระดับพลังยุทธ์สูงส่ง ความเข้าใจในมรรคจะยิ่งถ่องแท้ จิตใจก็จะยิ่งหนักแน่นด้วยเช่นกัน
แต่ทว่า มันก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจจะมีจิตใจที่แก่กล้าอย่างยิ่งตั้งแต่อายุยังน้อย ปัจจัยที่ไม่แน่นอนของการประลองนี้ก็มีมากมายกายก่องอยู่ดี
ชิงเหยียนพนมมือ ย่างเท้าเดินบนทางเดินหินอย่างต่อเนื่อง
พวกอันหลินสามารถมองผ่านหน้าจอผลึกหินได้ว่า ทุกย่างก้าวของชิงเหยียนจะหยุดชะงักครู่หนึ่ง และยามย่างก้าวต่อไป ล้วนลำบากยากเข็ญอย่างยิ่ง
เดินไปได้ครู่หนึ่ง หน้าผากของเขาก็ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดวงตาหลับพริ้ม ปากร่ายบทสวดมนต์ ฝีก้าวช้าลงเรื่อยๆ สุดท้ายร่างกายสั่นเทายามยกเท้า ไม่อาจก้าวออกไปได้อีก
เหงื่อหยดกระทบผิวทะเลสาบ ทำให้เกิดริ้วคลื่นเป็นระลอกๆ ดวงดาราเต็มท้องนภาบนผิวดินบิดเบี้ยว
ห้านาทีต่อมา ลำแสงสีขาวทำให้ร่างของเขาค่อยๆ เลือนหายไป ปรากฏตัวบนสังเวียนประลองอีกครั้ง
ตุบ…หน้าของชิงเหยียนแดงก่ำ ทรุดตัวคุกเข่าลงบนสังเวียนอย่างหมดแรง ราวกับผ่านการสู้รบปรบมือกับจิตใจของตน
“ชิงเหยียน ห้าสิบหกก้าว ห้าจุดหกคะแนน” เซียนสวรรค์อวี้หัวเริ่มประกาศผลคะแนน
จากนั้น ชิงซินก็ก้าวเข้าสู่แดนพิศวง
เขาด้อยกว่าชิงเหยียนเล็กน้อย เดินทั้งสิ้นเพียงห้าสิบเอ็ดก้าว ได้ห้าจุดหนึ่งคะแนน
สุดท้ายชิงจือผู้ที่มีรูปโฉมงดงามก็ออกโรง การขึ้นสังเวียนของเขาทำให้ฝูงชนใจจดใจจ่อ
ชิงจือเป็นตัวแทนอันดับหนึ่งของเมืองพุทธ ได้ยินว่าบำเพ็ญเพียรในป่าหินลู่หลียี่สิบปี มีจิตใจที่ปราศจากสิ่งมัวหมอง มั่นคงอย่างยิ่ง
เป็นอย่างที่คิด เมื่อเขาเข้าไปในแดนพิศวง ย่างไปข้างหน้าที่ละก้าว แม้จะไม่เร็ว แต่ทุกย่างก้าวมั่นคงยิ่งนัก แทบจะไม่มีความลุ่มหลงมัวเมาขัดขวางฝีเท้าของเขาได้
เมื่อถึงก้าวที่ห้าสิบ ชิงจือเห็นร่างสีเขียวบนเนินเขา
เสียงร้องเพลงใสกังวานของนางลอยเข้ามาในใจ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มมีรอยยิ้มบางๆ มือขาวปลอดยื่นมาหาเขา
ชิงจือไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นร่างของนางในหนทางแห่งความลุ่มหลง หัวใจอดสั่นระริกไม่ได้
“อย่าเอาแต่เรียกโยม เรียกโยมๆ ๆ อยู่ได้ ข้ามีชื่อนะ”
“ต่อไป…เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางซิ่วก็แล้วกัน!”
แววตาของเขาเลื่อนลอยเล็กน้อย “แม่…แม่นางซิ่วหรือ”
เปรี้ยง! เกิดเสียงดังขึ้นในใจเขาประหนึ่งสายฟ้าคำราม สะดุ้งโหยง ภาพลวงตาแตกสลายดุจกระบี่คมทะลวง กลับสู่ทะเลดวงดาวอีกครั้ง เหงื่อกาฬผุดเต็มหน้าผาก
ใบหน้าของชิงจือฉายความพรั่นพรึง ยังดีที่เขาสงบจิตสงใจได้แล้ว
เขาก้าวเท้าอีกครั้ง แต่ทุกย่างก้าวกลับกลายเป็นความลำบากยากเย็น
สุดท้ายเขาก็หยุดอยู่ที่ก้าวที่หกสิบเจ็ด
“ชิงจือ หกสิบเจ็ดก้าว หกจุดเจ็ดคะแนน!” รองผู้อำนวยการอวี้หัวประกาศผลคะแนนอีกครั้ง
ชิงเหยียนกับชิงซินประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้เล็กน้อย
จิตใจของชิงจือเป็นที่ลือเลื่องในเมืองพุทธ พวกเขาคิดว่าอย่างไรเสียศิษย์พี่ก็ต้องเดินได้เจ็ดแปดสิบก้าว ไม่คิดเลยว่าจะเดินได้เพียงหกสิบกว่าก้าว
สุดท้ายตัวแทนของเมืองพุทธได้คะแนนสิบเจ็ดจุดหนึ่งในการประลองครั้งนี้
จากนั้นก็เป็นตัวแทนทั้งสามจากหอสร้างโลก
ไม่มีการประลองก็ไม่มีความเจ็บปวด สุดท้ายหอสร้างโลกได้คะแนนไปเพียงสิบสี่จุดสองคะแนนเท่านั้น
หงโต้วผู้มีใจแข็งแกร่งดุจหินผา เดินได้เพียงสามสิบสองก้าวก็จมลงไปในทะเลสาบ ทำเอาอันหลินหัวเราะแทบตาย
ตอนที่หงโต้วหายใจหอบออกจากแดนพิศวง ก็เห็นอันหลินที่กำลังกุมท้องหัวเราะเสียงดัง
อันหลินชูนิ้วโป้งทันทีเมื่อเห็นหงโต้วจ้องมา พูดชมว่า “มนุษย์หินหงโต้วเป็นที่หนึ่งในไต้หล้า!”
หงโต้วเบิกตากว้างเมื่อได้ยิน โมโหจนแน่นหน้าอก เกือบจะกระอักลาวาออกมา แต่จนใจที่ไม่มีความกล้าจะระเบิดโทสะ
ช่วยไม่ได้ อันหลินมีอาวุธนิวเคลียร์นี่นา…
จากนั้นก็ถึงคราวตัวแทนของสวนเอเดนขึ้นสังเวียน คะแนนของพวกเขาค่อนข้างน่าพอใจ ได้คะแนนรวมทั้งสิ้นสิบหกจุดสองคะแนน
ออกัสที่มีพลังยุทธ์แก่กล้าที่สุดเดินได้หกสิบสามก้าว ด้อยกว่าชิงจือเล็กน้อย แต่ก็นับว่าเป็นผลคะแนนที่ไม่เลวแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงคราวตัวแทนของสรวงสวรรค์ขึ้นเวทีอีกครั้ง
เมื่อตกลงกันแล้ว ตัดสินใจว่าขึ้นเวทีโดยเรียงจากหวังเสวียนจ้าน หลิวเชียนฮ่วนและอันหลินตามลำดับ
ตามคำพูดของหวังเสวียนจ้าน บอกว่าอันหลินเป็นปัจจัยที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย หากว่าขึ้นสังเวียนคนแรก จะสร้างแรงกดดันอย่างใหญ่หลวงให้กับสมาชิก จะเล่นลูกไม้อะไรก็ต้องรอให้ถึงตอนสุดท้าย
มุมปากของอันหลินกระตุกกับประโยคนี้ พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
“ข้าจะไปเริ่มต้นให้ดี!”
หวังเสวียนจ้านโบกมือให้กับสองคนข้างหลังด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก้าวเข้าไปในประตูสีน้ำเงินประหนึ่งวีรบุรุษ
อันหลินมองแผ่นหลังของศิษย์พี่ หวังว่าเขาจะกลับมาได้อย่างผู้กล้า
“แล้วข้าจะเจอกับอุปสรรคแบบไหนกัน…”
ร่างของหวังเสวียนจ้านปรากฏตัวในแดนพิศวง แต่ใบหน้ากลับประดับด้วยรอยยิ้มที่มั่นอกมั่นใจ
เงินทอง ความงาม ความหิว โรคภัย ความหนาว ทะเลเพลิง…ทุกอุปสรรคถูกหวังเสวียนจ้านล้างผลาญ
ฝีก้าวของเขามั่นคง เดินเลียบไปตามเส้นทางที่ปูด้วยหิน ความเร็วเทียบเท่าชิงจือคนก่อนหน้านี้แล้ว ถึงขั้นว่าไวกว่าด้วยซ้ำ
เหตุการณ์นี้ทำเอาดวงตาของอันหลินเป็นประกาย ไม่คิดเลยว่าจิตใจของหวังเสวียนจ้านจะมั่นคงเช่นนี้ ครั้งนี้เขากอดขาไว้แน่นแน่
เมื่อถึงก้าวที่สี่สิบหก ฝีเท้าของหวังเสวียนจ้านก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาเห็นอันหลิน…
มือขวาของอันหลินส่องแสงสีทองโชติช่วง แสยะยิ้มและพูดว่า “ศิษย์พี่หวัง เอาหมัดปรมาณูอัสนีของข้าไปกิน!”
จากนั้นหมัดแสงทองที่มืดฟ้ามัวดินก็พุ่งมาพร้อมกับพลังอันน่ากลัว
หวังเสวียนจ้านจดจ้องภาพลวงตา ใบหน้ากระตุก รู้สึกปวดกบาล
เขาไม่คิดเลยว่า เรื่องนี้จะกลายเป็นปัจจัยที่รบกวนจิตใจของเขาไปด้วย
แต่ทว่า…เขายังไม่ถึงขั้นตกใจกับเรื่องนี้!
ทลาย!
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงต่อ ทะลวงภาพมายาทั้งปวง
ก้าวที่หกสิบ หวังเสวียนจ้านเจอชายหนุ่มรูปงามเช่นเดียวกัน เมื่อเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็หันหลังเดินจากไป
“เฉินเฉิน!” เขาเพ่งมอง อยากจะไล่ตามร่างนั้นไปทันที
จู่ๆ ใจของเขาก็กระตุกวูบ ยั้งฝีเท้าไว้ทันใด ไม่…ไปไม่ได้…
หวังเสวียนจ้านเหงื่อกาฬไหลย้อย ลมหายใจของเขาเริ่มถี่กระชั้น เมื่อครู่เกือบจะพลาดท่าเสียแล้ว…
เรื่องนี้เป็นปมในใจของเขามาตลอด ตอนนี้แม้จะบรรลุระดับแปลงจิตแล้ว แต่ก็ยังปลดมันไม่ได้
เขาเดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ราวกับว่าทุกย่างก้าวต้องใช้แรงมหาศาล
นักเรียนในจัตุรัสต่างก็กำมือแน่น จ้องร่างที่เดินหน้าอย่างยากลำบากบนหน้าจอผลึกหิน
ก้าวที่หกสิบสอง…หกสิบสาม ใกล้แล้ว จวนจะตามทันฝีก้าวของชิงจือแล้ว…
ตอนที่หวังเสวียนจ้านก้าวถึงหกสิบแปดก้าว นักเรียนทั้งจัตุรัสก็ส่งเสียงโห่ร้องดังเกรียวกราว นี่เป็นคะแนนที่สูงที่สุดของการประลอง ‘มรรค’ แล้ว
บางครั้งความสามารถส่วนบุคคลเป็นที่ตะลึงโลกหล้า ยังคงเป็นเรื่องที่ควรค่าให้ดีใจ อัจฉริยบุคคลที่เป็นตัวแทนของสำนักเราไม่ด้อยไปกว่ากลุ่มอิทธิพลใด
หวังเสวียนจ้านยังคงเดินหน้า เขาย่างถึงก้าวที่เจ็ดสิบแล้ว ฝีเท้าหยุดลง เบิกตากว้าง
เขาเห็นอันหลินอีกครั้ง…
อันหลินในครั้งนี้ยื่นนิ้วชี้ออกมา ความน่ากลัวอย่างมหันต์แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายของเขา ทำให้เขาสั่นเทา
ฉากที่ไม่ต้องการจะหวนรำลึกถึงปรากฏให้เห็น
เมื่อเผชิญหน้ากับพลังที่ชวนให้สิ้นหวัง ใบหน้าของเขาชะงัก ดวงตาก็เริ่มเลื่อนลอย…
ดรรชนีวิถีสวรรค์!
หวังเสวียนจ้านเดินไม่ไหวแล้วเมื่อเจอกับนิ้วมือนี่…
ห้านาทีต่อมา ร่างของเขาก็กลายเป็นแสงสีขาวสลายหายไป ถูกส่งตัวออกจากแดนพิศวง
“หวังเสวียนจ้าน เจ็ดสิบก้าว เจ็ดคะแนน!” รองผู้อำนวยการอวี้หัวประกาศผลคะแนน
นี่เป็นคะแนนที่สูงที่สุดของการแข่งขัน เมื่อนักเรียนทั้งจัตุรัสได้ยินก็โห่ร้องขึ้นมา
หวังเสวียนจ้านปาดเหงื่อบนหน้าผาก พอเงยหน้าก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยอย่างยิ่งอีกครั้ง
อันหลินวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น เอ่ยปากชมว่า “สมกับเป็นศิษย์พี่หวังเสวียนจ้าน เดินได้ตั้งเจ็ดสิบก้าว!”
มุมปากของหวังเสวียนจ้านกระตุก ฝืนยิ้มออกมา “เป็นเพราะศิษย์น้องอันหลินทั้งนั้น”
“หา เพราะข้างั้นหรือ” อันหลินไม่เข้าใจความนัยที่แฝงในคำพูดของหวังเสวียนจ้าน กะพริบตาปริบๆ ทำหน้างุนงง
หวังเสวียนจ้านไม่อยากสนทนากับอันหลิน หันหน้าไปคุยกับหลิวเชียนฮ่วน “ศิษย์น้องหลิว ถึงคราวเจ้าแล้ว สู้เขานะ!”
หลิวเชียนฮ่วนยิ้มกริ่ม ยืดเอวบางคอดกิ่วเล็กน้อย พูดอย่างกระหยิ่มใจว่า “ศิษย์พี่หวังเริ่มต้นให้อย่างสวยงามแล้ว ต่อไป ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง!”