“บรรพชนทุกท่าน พวกท่านไม่จำเป็นต้องปวดหัวเรื่องนี้ พวกเขาไม่รู้เสียหน่อยว่าเป็นใคร เพียงแค่พวกท่านไม่พูดใครจะรู้” หลิวหลีแบมือสองข้างออกแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ดูสิดู นังหนูทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่ได้อีกแล้ว นังหนู พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้วแถมยังเป็นถึงเจ้าตำหนัก หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคนอื่นจะมองว่าเจ้าไม่น่าเกรงขามได้นะ” เอ๋าเฟิงเอ่ยเจือเสียงหัวเราะ
“เราเลิกคุยเรื่องนี้กันดีไหม ผู้อาวุโสทุกท่านอุตส่าห์มารอข้าถึงหน้าประตูเพื่อจะหัวเราะเยาะข้าหรือ” เจตนาของหลิวหลีคือหากจะพูดธุระก็พูดมาเลย แต่นางก็แอบจับมือของหนานกงเวิ่นเทียน มือทั้งสองสอดประสาน หวานกันจนคนรอบข้างทนไม่ไหว คู่อื่นๆที่บำเพ็ญคู่ก็ไม่เห็นจะหวานแหววขนาดนี้ ดูสิดู แม้แต่เวลาพูด ก็ยังต้องจับมือกันเลย
“อะแฮ่ม พวกเรามีของขวัญจะให้พวกเจ้า ไปกันเถอะ” หลงเฟยหยางกล่าว
“ของขวัญหรือ?” หลิวหลีมองหนานกงเวิ่นเทียน เห็นได้ชัดว่าหนานกงเวิ่นเทียนก็ไม่รู้เรื่องเช่นเดียวกัน ทั้งสองเดินตามผู้อาวุโสกลุ่มใหญ่ไป เดินไปดูเดี๋ยวก็รู้เอง
“พวกเราใช้เวลาสำรวจอยู่นาน ถึงได้เจอสถานที่ที่เหมาะกับพวกเจ้าทั้งสอง เหมาะจะเป็นที่ตั้งของบ้านพวกเจ้า” หลงเฟยหยางกล่าว
“บ้านหรือ ปู่ทวดช่วยเลือกที่อยู่ไว้ให้พวกเราแล้วหรือ”เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจให้แก่หลิวหลีและหนานกงเวิ่นเทียนอย่างมาก
“ใช่ ใช้เวลาเลือกมาสักพักแล้ว กระทั่งตัวที่พัก พวกข้าก็เตรียมไว้ให้พวกเจ้าเรียบร้อยแล้ว นั่นไง ตรงนั้น” หลงเฟยหยางชี้สถานที่ข้างหน้าซึ่งเป็นหุบเขาลึก ความพิเศษของหุบเขาลึกแห่งนี้อยู่ตรงที่ทิศใต้เป็นทะเลเพลิงที่มีพลังอัคคีเข้มข้น และทิศเหนือเป็นภูเขาน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกจนเข้ากระดูก พื้นที่ตรงกลางเป็นส่วนผสมที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีจนน่าประหลาดใจ กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ สร้างที่พักไว้ที่นี่เหมาะสมอย่างยิ่ง พอหลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนเห็นก็ตกหลุมรักทันที พอจะมองเห็นความตั้งใจของผู้อาวุโส สถานที่แห่งนี้เหมาะกับการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาทั้งสองคน ในเวลาปกติสามารถต่างคนต่างบำเพ็ญเพียร และยังอยู่ไม่ห่างกัน
“ขอบคุณเจ้าค่ะปู่ทวด หลิวหลีกับเสี่ยวเทียนชอบเจ้าค่ะ ไม่สิ ชอบมากเลยด้วย” สีหน้าดีใจของหลิวหลีแสดงออกได้ดียิ่งกว่าคำพูด
หนานกงเฉินพลิกมือขวา นำของชิ้นหนึ่งออกมาและโยนมันออกไป ของสิ่งนั้นขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นเรือนหลังหนึ่ง
“พวกเจ้าทั้งสองคนลองดูว่าชอบหรือไม่ เดี๋ยวอีกสักครู่ข้าจะแนะนำให้พวกเจ้าว่าเรือนหลังนี้พิเศษตรงไหน” หนานกงเฉินกล่าวอย่างมีเลศนัย
“ลองเข้าไปดูสิ” หลงเฟยหยางกล่าว
พวกเขาค่อยๆก้าวเข้าไป รูปแบบในการตกแต่ง เอ่อ หลิวหลีไม่ได้รู้สึกชอบมากนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นน้ำใจของผู้อาวุโส นางไม่ได้ลงมือทำเอง จึงไม่ได้แสดงความไม่พอใจออกมา หนานกงเวิ่นเทียนยิ่งแล้วใหญ่ เขาปิดปากเงียบ เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ขอแค่ได้อยู่กับหลิวหลีก็พอ
หลิวหลีมองแสงสว่างที่อยู่รอบๆ ระยิบระยับจนเกือบทำให้นางตาบอด ไม่ต้องคิดแล้ว นี่ต้องเป็นประติมากรรมอันล้ำเลิศของผู้อาวุโสเผ่ามังกรทั้งสองท่านแน่
“เป็นอย่างไรบ้าง นังหนู ข้ากับบรรพบุรุษของข้าเป็นคนออกแบบเอง สวยงามมากเลยใช่ไหมล่ะ”เอ๋าเลี่ยชมตัวเอง เมื่อรู้ว่าหลงเฟยหยางกับหนานกงเฉินจะสร้างตำหนักให้กับเด็กทั้ง 2 คน เขาก็อุตส่าห์แบกหน้าขอมีส่วนร่วมด้วย ออกแบบห้องโถงที่เข้ามาแล้วก็เจอเลยแห่งนี้
“ชอบเจ้าค่ะ แสงทองประกายระยิบระยับเชียว” หากวันไหนนางไม่มีเงิน จะได้นำของประดับตกแต่งพวกนี้ไปแลกเป็นหินเซียน แต่นางพูดประโยคไม่ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกตบกระเด็น
พวกเขาเดินเข้าไปต่อ หลิวหลีก็พบว่าถัดจากห้องโถงเป็นห้องครัว เมื่อเห็นเครื่องปรุงชนิดต่างๆวางเรียงรายอยู่ ผักผลไม้ก็พร้อมสรรพ โดยเฉพาะเนื้ออสูรเซียนกองโต เอาเถอะ นางรู้แล้วว่าเป็นใคร
“ท่านพี่ ข้ากับบรรพชนฮัวเป็นคนออกแบบเอง อืม ของก็เตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว” จื่อฉีพูดไม่หมด ในเมื่อเข้าหอเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาทำเนื้ออบแห้งให้เขาแล้วใช่หรือไม่
“ขอบคุณจื่อฉี” ทำเป็นมองข้ามดวงตาเป็นประกายวิบวับนั่นแล้วกัน ก็บอกแล้วว่านางมีสามีแล้วลืมเพื่อน นางไม่สนใจหรอกนะ นางกำลังอยู่ในช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ไม่ว่าเรื่องอะไรเก็บไว้ทำทีหลังได้ทั้งนั้น
“อ้อ” ดวงตาของจื่อฉีหม่นแสงลง ท่านพี่มีพี่เขยแล้ว น้องชายอย่างเขาคงหมดความสำคัญ
“นังหนู ทางนั้น” หลงเหวินหยางจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าทายาทของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ถายใต้ท่าทีที่สงบนิ่ง เขารึคิดมาตลอดว่านังหนูเป็นคนเย็นชา แต่ใครจะรู้ว่าทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่เปลือกภายนอกเท่านั้น เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของพวกเด็กๆแล้ว เขาอยากจะหาคู่ครองมาบำเพ็ญร่วมด้วยเลย เฮ้อ วัยเยาว์สดใสมีชีวิตชีวา แสดงความรักไปทุกที่ กรรมจะตามสนองรู้ไหม
“ห้องปรุงยา”หลิวหลีมองห้องปรุงยา ปู่ทวดช่างเป็นละเอียดจริงๆ เดี๋ยวต้องทำการเจิมห้องปรุงยาห้องใหม่นี้เสียหน่อยแล้ว อืม ลองถามปู่ทวดดูว่าจะหาพืชเซียนได้จากที่ไหนบ้าง
“ใช่แล้ว นังหนู ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา ดังนั้นเจ้าพอใจห้องปรุงยานี้หรือไม่ มีจุดขาดเหลืออะไรหรือเปล่า” อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่นักปรุงยา ไม่รู้ว่าขาดอะไรไปหรือเปล่า
“พอใจมากเลยเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านปู่ทวด” หลิวหลีร่าเริงเป็นพิเศษ ความร่าเริงนี้ทำให้คนที่อยู่ข้างๆก็รู้สึกยินดีด้วยเช่นกัน
“ยังไม่หมดนะ ลองเปิดประตูบานเล็กนั้นดู” หนานกงเฉินกล่าว
เมื่อหลิวหลีเปิดประตูบานเล็กออก ก็ต้องตกตะลึง
“สวนพืชเซียน” คิดไม่ถึงว่าจะมีพืชเซียนเต็มไปหมด ผู้อาวุโสช่างเอาใจใส่มากจริงๆ เมื่อครู่นางยังคิดอยู่เลยว่าจะไปหาพืชเซียนมาปรุงยาได้จากที่ไหน นี่เหมือนเวลากำลังสัปหงกแล้วมีคนส่งหมอนมาให้เลย หลิวหลีรู้สึกดีใจอย่างถึงที่สุด
หนานกงเวิ่นเทียนมองมือที่ยิ่งกำแน่นขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัวของหลิวหลี มุมปากฉีกกว้าง นังหนูคงจะชอบมากเลยสินะ
“เอาล่ะ ต่อไปก็คือชั้นสองแล้ว” หลงเฟยหยางกล่าว ดูสิดู ดูท่านังหนูที่อยากลงมือปรุงยาทันทีแบบนี้ ช่างน่ารักเป็นพิเศษจริงๆ
หลิวหลีมองห้องปรุงยาอย่างอาลัยอาวรณ์ และตัดสินใจว่าจะดูให้หมดก่อนแล้วค่อยกลับมาที่ห้องปรุงยา เพื่อทำการเจิมเตาปรุงยา นางถูมือไปมาอย่างดีใจ
สิ่งแรกที่พวกเขาเจอในชั้นสองคือห้องนอน เป็นห้องนอนที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายทีเดียว
“นี่เป็นสถานที่ที่พวกเจ้าต้องอยู่อาศัย อยากจะตกแต่งอย่างไร พวกเจ้าสองคนก็จัดการเอาเองแล้วกัน ”หนานกงเฉินชี้ห้องนอนที่ไม่ได้มีของอะไรมากมาย
หืม? มีสถานที่ให้นางได้จัดการเองด้วยหรือ นางนึกว่าพวกเขาจะจัดการให้หมดทุกที่เสียอีก
“ข้างๆเป็นที่ไว้ให้สำหรับพวกเจ้าเข้าฌาน” หลงเหวินหยางชี้ไปที่ข้างๆ
เมื่อหลิวหลีผลักประตูออก ภายในห้องสะอาดสะอ้าน มีเบาะรองนั่งอยู่สองอัน มีประโยชน์ในการชำระจิตใจ พืชที่นำมาทำเป็นเบาะรองนั่งนี้ส่งผลดีในการชำระจิตใจ เป็นของหายาก เอามาทำเป็นเบาะรองนั่งได้ใหญ่ขนาดนี้ ทำให้เห็นความใส่ใจของผู้อาวุโสได้อย่างชัดเจน
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านปู่ทวด ผู้อาวุโสทุกท่านด้วย” ทั้งสองกล่าวขอบคุณจากใจจริง
หลงเหวินหยางไม่ได้รู้สึกละอายใจเลยแม้แต่น้อย เบาะรองนั่งนี้จากสกุลจ้านและสกุลฮัว
“พวกเจ้าทั้งสองคนพอใจหรือไม่” หนานกงเฉินถาม
“พอใจอย่างมาก ขอบคุณผู้อาวุโสทุกท่านที่เมตตา” หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนพูดขึ้นพร้อมกัน
“พวกเจ้าชอบก็ดีแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนก็ค่อยๆเดินดู คนแก่อย่างพวกเราขอตัวก่อน”หนานกงเฉินพูดจบ ก็จากไป
“อ้อจริงสิ พวกเจ้าทั้งสองคนอย่าลืมหลอมรวมเข้ากับตำหนักเซียนล่ะ หลังจากหลอมรวมแล้ว ตำหนักเซียนแห่งนี้ก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเจ้าทั้งสอง ข้างในมีค่ายกล หากในอนาคตพวกเจ้าทั้งสอง อยู่ที่ดินแดนนภาเพลิงคนหนึ่งแล้ว อีกคนไปที่ดินแดนนภาธารา แล้วคิดถึงกัน ขอเพียงแค่ตั้งจิต พวกเจ้าก็จะได้พบกันที่ตำหนักเซียน” หลงเหวินหยางกลับมาบอกด้วยความใส่ใจ
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว หลิวหลีก็ลากหนานกงเวิ่นเทียนไปที่ห้องนอน แล้วผลักเขาล้มลง
“น้ำใจจากผู้อาวุโส พวกเราลองดูหน่อยเป็นอย่างไร” หลิวหลีเชยคางหนานกงเวิ่นเทียนขึ้น เบื้อ’หลังดวงตาหยาดเยิ้มแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล
“ท่านพี่ ข้าน้อยก็อยากจะเชื่อฟังหรอกนะ แต่นังหนู เจ้าหลอมรวมเข้ากับตำหนักเซียนก่อนไม่ได้หรือ ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสจะแอบฟังอยู่ข้างนอกหรืออย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนพูดขัดอารมณ์อย่างไม่เกรงใจ อาจเป็นเพราะนางหนูเป็นธาตุหยางล้วน พละกำลังของนางมีมากกว่าเขา เปลี่ยนหัวข้อสนทนาก็แล้วกัน นังหนูนี่พอได้เริ่มกินเขาแล้วทำไมถึงไม่รู้จักหยุดหย่อนเลยนะ หนานกงเวิ่นเทียนลูบเอวของตัวเองเบาๆ ฮูหยินของเขานี่ดุเสียยิ่งกว่าเสือเสียอีก
“ก็ได้” ผู้อาวุโสของพวกเขายิ่งชอบทำตัวแปลกๆ เรื่องแอบฟังเทือกนี้พวกเขาทำได้อยู่แล้ว
ผู้อาวุโสที่เพิ่งจากไปได้ไม่นานก็จามเสียงดัง เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว ต้องมีคนนินทาพวกเขาแน่ๆ และผู้ต้องสงสัยก็คือสองสามีภรรยาคู่นั้น
“ผู้อาวุโสท่านลืมบอกพวกเราใช่ไหมว่าแกนใจกลางเรือนที่ไว้ใช้ควบคุมตำหนักเซียนอยู่ที่ไหน”หลิวหลีกับหนานกงเวิ่นเทียนมองหน้ากัน
“เหมือนจะเป็นเช่นนั้น”หนานกงเวิ่นเทียนก็พบปัญหานี้เช่นเดียวกัน
“อาหยาง ดูเหมือนว่าข้าจะบอกเด็กๆแค่ประโยชน์ของมัน แต่ลืมบอกว่าแกนใจกลางเรือนที่ใช้ควบคุมอยู่ที่ไหน” อยู่ๆหนานกงเฉินก็นึกขึ้นได้
“ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น เด็กสองคนฉลาดขนาดนั้น น่าจะหาเจอ เป็นประโยชน์ต่อการทำความรู้จักบ้านใหม่ของพวกเขาด้วย” หลงเหวินหยางยืนยัน
“มันก็จริง” หนานกงเฉินเองก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้
“ข้าคิดว่าพวกท่านปู่ทวดคงอยากจะให้เราทำความรู้จักบ้านใหม่ของตัวเอง” หลิวหลีเดาออก
“ไปกันเถอะ”
Related