ต่อมา ฟางเจิ้งรู้สึกว่ามีบางสิ่งหลั่งไหลเข้าไปในความคิด จากนั้นปากก็ไม่ใช่ปากของเขาอีก ควบคุมไม่ได้เลย ลิ้นกระดกรัวมั่วไปหมด บรรยายคัมภีร์ที่ตนไม่เคยได้ยิน อธิบายออกไป…
อี้หังไม่คิดว่าฟางเจิ้งจะบรรยายได้มากนัก อายุพอๆ กัน เขาไม่คิดว่าฟางเจิ้งจะสูงส่งกว่าตนมากเกินไปนัก ทว่าพอฟางเจิ้งเอ่ยคำแรกเขาก็มึนงง!
ฟางเจิ้งพูดภาษาสันสกฤต!
ภาษาสันสกฤตดั่งบทเพลง ไม่ได้พูดออกมา แต่ขับร้อง เสียงดังกังวานแต่ไม่สะเทือนหู ในเสียงเหมือนแฝงไว้ด้วยความโออ่ายิ่งใหญ่ไม่มีสิ้นสุด เงามืดในใจถูกเสียงที่ว่ากระเทือนจนแหลก! เจตนาเห็นแก่ตัวก่อนหน้าถูกกวาดล้างจนว่างเปล่า นัยน์ตาอี้หังฉายแววตกตะลึง! ตั้งแต่เล็กมาหงจินพาเขาออกไปฟังธรรมหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้ฟังธรรมหรือเต๋าแบบนี้มาก่อน!
อี้หังไม่เข้าใจภาษาสันสกฤต แต่เข้าใจว่าฟางเจิ้งพูดอะไร ราวกับว่าฟางเจิ้งไม่ได้พูดภาษาสันสกฤต แต่เป็นภาษาจีน! ทว่าก็คล้ายๆ ว่าไม่ใช่ภาษาจีนเช่นกัน แต่เป็นภาษาที่ทุกสิ่งมีชีวิตเข้าใจ น้ำเสียงเต็มไปด้วยพุทธะ เหนี่ยวนำคนเข้าสู่ห้วงลึกภวังค์ ดลใจให้ครุ่นคิดได้ตาสว่างขึ้น…
วินาทีที่ฟางเจิ้งกล่าว นักบวชทุกรูปที่นี่ต่างตะลึงงัน ก่อนตกอยู่ในห้วงพุทธคัมภีร์ของฟางเจิ้ง
เจี๊ยกๆ มีเสียงลิงร้องดังขึ้น ลิงตัวหนึ่งวิ่งออกมาจากอุโบสถกวนอิม นั่งลงบนยอดหลังคา เบิกตากว้างมองฟางเจิ้งเหมือนกำลังฟังธรรม และยังเข้าใจอีกด้วย! มันจะพยักหน้าเป็นระยะ…
นกน้อยหลายตัวบินลงมาจากฟ้าอยู่ตรงหน้าฟางเจิ้ง ยืนอยู่ตรงนั้น เอียงหัวคล้ายๆ ว่ากำลังฟัง
ทว่าไม่มีใครมองเห็นทุกอย่างนี้ ทุกคนตกอยู่ในห้วงพระคัมภีร์ที่ฟางเจิ้งบรรยาย
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งพลันนึกถึงตำนานหนึ่ง หลังจากพระโพธิธรรม (ปรมาจารย์ตั๊กม้อ) มาจากตะวันออก คำพูดยังไม่ลื่นไหล ท่านไม่บรรยายธรรม เล่าถึงพระธรรมไม่ได้ จึงขึ้นเขาไปนั่งฌานสมาธิ โดยที่ไม่พูดอะไรเลย แต่กลับถ่ายทอดคัมภีร์และพระธรรมได้ ก่อนหน้านี้ฟางเจิ้งไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจอะไรหลายอย่างแล้ว คำพูดเป็นเครื่องมือสื่อสาร แต่ไม่ใช่แค่อย่างเดียว! ตอนนี้เขาไม่ได้พูดภาษาสันสกฤตแน่นอน และก็ไม่ใช่ภาษาจีนด้วย แต่เป็นภาษาที่เชื่อมต่อจิตวิญญาณในระดับที่สูงกว่า ไม่ว่าใครก็ฟังเข้าใจ!
ดังนั้นอภินิหารที่พระโพธิธรรมไม่ต้องพูดแต่กลับถ่ายทอดได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มองไปข้างล่างทุกคนเหมือนลุ่มหลงมัวเมา ส่วนฟางเจิ้งเป็นทุกข์มาก เพราะเขาพูดอะไรเมื่อครู่ยังได้ยินอยู่ แต่พอพูดไปได้ไม่กี่ประโยคตัวเขากลับไม่ได้ยินแล้ว! ฟางเจิ้งรู้สึกแค่ว่าคับอกคับใจ เขาก็อยากฟังเหมือนกัน อยากตระหนักรู้พระธรรมในระดับสูงกว่า! แต่ไอ้เวรนี่แล่นผ่านในใจอย่างเร็วรี่ อับจนหนทาง ได้แต่อดกลั้นไว้! ทว่าความรู้สึกนี้ทำให้เขาหัวเสีย เหมือนนั่งยองอยู่ในโรงหนังที่ฉายหนังน่าเบื่อมาก คนอื่นดูกันอย่างสนุกสนาน มีเพียงฟางเจิ้งที่ไม่อิน แถมยังออกมาก่อนไม่ได้ด้วย…น่าเบื่อโว้ย!
เวลาผ่านไปทีละนาที ดวงตะวันลับภูเขาไปแล้ว ดวงจันทร์ลอยขึ้นฟ้า แสงเงินสาดส่องลงมา เนื่องจากเหล่านักบวชอยู่ในห้วงการฟังจึงไม่มีใครไปเปิดไฟ ทั้งวัดจึงสลัวเล็กน้อยภายใต้แสงจันทร์ แต่กลับมีความศักดิ์สิทธิ์เพิ่มหลายส่วน
ตอนนี้เอง ฟางเจิ้งมองเห็นกลางกลุ่มคนเหมือนมีบางสิ่งขยับ น่าเสียดายไกลเกินไป มองเห็นไม่ชัด
เมื่อเวลาผ่านไป มีบางสิ่งปรากฏอย่างต่อเนื่อง ขยับไปมา จนเมื่อฟางเจิ้งพยายามตรวจดู ก็เกิดเสียงดังตรงหน้าเขา ในซอกบนพื้นหินมีหน่ออ่อนเบียดเสียดงอกเงยขึ้นมา หน่ออ่อนเติบโตอย่างรวดเร็ว แตกกิ่งออกใบ ออกดอกตูมก่อนจะผลิบาน!
ฟางเจิ้งตะลึงค้าง นี่มันดอกบัว!
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งได้ยินเสียงปุดๆ มากขึ้น ดอกบัวผุดออกมาจากรอบๆ ไม่หยุด ประหนึ่งหน่ออ่อนใหม่หลังฝนพรำ ผลิบานกลางสายลมหนาว! แสงเงินส่องลงบนดอกบัว เปล่งแสงระยิบระยับ พลังชีวิตเอ่อล้น ในเวลาเดียวกันยังมีความน่าเกรงขามและศักดิ์สิทธิ์ที่ยากจะคาดเดาเผยออกมาเด่นชัดกว่าเดิม!
‘ลิ้นบัวเบ่งบาน ลิ้นบัวเบ่งบาน โอ้โหท่านพระพุทธองค์! มีบัวเบ่งบานจริงๆ ด้วย! แล้วถ้าเป็นปฐพีหลั่งน้ำแร่ทองล่ะ…จะเกิดขึ้นไหมเนี่ย?’ ฟางเจิ้งใจสั่นสะท้านพลางตรึกตรองถึงบัตรปฐพีหลั่งน้ำแร่ทองที่จับได้ในเวลาต่อมา จะต้องบรรยายที่วัดเอกดรรชนีเท่านั้น ถึงตอนนั้นต้องกังวลเรื่องเงินอีกไหม?
“อ๊บ!” ตอนนี้เอง มีเสียงกบดังแว่วมา คัมภีร์ของฟางเจิ้งปลุกเจ้ากบตัวนี้ตื่นขึ้น มันกระโดดขึ้นมาบนใบบัวและฟังธรรม!
บัดนี้ฟางเจิ้งตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นจนชาไปหมดแล้ว ได้แต่มองทุกอย่างอึ้งๆ
หนึ่งคืนผ่านไปท่ามกลางเรื่องราวปาฏิหาริย์เหล่านี้ หลังบัตรบัวเบ่งบานสิ้นสุดในวินาทีสุดท้าย ในที่สุดฟางเจิ้งก็ได้ลิ้นกลับมา ในที่สุดเจ้านี่ก็ไม่กระดกมั่วซั่วไปมาสักที
‘ว้าว ความรู้สึกที่กลับมามีอำนาจควบคุมอีกครั้งนี่มันดีจริงๆ!’ ฟางเจิ้งสัมผัสความรู้สึกของลิ้น ปลงอนิจจังอยู่ในใจ
ขณะเดียวกันฟางเจิ้งมองไปรอบๆ เห็นนักบวชทุกรูปยังตกอยู่ในห้วงธรรมถอนตัวไม่ขึ้น เขาเลยถอนหายใจโล่งอก ถ้าตื่นมาเห็นสัตว์พวกนี้เต็มพื้นกับดอกบัวเข้า เขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง
ฟางเจิ้งรีบยืนขึ้น ไม่กลับกุฏิแล้ว ไม่มีของให้เก็บด้วย จึงมาหน้าประตูใหญ่เตรียมจะหนีไป! ผลคือพบว่าประตูใหญ่ของวัดเมฆาขาวมีกลอนประตู แถมยังมีที่ล็อกประตูไฟฟ้า! เขาหมดหนทางได้แต่ปีนกำแพง กระโดดขึ้นไปใช้สองมือเกาะสันกำแพงแล้วตะกายขึ้นไปด้านบน ทว่าภาพข้างนอกวัดทำให้เขาทึ่มทื่อ!
ตรงประตูใหญ่วัดเมฆาขาวมีวัวนอนหมอบอยู่ห้าหกตัว มีสุนัขสองตัว กระต่ายสิบกว่าตัว ข้างๆ มีนกอินทรีนอนหมอบอยู่อีกหนึ่งตัว…สัตว์พวกนี้ล้วนทำหน้าเหมือนฟังบรรยายอยู่ ส่วนจะมีใจศรัทธาหรือไม่นั้น ฟางเจิ้งยากจะมองออกจากใบหน้ามีขนจริงๆ ถึงยังไงพุทธคัมภีร์ก็เหนี่ยวนำคนให้เข้าสู่ห้วงการคิดพิจารณาตัวเองในระดับลึกซึ้ง เหนี่ยวนำให้มีทัศนคติต่อคุณค่าที่ถูกต้อง คนเราต่างกัน ความเข้าใจก็ต่างกัน ส่วนที่ว่าจะมีประโยชน์กับสัตว์พวกนี้ไหม เขาไม่รู้จริงๆ
‘สวนสัตว์จัดงานใหญ่รึไงเนี่ย? ทุกคนล่ะ คงไม่ถูกยัดอยู่ในตู้เย็นหรอกนะ?’ ฟางเจิ้งคิดไปเรื่อยเปื่อย ทว่ามือกลับรวดเร็ว กระโดดข้ามกำแพงไปแล้ววิ่งอย่างว่องไว
ฟางเจิ้งลงเขาไปราวกับดาวตก เนื่องจากเช้ามากเลยยังไม่มีเรือ ช่วยไม่ได้ ครั้งนี้ไม่ต้องใช้แม้แต่ต้นกกแล้ว แต่เหยียบเดินข้ามแม่น้ำไปเลย จากนั้นวิ่งสับเท้ากลับบ้าน ช่วยไม่ได้ ยังไม่มีรถโดยสารเลยนี่ ที่สำคัญที่สุดคือไม่มีเงินแล้วจริงๆ
เมื่อฟางเจิ้งเดินทางไปได้สิบนาที ลิงบางตัวบนยอดหลังคาพลันตื่นจากภวังค์ ก้มหน้ามองแวบหนึ่ง หลวงจีนที่พกข้าวปั้นบรรยายธรรมหายไปแล้ว จึงร้อนใจกันโดยพลัน เกาก้นวิ่งออกไป พอวิ่งลงเขาก็เห็นภาพฟางเจิ้งเดินข้ามแม่น้ำพอดี ลูกตาลิงแทบจะถลนออกมา มันกระโดดขึ้นไปบนแม่น้ำอย่างไม่อยากเชื่อ คิดจะเดินสักก้าวสองก้าว แต่ว่า…
จ๋อม!
เจี๊ยกๆๆ…เจ้าลิงหนาวจนกระโดดขึ้นมาจากผิวน้ำ กระโดดไปๆ มาๆ บนฝั่ง โบกไม้โบกมือไปทางแผ่นหลังฟางเจิ้งไม่หยุด ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่…
หลังจากเจ้าลิงลงเขาไป นักบวชในวัดค่อยๆ ตื่นจากภวังค์
“สิ่งที่เราเข้าใจก่อนหน้านี้มันไม่ถูกต้อง!” คนคนหนึ่งทอดถอนใจ ในการบรรยายธรรมเมื่อครู่นี้เขาตระหนักถึงสิ่งที่ไม่เข้าใจมากมาย
“ใช่ ไม่ถูกต้อง พวกเราพลาดแล้ว”
“เจ้าอาวาสฟางเจิ้งสมกับเป็นเจ้าอาวาสจริงๆ บรรยายธรรมระดับนี้ได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย!”
“หืม ตรงหน้าฉันอะไรเนี่ย ดอกบัว? ดอกบัวบานหน้าหนาว?”
………………