ทุกคนต่างมองหลิวหลีที่หัวเสียอย่างงุนงง นังหนูคนนี้คิดอย่างไร อยากจะสู้กับสามีตัวเองขนาดนั้นเลยหรือ แต่อสูรเทพทั้งสามที่รู้ความคิดของหลิวหลีก็เหนื่อยหน่าย เรื่องนี้ก็ยังหึงอีก
“สหายเซียนเยี่ย เจ้าจะต้องชนะให้ได้” หลิวหลีให้กำลังใจคู่ต่อสู้ของสามีตัวเอง ทำให้ทุกคนถึงกับตกตะลึง ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่ค่อยถูกเท่าไหร่นัก นางควรจะะให้กำลังใจสามีตัวเองไม่ใช่หรือ นี่คือวิธีอะไรกันแน่ หรือจะเป็นกลลวงสาวงาม
“นังหนูคนนี้” เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะทำอย่างไร นิสัยที่แค้นฝังใจของนังหนูไม่เคยเปลี่ยนเลยจริงๆ
“สหายเซียนเอ๋าเลี่ย ไม่ทราบว่าจะบอกสาเหตุหน่อยได้หรือไม่” ทุกคนต่างก็พากันสงสัย ทำไมจะต้องให้กำลังใจคู่ต่อสู้ ดูไม่ค่อยถูกต้องนัก อยากจะเห็นสามีของตัวเองแพ้ขนาดนั้นเชียวหรือ เป็นภรรยาที่ไม่ช่วยเหลือสามีแต่ไปช่วยเหลือคนอื่น
“จะพูดอย่างไรดีล่ะ นังหนูคนนี้ไม่พอใจที่พลังเซียนของนางไม่คู่กับพลังเซียนของสามีตัวเอง แต่กลับไปเกี่ยวกระหวัดกับคนนอก นางหึงหวงจึงอยากจะจัดการหมอนั่นด้วยตัวเองเพื่อระบายอารมณ์” เอ๋าเลี่ยเรียบเรียงคำพูดแล้วพูดขึ้น จื่อฉีกับอิงเสวี่ยที่อยู่ข้างๆก็มองท่าทางน่าสงสารของเยี่ยชิงขวง โดนพี่สาวจองเวรแล้ว หากนางไม่ได้แก้แค้น นางจะไม่มีทางปล่อยวาง อีกอย่างนางไม่ใช่คนที่จะทนรออะไรได้ ชอบจัดการให้จบในทันที
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเอ๋าเลี่ยแล้วก็พูดไม่ออก ความคิดของอัจฉริยะก็จะแตกต่างจากพวกเขาเช่นนี้แหละ พวกเขาก็ไพล่นึกไปว่าสามีภรรยาไม่สามัคคีกัน จะมาตัดสินแพ้ชนะกันบนเวที รอชมคู่สามีภรรยาฆ่าฟันกัน
“สหายเซียนเวิ่นเทียน ได้ยินมาว่าเจ้ากับสหายหลิวหลีเป็นคู่รักกัน” เยี่ยชิงขวงถามขณะยืนอยู่บนลานประลอง
“อือ” เรื่องนี้ก็น่าจะรู้กันทั้งโลกเซียนกระมัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่สหายหลิวหลีหวังจะให้ข้าเป็นผู้ชนะ” เยี่ยชิงขวงอยากจะพูดอะไรแต่ก็เงียบไป เมื่อดูจากคำพูดอีกฝ่ายก็เหมือนนางกำลังปันใจ
“อือ นางชอบลงมือด้วยตัวเองมากกว่า” เวิ่นเทียนจะไม่เข้าใจฮูหยินของตัวเองได้อย่างไร นังหนูคนนั้นคันไม้คันมือขึ้นมาแล้วจริงๆ แต่ไม่อยากทำร้ายเขา คนผู้นี้จัเป็นกระสอบทรายชั้นเลิศ แต่เขาไม่มีทางบอกเรื่องนี้กับเยี่ยชิงขวงแน่นอน เพราะว่าในใจหลิวหลีแล้ว เขาคือกระสอบทรายคุณภาพชั้นเลิศ
“น่าเสียดาย ข้าอยากจะประลองกับสหายเวิ่นเทียนอย่างเต็มที่ดูสักตั้ง” เยี่ยชิงขวงแอบพบว่าสามีภรรยาคู่นี้ไม่ชอบตัวเอง ถึงขนาดรังเกียจเลยด้วยซ้ำไป เพียงแต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดกับสหายเวิ่นเทียนที่อยู่ตรงข้าม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เยี่ยชิงขวงแอบเก็บงำไว้ในใจ เขาจะต้องรู้ให้ได้
“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” ใบหน้าที่เป็นเหมือนฝันร้าย ที่เขาคิดว่าจบลงแล้ว ก็กลับมาปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาอีกครั้ง ไม่หายไปง่ายๆ น่าเสียดายที่คนผู้นี้ตอนนี้ก็เป็นเจ้าตำหนักเช่นกัน เขาทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้
การประลองของทั้งสองคนทำให้ทุกคนมองจนตาลาย จนกระทั่งเปลวเพลิงสีฟ้าปรากฏขึ้นบนมือของหนานกงเวิ่นเทียน
“เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์อยู่ในมือเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนหรอกหรือนี่ ปกปิดได้ดีจริงๆ”
“มิน่าทุกคนถึงหาไม่เจอ เจ้าตำหนักเวิ่นเทียนพิชิตไปได้แล้วนี่เอง เจ้าตำหนักเวิ่นเทียนไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
“เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ น่าสนใจ ข้าก็มีเพลิงเซียนเช่นเดียวกัน แต่ว่ายังไม่อยากจะใช้” เยี่ยชิงขวงก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เยี่ยชิงขวงพูด เขาไม่ใช้เพลิงเซียนจริงๆ ถึงแม้หลิวหลีจะไม่ชอบหน้า แต่ก็ไม่คิดจะเอาเปรียบเขา นางมอบยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ให้อีกฝ่าย 1 เม็ด จากนั้นก็ดูแลหนานกงเวิ่นเทียนอย่างอบอุ่นกว่า ยาหลายชนิดมากกว่า ทำให้มุมปากของทุกคนอดกระตุกไม่ได้ ช่างเลือกปฏิบัติเหลือเกิน แถมยังทำเหมือนเป็นเรื่องปกติ คงไม่มีใครทำเช่นนี้อีกแล้วนอกจากหลิวหลี
“สหายเซียนเยี่ย ข้าบอกแล้วว่าเราจะต้องได้ประลองกัน” หลิวหลียิ้มอย่างมีเลศนัย แต่กลับทำให้ผู้บําเพ็ญหญิงที่นั่งชมการประลองบริเวณด้านล่างหัวใจเต้นเร็วขึ้น ดูหล่อเกินไปแล้ว
“สหายเซียนหลิวหลีช่างมีปากศักดิ์สิทธิ์” เยี่ยชิงขวงฟื้นฟูแล้วพูดขึ้น แต่สัญชาตญาณของเขารู้สึกว่าคนตรงหน้านี้อันตรายมาก แต่อันตรายที่ตรงไหนนั้นก็บอกไม่ถูก
“ถ้าเป็นเช่นนี้ ข้าขอโจมตีก่อนอย่างไม่เกรงใจเลยแล้วกัน” หลังจากเสียงของหลิวหลีสิ้นสุดลง เพลิงเซียนดาราทมิฬหลายพันดวงพุ่งเข้าไปหาเยี่ยชิงขวง เขานึกไม่ถึงว่านางจะมีพลังการควบคุมที่แข็งแกร่งขนาดนี้ เแล้วเขาก็พบว่านางโจมตีจากระยะไกลตลอดจึงเดาว่าร่างกายนางน่าจะอ่อนแอ คงจะเป็นจุดอ่อนของนาง เมื่อเขาหลบได้พ้นแล้วก็ปล่อยหมัดใส่อีกฝ่าย แต่นางกลับรับไว้ได้อย่างสบายๆ
“คนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่งนัก คิดจะเทียบเรื่องความแข็งแกร่งกับท่านพี่” จื่อฉีอดด่าไม่ได้
“เฮ้อ ข้ายังไม่กล้าปล่อยหมัดใส่นังหนูง่ายๆเลย คนผู้นั้นเช่างกล้าหาญมากจริงๆ” ไม่รู้ว่าเอ๋าเลี่ยพูดชมหรือเย้ยหยันกันแน่
“นึกว่าขนของหงส์เป็นแค่ขนธรรมดาหรือ” หากไม่มีความสามารถจะเผาขนหงส์ของนางได้อย่างไร โง่เขลาจริงๆ
“เจ้าหนูคนนั้นทำไมถึงอยากประชิดตัวนังหนูขนาดนั้น อยากแพ้ขนาดนั้นเชียวหรือ” เอ๋าเลี่ยถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ท่านเซียนเอ๋าเฟิงมีอะไรผิดปกติหรือ”
“ผิดปกติอย่างมาก นังหนูคนนั้นเป็นอัจฉริยะที่เก่งในทุกด้าน ร่างกายแข็งแกร่งถึงขนาดพวกเราอสูรเทพยังไม่กล้าเข้าประชิดตัว ควบคุมเปลวเพลิงได้อย่างดีเยี่ยม ราวกับว่าเพลิงเซียนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย” แต่เอ๋าเฟิงก็ค้นพบว่านังหนูไม่ชอบอาวุธเซียน เขายังไม่เคยเห็นนังหนูใช้มาก่อน
“เทียบเท่ากับอสูรเทพ” เป็นไปได้อย่างไรกัน
เยี่ยชิงขวงที่อยู่บนเวทีประลองหลบได้ทัน แต่หัวใจกลับสั่นระรัว หลิวหลีเก่งเหลือเกิน ตัวเองเกือบพาตัวเองตกอยู่ในอันตรายแล้ว
เยี่ยชิงขวงไม่ปกปิดความสามารถของตนเองอีกต่อไป เขาเรียกเพลิงเซียนของตัวเองออกมา หลิวหลีพบว่าการปรากฏตัวขึ้นของเพลิงเซียน ทำให้เพลิงสุวรรณพรางในร่างกายนางเกิดความเคลื่อนไหว หลิวหลีมองเพลิงเซียนของเยี่ยซิงขวงด้วยดวงตาเป็นประกายทันที ของนางแน่แล้ว ลืมไปเสียสนิทว่าในตอนนี้เพลิงเซียนเป็นของเยี่ยชิงขวง
หลิวหลีไม่รอช้า เรียกเปลวเพลิงสีดำขึ้นในมือขวา และเรียกเปลวเพลิงสีฟ้าที่มือซ้าย
“เพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ เจ้าตำหนักหลิวหลีเหตุใดจึงมีเพลิงเซียนบุปผาเหมันต์ด้วยเหมือนกัน หรือว่าจะยืมมาจากเวิ่นเทียน”
“ดูเหมือนจะไม่ใช่ เหมือนเจ้าตำหนักหลิวหลีเป็นคนพิชิตมาได้”
“ก็บอกแล้ว เรื่องเล่นกับไฟนี่ข้าถนัด ยังคิดจะเล่นตุกติกต่อหน้าคนอย่างข้า คนจะขายหน้าไม่ใช่ข้าแน่” หลิวหลียิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ อยากจะมาแข่งเล่นไฟกับนาง หากไม่พิชิตเพลิงเซียนของอีกฝ่ายคงจะเป็นการดูถูกฝ่ายตรงข้ามที่เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองขนาดนั้น
“สู้แล้วถึงจะรู้ รู้เถอะว่ามีจำนวนมากไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป คุณภาพจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” เยี่ยชิงขวงมีความมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เพลิงเซียนนี้เขาฟูมฟักมาหลายปี เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า เหมือนเพลิงเซียนจะกลัวหลิวหลี จะเป็นไปได้อย่างไร เขาคงคิดไปเองมากกว่า
“เหรอ? จำนวนกับคุณภาพ วันนี้ข้าจะสอนอะไรให้เจ้าอย่างหนึ่ง เมื่อมีจำนวนมากไปถึงระดับหนึ่งก็จะทำให้คุณภาพเกิดความเปลี่ยนแปลง แต่ว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง” หลิวหลีอธิบายด้วยท่าทีนิ่งเฉย
ทุกคนมองไปที่ลานประลองหลากสีสัน ใบหน้าชาน้อยๆ
“ดังนั้นจำนวนที่หลิวหลีพูดถึงก็เพราะเหตุนี้”
“หลายปีมานี้เพลิงเซียนที่ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องล้วนอยู่ในครอบครองของนังหนูคนนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพลินเซียนพวกนี้ เดิมทีก็เป็นเพลิงของนังหนูแล้วบรรลุขั้นขึ้นมา” จักรพรรดินภาสุวรรณตรัส
“มีความเป็นไปได้สูงมาก ไม่เช่นนั้นทุกคนที่ไปตามหาเพลิงเซียนจะไม่เห็นแม้แต่เงาของมันได้อย่างไร เป็นราวภาพมายา” จักรพรรดินีนภาพฤกษาพยักพระพักตร์ เป็นไปได้มากทีเดียว
“อสูรเทพตัวน้อย 3 ตัวของท่านเซียนเอ๋าเฟิงน่าจะพอรู้เรื่องนี้กระมัง” จักรพรรดินภาพสุธาตรัสบ้าง
“เอ๋าเลี่ย พวกเจ้ามานี่หน่อย” เอ๋าเฟิงไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่รู้ว่าเด็กพวกนี้ปิดบังอะไรเขาอีกบ้าง
“บรรพชนท่านมีเรื่องอะไรหรือ” พวกเขายังอยากดูการประลองอยู่
“บอกมา นังหนูไปเอาเพลิงเซียนมาจากไหนตั้งมากมายขนาดนั้น แล้วอย่าพูดว่านังหนูเป็นคนโชคดีอะไรพวกนั้นล่ะ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะเชื่อไหม” เอ๋าเฟิงรีบพูดดัก
“ก็เพราะว่าโชคดีที่นางฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ค่อนข้างพิเศษ ‘เคล็ดวิชาคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ จำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีจึงจะสามารถบรรลุขั้นได้ เมื่อมาถึงโลกเซียน จึงจำเป็นจะต้องบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียน” เอ๋าเลี่ยกลอกตาใส่บรรพบุรุษของเขา ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ
“นางมีเพลิงอัคคีกี่ชนิด” จักรพรรดินภาเพลิงทรงถามขึ้น
“ 10 ชนิด ตอนนี้ที่บรรลุขั้นน่าจะมีอยู่ 6 ชนิดกระมัง” เอ๋าเลี่ยลองคำนวนดู
“นังหนูยังมีเพลิงเซียนอีกชนิดหนึ่งที่ยังไม่ได้ปล่อยออกมา คิดว่าน่าจะเป็นเพลิงเซียนที่สุดยอดที่สุดที่นางมีในตอนนี้ ขอข้าลองคำนวณก่อน” จักรพรรดินภาเพลิงตื่นเต้น มีเคล็ดวิชาที่พิเศษเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
“เพลิงเซียนหยินหยาง” จักรพรรดินภาพสุธาทรงตรัสบ้าง
“ทุกท่านสังเกตเห็นหรือไม่ว่าเพลิงเซียนเหล่านี้มีธาตุที่แตกต่างกัน” จักรพรรดิมารตรัสชณะขมวดคิ้ว
“แค่กๆ หากว่าเพลิงเซียนทุกชนิดของนังหนูบรรลุขั้นได้สำเร็จ นางจะกลายเป็นแกนวิญญาณอัคคีผสม วนอยู่ภายในร่างกาย ไม่มีใครสามารถเทียบนางได้” เอ๋าเลี่ยพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย ถามไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาฝึกไม่ได้สักหน่อย พวกเขาไม่ได้มีคุณสมบัติร่างกายที่เหมาะสม อดทนต่อความยากลำบาก แน่วแน่และทนกับความทรมานต่างๆได้อย่างนังหนู และที่สำคัญคือมีจิตใจเมตตา จนเบื้องบนยังต้องคอยมอง
เอ๋าเลี่ยมองลานประลอง นังหนูกำลังเล่นอยู่ชัดๆ แต่ทำไมรู้สึกเหมือนนังหนูวางแผนอะไรบางอย่าง
หลิวหลีโอบล้อมเพลิงเซียนของฝ่ายตรงข้ามไว้ทั้งหมดแล้วผลักเยี่ยชิงขวงล้มลงไป
“ก็บอกแล้ว ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเล่นกับไฟ เจ้าเล่นกับไฟต่อหน้าข้า ไม่รู้สึกว่าเป็นการสอนหนังสือสังฆราชหรือ”
………………