สตรีแต่งงานแล้วร้องอ้อหนึ่งที ถามยิ้มๆ “แล้วเฉินผิงอันที่เจ้าเรียกล่ะเป็นใคร? ที่บ้านเขามีเงินมากกว่าหรือเปล่า? คงไม่ใช่พี่เขยที่เจ้าช่วยเลือกไว้ให้พี่สาวหรอกกระมัง?”
หลี่ไหวส่ายหน้า “เฉินผิงอันน่ะหรือ เขาคือหนึ่งในสหายที่ดีที่สุดของข้า เหมือนกับอาเหลียง แต่เขาไม่ใช่พี่เขยของข้า อันที่จริงอายุของเขากำลังนี้ แต่หลี่หลิ่วไม่คู่ควรกับเขา”
สตรีแต่งงานแล้วตบอีกป้าบ “อะไรคือหลี่หลิ่วไม่คู่ควรกับเขา ใครเขาพูดถึงพี่สาวแบบเจ้าบ้าง? พี่สาวเจ้ามีตรงไหนที่ไม่ดี หน้าตาก็งดงาม นิสัยหรือก็ไม่เลว แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นภรรยาที่ช่วยเหลือสามีอบรมสั่งสอนบุตร เห็นชัดๆ ว่าแต่งให้ใคร คนนั้นย่อมไม่ขาดทุน”
ชายฉกรรจ์นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สีหน้าเหยเก
หลี่ไหวพูดจาเหลวไหลด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดเรื่องจริงนี่นา ท่านดูพี่สาวข้าสิ หน้าตาก็…พอดูได้ แต่หากเป็นชาติกำเนิด เฮ้อ พูดถึงเรื่องนี้แล้วข้าก็เศร้าใจนัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กชายก็คลี่ยิ้ม “แต่พวกเราเลือกไม่ได้ว่าพ่อแม่ควรเป็นใคร อีกอย่างครอบครัวเราอาจจะยากจนไปสักหน่อย แต่ท่านพ่อท่านแม่ต่างก็ดีมาก มีครั้งหนึ่งเฉินผิงอันไปอึกับข้าบนภูเขา พวกเราสองคนพูดคุยกันเรื่อยเปื่อย เฉินผิงอันบอกว่าพ่อแม่ของเขาจากไปเร็ว บอกให้ข้าเห็นความดีของพวกท่านให้มาก ตอนแรกข้าก็ไม่ได้คิดอะไรเยอะ นึกแค่ว่าเขาคงอึไม่ออกเลยหาเรื่องชวนข้าคุย ภายหลังเดินทางมาพร้อมกับเฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าเขาพูดจากใจจริง จะบอกอะไรให้นะ ข้ากับเฉินผิงอันสนิทกันนักล่ะ พวกท่านเองก็รู้ว่าข้ากลัวผีที่สุด ตอนกลางคืนมักจะทนไม่ไหว ต้องลากเฉินผิงอันมานอนด้วย เขาไม่เคยบ่นรำคาญข้า จริงๆ นะ ไม่แม้แต่จะคิดในใจว่าข้าน่ารำคาญเลยด้วยซ้ำ คนแบบนี้ พี่สาวข้าไม่คู่ควรหรอก”
สตรีแต่งงานแล้วแค่นเสียงพูด “ไปฉี่ไปอึเป็นเพื่อนเจ้าก็เป็นคนดีมากแล้วรึ”
หลี่ไหวเริ่มนับนิ้ว “นอกจากเรื่องนี้ เฉินผิงอันยังทำหีบหนังสือใบเล็ก ถักรองเท้าสาน ทำกับข้าวซักผ้าให้ข้า ช่วยข้าเลี้ยงลา เวลาข้าไม่สบาย กลางดึกค่อนคืนเขาก็ยังวิ่งไปบนภูเขาหลายสิบลี้เพื่อเก็บสมุนไพรมาต้มยาให้ข้า จ่ายเงินซื้อหนังสือ ซื้อปิ่นหยกให้ข้า สอนวิชาหมัด บอกข้าว่าวันหน้าต้องกตัญญูต่อพ่อแม่ เวลาเกิดเรื่องไม่เคยด่าข้า กลับกันยังช่วยเหลือข้า คอยขวางอยู่เบื้องหน้า อัดพวกสารเลวพวกนั้นจนน่วม…นับไม่ถ้วนเลยล่ะ ข้าเองก็อยากได้เขามาเป็นพี่เขย ขนาดฝันยังอยากเลย”
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งค้าง
ชายฉกรรจ์มองบุตรชายที่ท่าทางสดใสมีชีวิตชีวาจนไม่คุ้นตาก็ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง แต่ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความยินดี
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มพลางหยิบรองเท้าผ้าคู่หนึ่งออกมา “รองเท้าคู่นี้พี่สาวเจ้าเป็นคนเย็บให้ ต้องใส่สบายกว่ารองเท้าสานแน่นอน”
หลี่ไหวถอนหายใจ
สตรีแต่งงานแล้วถามอย่างฉงน “เป็นอะไร?”
หลี่ไหวมองมารดาด้วยสายตากลัดกลุ้ม “ทำไมพวกท่านไม่คลอดพี่สาวให้มากสักหน่อย เอาที่หน้าตาดีกว่านี้ ข้าจะได้มอบให้เฉินผิงอัน ถ้าเป็นอย่างนั้นวันหน้าข้าคิดจะเรียกเขาว่าพี่เขยหรืออาจารย์อาน้อยก็ได้หมด”
สตรีแต่งงานแล้วบิดหูลูกชาย “มีใครเขาเหยียดหยามพี่สาวตัวเองอย่างเจ้าบ้าง ข้าโมโหจะตายอยู่แล้วนะ!”
เด็กสาวยิ้มจนดวงตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
นางรักใคร่เอ็นดูน้องชายที่นิสัยเกเรไร้กฎเกณฑ์ผู้นี้มาตั้งแต่เด็กจากใจจริง
อีกอย่างนางเองก็รู้ว่า ไม่ว่าน้องชายจอมดื้อของนางคนนี้จะพูดจาไม่ดีต่อตนอย่างไร แต่หลี่ไหวก็ดีกับนางมากๆ เพียงแต่คนนอกไม่รู้ก็เท่านั้น
“เด็กสองคนในบ้านเจ้า ลูกสาวมีพรสวรรค์ ลูกชายมีโชควาสนายิ่งใหญ่”
นี่ก็คือถ้อยคำที่หยางเหล่าโถวพูดออกมาด้วยตัวเองเมื่อครั้งที่บิดาของนางทำงานอยู่ในร้านยาตระกูลหยาง แน่นอนว่ายังมีอีกครึ่งประโยคที่เด็กสาวฟังแล้วก็ลืมทันที “ยังมีภรรยาปากร้ายที่ด่าฟ้าด่าดินด่ายมบาลอีกคนหนึ่ง ซึ่งนับเป็นความโชคร้ายของเจ้าหลี่เอ้อร์”
เสียงฝีเท้าดังมาจากหน้าประตู
เด็กชายบุคลิกเย็นชาแต่หน้าตาหล่อเหลาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าประตู เขายืนอึ้งค้าง จากนั้นก็หน้าแดงก่ำอย่างที่ไม่ค่อยเป็นบ่อยนัก
หลี่ไหวกลัวว่าเรื่องจะไม่ยุ่งมากพอ จึงมองหลินโส่วอีแล้วชี้มาที่พี่สาวตัวเองพลางหัวเราะร่าเสียงดัง “หลี่หลิ่วพี่สาวข้า นางมาเยือนถึงบ้านด้วยตัวเองเพื่อเตรียมตัวเป็นภรรยาให้เจ้า”
สตรีแต่งงานแล้วมองหลินโส่วอีอย่างถูกชะตา ท่าทางทรงภูมิมีความรู้ ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่เพราะเป็นลูกของขุนนางตระกูลร่ำรวย บางครั้งที่เขามาเยือนที่บ้าน แม้ว่าจะพูดไม่มาก แต่ก็เคารพนอบน้อมต่อนาง แล้วก็ไม่รังเกียจที่บ้านของพวกเขายากจน อีกทั้งสตรีแต่งงานแล้วยังมีความรู้สึกอันดีต่อคนเรียนหนังสือมาโดยตลอด มักรู้สึกว่าวันหน้าหากลูกสาวจะแต่งงาน ต้องให้แต่งกับตระกูลบัณฑิตผู้มีความรู้ ต่อให้บ้านของลูกเขยไม่มีเงินก็ไม่เป็นไร
หลี่ไหวยืนอยู่บนม้านั่งตัวยาว พูดจาหยอกเย้า “หลินโส่วอี เจ้ามานั่งข้างพี่สาวข้าสิ จะอย่างไรซะวันหน้าก็ต้องเป็นคนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว”
สตรีแต่งงานแล้วบิดเนื้อลูกชาย “ห้ามพูดเหลวไหลนะ”
หลินโส่วอีสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แน่นอนว่าเขาไม่กล้าไปนั่งข้างกายเด็กสาว หลังจากทักทายพ่อแม่ของหลี่ไหวอย่างมีมารยาทแล้วก็นั่งลงตรงข้ามเด็กสาวทั้งที่ยังอุ้มตำราไว้ในอ้อมอก
เป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ชื่นชอบบุตรสาวของตนเหมือนกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลินโส่วอีแล้ว อันที่จริงชายฉกรรจ์ชื่นชอบต่งสุ่ยจิงมากกว่า แต่ชายฉกรรจ์ก็รู้สึกว่าหลินโส่วอีเองก็ไม่เลว แค่ไม่มีนิสัยที่เข้ากันได้กับตนเหมือนต่งสุ่ยจิงก็เท่านั้น ในครอบครัวนี้ เรื่องที่หลี่หลิ่วจะออกเรือนในวันหน้า คำพูดของเขาไม่มีน้ำหนักมากที่สุด นับเป็นชนชั้นล่าง ภรรยาของเขาพยักหน้าตอบรับ หลี่ไหวเห็นด้วย หลี่หลิ่วชื่นชอบ สุดท้ายถึงเป็นเขาหลี่เอ้อร์
หลังจากนั้นก็พูดคุยกันถึงเรื่องสำนักศึกษาและภูเขาตงหัว รู้ว่าพ่อแม่ของหลี่ไหวทั้งสามคนจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน หลินโส่วอีจึงเสนอว่าจะพาพวกเขาออกไปเดินเล่น
หลี่ไหวแอบขำ “โอ้ ทำตัวเป็นลูกเขยตั้งแต่ตอนนี้เลยหรือนี่”
เลยถูกพี่สาวของเขาบิดเนื้อตรงแขนเบาๆ หนึ่งที รวมไปถึงรับมะเหงกจากมารดาไปเต็มๆ
ทัศนียภาพของภูเขาตงหัวยอดเยี่ยมอย่างมาก เดินเล่นครั้งนี้ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยาม อีกทั้งยังเดินเล่นได้แค่ครึ่งภูเขาเท่านั้น เมื่อกินข้าวกลางวันกันแล้ว อาจารย์สองท่านของสำนักศึกษาก็มาเยือนถึงหอพักของหลินโส่วอีด้วยตัวเอง พวกเขายังคงความสุภาพเกรงอกเกรงใจ ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่หัวใจที่แขวนค้างเติ่งวางใจลงได้ จะอย่างไรซะในสายตาของนาง ฉีจิ้งชุนก็เป็นแค่อาจารย์สอนหนังสือผู้ยากจนในสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง ตัวคนนิสัยดีก็จริง แต่ตอนนี้เมื่อมาอยู่ที่เมืองหลวงต้าสุย บัณฑิตที่มีสถานะอย่างแท้จริงจะไม่มีนิสัยร้ายกาจเลยสักนิดได้อย่างไร? ลูกชายของตนนิสัยแบบไหน นางที่เป็นแม่รู้ชัดเจนยิ่งกว่าใคร นางกลัวจริงๆ ว่าพวกอาจารย์จะมองเขาเป็นเข็มทิ่มนัยน์ตาซึ่งไม่ได้เรื่องในการเรียนมากที่สุด ทุกวันนอกจากจะตวาดใส่แล้วยังมีหวดด้วยไม้เรียว ถ้าเป็นแบบนั้นหลี่ไหวจะทนไหวได้อย่างไร?
ขณะที่ครอบครัวสี่ชีวิตพูดคุยอยู่กับอาจารย์สองท่าน หลินโส่วอีที่เป็นคนนอกก็นั่งอยู่ด้านข้างเงียบๆ
หลังจากผ่านมรสุมที่ใหญ่โตยิ่งกว่าแผ่นฟ้าครั้งนี้มา นิสัยของหลี่ไหวก็เปลี่ยนไปมาก สุขุมและรู้ความขึ้นเยอะ
ส่วนเด็กสาวคนนั้นกลับมีนิสัยอ่อนโยนเยือกเย็นราวกับว่าต่อให้ผ่านไปอีกหนึ่งพันหนึ่งหมื่นปีก็ไม่มีทางแปรเปลี่ยน นางมีดวงตาคู่ที่งดงามมากเป็นพิเศษ หลินโส่วอีมองเป็นร้อยรอบก็ไม่เบื่อ แน่นอนว่าเป็นการแอบมอง
มารดาของหลี่ไหวไม่โหวกเหวกเสียงดังอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว นางพูดเสียงเล็กแผ่วเบา แตกต่างจากตอนที่อยู่ในเมืองเล็กอย่างสิ้นเชิง และยังดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ถึงขั้นสู้ความใจกว้างของบุตรสาวนางไม่ได้ด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินโส่วอีชอบเด็กสาว เด็กสาวหลี่หลิ่วไม่เคยเรียนหนังสือ แต่มักจะไปรับหลี่ไหวตอนเลิกเรียนเป็นประจำ ต่อให้เจอกับอาจารย์ฉิ้งชุน เด็กสาวก็ยังคงไม่มีท่าทางต่ำต้อยและไม่เย่อหยิ่ง รู้จักวางตัวเป็นอย่างนี้ เผยให้เห็นถึงความงดงามและฉลาดเฉลียวที่มีตามธรรมชาติ ไม่ว่ากับใครเด็กสาวก็ล้วนมีมารยาทและเกรงใจ ให้ความรู้สึกประหลาดแก่หลินโส่วอีประมาณว่านางอยู่ใกล้เจ้ามาก แต่กลับห่างไกลมาก ขณะเดียวกันต่อให้นางอยู่ห่างจากเจ้าไปไกลมาก ไกลจนมองไม่เห็น แต่กลับเหมือนว่านางกำลังยืนอยู่ในหัวใจของเขาใกล้ๆ นี้เอง
ดังนั้นหลินโส่วอีจึงชอบนางมาก
ต่อให้ได้แค่แอบมองนางอยู่อย่างนี้ อารมณ์ของหลินโส่วอีก็ยังคงสงบและมีความสุขอย่างมาก
ได้เห็นภูเขาและสายน้ำที่งดงามมามากมาย แต่ขอแค่นางไม่อยู่ตรงนั้น ที่นั่นก็ล้วนไม่ใช่ทัศนียภาพที่ดีที่สุด
ส่วนบิดาของหลี่ไหว ชายฉกรรจ์ทึ่มทื่อคนนั้นเกรงใจอาจารย์ทั้งสองท่านอย่างถึงที่สุด หากเป็นไปได้คงจะลุกขึ้นมารินน้ำชายกน้ำให้คนทั้งสองด้วยตัวเอง เวลาพูดก็ค้อมเอวอยู่ตลอดเวลา เรือนกายที่เดิมทีก็ไม่สูงใหญ่จึงยิ่งดูเล็กเตี้ยม้อต่อเข้าไปอีก ยังสู้ภรรยาที่นั่งยุกยิกไม่อยู่สุขไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เอาแต่โน้มน้าวให้พวกอาจารย์ของหลี่ไหวทานของว่าง แต่ปัญหาก็อยู่ที่ว่าถึงแม้อาจารย์ทั้งสองท่านมีฐานะธรรมดาในสำนักศึกษา แต่อาจารย์ที่สามารถสอนหนังสือในสำนักศึกษาได้ มีใครบ้างที่ไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว? คำสอนของอริยะกล่าวไว้ว่า ไม่กินอาหารที่ไม่สด สะอาด ใหม่ จึงไม่แน่เสมอไปว่าคนเขาจะยอมกินอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะเหล่านั้น กินเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธีคงได้อยู่ แต่ไหนเลยจะถึงขั้นกินจนตัวเองอิ่มหนำ
หากเปลี่ยนมาเป็นเมื่อก่อน หลี่ไหวเห็นท่าทางเช่นนี้ของบิดาตนย่อมรู้สึกขายหน้า แต่คราวนี้หลี่ไหวกลับไม่คิดอย่างนั้น
บิดาเขาไม่มีความสามารถใด แต่สิ่งใดที่ชั่วชีวิตนี้บิดาเขาหามาได้ก็ล้วนยกให้เขาหลี่ไหวหมดแล้ว
ตอนนี้หลี่ไหวรู้สึกว่าไม่ว่าบิดาจะทำอะไร ก็ล้วนไม่น่าอาย
เฉินผิงอันที่ไม่ค่อยเต็มใจจะพูดเล่นเรื่อยเปื่อยกับเขาและหลินโส่วอีเคยสอนหลักการทำนองเดียวกันนี้แก่หลี่ไหว อีกทั้งเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ทำให้หลี่ไหวที่รับฟังอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญพอจะเข้าใจอยู่ในใจได้คร่าวๆ อาเหลียงเองก็เคยพูดกับหลี่ไหวโดยไม่ได้ตั้งใจว่า คนมีเงินให้เงินเจ้าหนึ่งพันตำลึงเงิน กับเฉินผิงอันที่ให้เงินเจ้าสิบตำลึงเงิน ใครที่หวังดีกับเจ้ามากกว่ากัน จงตรองดูเอาเอง หากเจ้าเกิดความซาบซึ้งใจในบุญคุณของฝ่ายแรกมากกว่า ย่อมได้ นั่นเป็นเพราะเจ้ายังเด็ก ความรู้มีไม่มาก จึงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ แต่หากเจ้าทำเมินมองไม่เห็นฝ่ายหลัง นั่นก็แสดงว่าเจ้าไร้น้ำใจ เจ้าโง่
มองชายที่ยุ่งวุ่นวายกับการรับรองแขกด้วยรอยยิ้มเซ่อซ่า หลี่ไหวก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบในใจ จึงเปิดปากบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่
แรกเริ่มชายฉกรรจ์คิดว่าเป็นเพราะตนทำอะไรไม่พิถีพิถันมากพอ แต่พอเห็นสายตาของบุตรชาย รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายความเช่นนั้น ก็ยิ้มแล้วไปยืนอยู่ข้างๆ อยากจะนั่งยองลงกับพื้นก็รู้สึกอีกว่าทำอย่างนั้นออกจะหยาบกระด้างเกินไป ย่อตัวลงไปได้ครึ่งหนึ่งจึงรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เห็นบุตรชายหันหลังให้อาจารย์ทั้งสองทำหน้าทะเล้นใส่ตน ชายฉกรรจ์จึงยิ้มซื่อๆ ส่งกลับ ถูมือตัวเองไปมา เดิมทีเขายังตื่นเต้นกับการรับรองอาจารย์ของบุตรชายตัวเองอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะแล้ว
พูดคุยกันจบ อาจารย์สองท่านก็จากไป เพราะตอนบ่ายยังมีสอน หนึ่งครอบครัวสี่คนกับหลินโส่วอีอีกหนึ่งคนพากันเดินไปส่งถึงนอกประตู
ตอนบ่ายหลี่ไหวมีเรียน แต่เด็กชายบอกว่าวันนี้จะอยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ เขารับรองว่าพรุ่งนี้จะเริ่มเรียนหนังสืออย่างตั้งใจและขยันมากกว่าเดิม หนังสือไม่มีขาให้เดินหนี ความรู้ในท้องของพวกอาจารย์ก็หายไปไหนไม่ได้ ขอแค่ตั้งใจอ่านหนังสือต้องตามทันแน่นอน ทว่าพ่อแม่อยู่ในสำนักศึกษาแค่ไม่กี่วัน ต้องอยู่เป็นเพื่อนให้มากหน่อย
ถ้อยคำรู้ความว่าง่ายนี้ทำให้สตรีแต่งงานแล้วฟังอย่างเหม่อลอย มองเด็กชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจังแล้วนางก็ร้องไห้โฮทันที จากนั้นก็หันไปเตะต่อยทุบตีชายฉกรรจ์อุตลุด ตำหนิที่เขาต้องเดินทางไปไกลถึงขนาดนั้น ทิ้งบุตรชายให้ลำบากอยู่ที่นี่คนเดียว
แน่นอนว่าชายฉกรรจ์ยอมรับหายนะที่บินมาหากะทันหันครั้งนี้ไว้เงียบๆ อย่างเต็มใจ
หลินโส่วอีปลุกความกล้าตัวเองถามหลี่หลิ่วเสียงเบาว่าอยากไปดูหอหนังสือด้วยกันหรือไม่ บอกว่าหนังสือที่เก็บไว้ในสำนักศึกษาแห่งนี้มีเยอะที่สุดในราชวงศ์ต้าสุย
เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มๆ บอกว่านางอยากอยู่กับน้องชายมากกว่า
—–