“คุณหนูสุรา?” น้ำเสียงทั้งประหลาดใจระคนปลื้มปิติมาจากมู่หรงปั๋วอวี่ที่พบกันซึ่งหน้า ผู้ที่อยู่ข้างๆ เขาคือหวงฝู่หลินจี้ที่ดูแปลกใจและอธิบายไม่ถูกเหมือนกัน เมื่อเห็นพวกเขา แล้วมองสีหน้าของพวกเขาอีกครั้ง เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็อยากจะร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตาจะไหล…นางคิดออกแล้ว จึงตัดสินใจกลับไปอย่างเชื่อฟังพลางคิดว่าทำไมถึงพบพวกเขาในเวลานี้
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เดินออกจากด้านข้างไปโดยไม่แม้แต่จะเหล่มอง หวังว่าพฤติกรรมของนางจะทำให้พวกเขาคิดว่าจำคนผิด ไม่ให้พวกเขาเรียกตัวเองเพราะคุ้นตาก็พอ แต่นางก็ยังประเมินความหน้าหนาของทั้งสองคนต่ำไป
“สาวที่ดื่มเหล้าเก่งนี่คิดจะใช้กลเม็ดเก่าซ้ำๆ พบกันแล้วทำเป็นไม่รู้จักงั้นรึ?” มู่หรงปั๋วอวี่หยุดเยี่ยนมี่เอ๋อร์ไว้ งานประลองยุทธ์เมื่อปีกลายไม่เห็นร่องรอยของนาง ทั้งห้าคนผิดหวังอย่างมาก ล้วนคิดว่านางเป็นเสมือนภาพลวงตาที่อันตรธานหายไปในชีวิตของพวกเขา จึงไม่ได้ตั้งความหวังอะไรมากนักในปีนี้ แต่ก็ไม่เต็มใจจะสละโอกาสนี้ที่อาจจะได้พบนาง
“ตัวข้าเองไม่รู้จักเจ้า!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตามองค้อนอย่างดุดัน สงสัยว่าได้พบพวกเขาในสถานที่เล็กๆ ซึ่งไม่เด่นสะดุดตาเช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลล่ำซำหรือ? ควรเป็นสถานที่ที่ผู้คนรายล้อมไปด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใสเลิศหรูและเสียงดังเข้าออกกันพลุกพล่าน ไม่ใช่มารวมตัวปะปนในที่เล็กๆ ซึ่งไม่เด่นเตะตาแบบนี้!
“ไม่เป็นไร ยังไม่สายเกินไปที่เราจะทำความรู้จักกันตอนนี้” มู่หรงปั๋วอวี่กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ผู้น้อยจะแนะนำตัวเองสักหน่อย ผู้น้อยมู่หรงปั๋วอวี่ เป็นชาวโยวโจว บัดนี้อายุยี่สิบปี ยังไม่ได้แต่งงาน ขอแม่นางโปรดชี้แนะเถิด!”
เยี่ยนมี่เอ๋อร์เวียนศีรษะชั่วขณะ จึงหันไปทางอื่น แต่ก่อนที่นางจะทำอะไร หวงฝู่หลินจี้ก็โค้งตัวทำมือคำนับแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้น้อยหวงฝู่หลินจี้ เป็นชาวฝูโจว ยามนี้อายุยี่สิบปี ยังไม่ได้เป็นฝั่งเป็นฝา แม่นางผู้ดื่มเหล้าเก่งโปรดให้คำแนะนำเยอะๆ ด้วย!”
ไม่จบไม่สิ้น? เยี่ยนมี่เอ๋อร์กลอกตาค้อนปะหลับปะเหลือกอย่างไม่สุภาพแล้วพูดสั้นๆ ว่า “มิกล้าชี้แนะ หลีกทางให้ข้าก็พอ”
“เมื่อปีที่แล้วไม่ได้เจอแม่นางที่ดื่มเหล้าเก่งเราถึงขั้นกังวลมาก ไม่คาดคิดว่าจะโชคดีได้เจอแม่นางในวันนี้ เหล่าผู้น้อยใคร่จะชวนแม่นางไปสนุกก็เท่านั้น ไปสำนักจงอี้ด้วยกัน!” มู่หรงปั๋วอวี่เมินต่อท่าทีที่ไม่สบอารมณ์ของนาง ตรงกันข้ามยิ่งทำท่าทีอ่อนโยนกว่าเก่า ถึงกับพูดเอาใจทำเสียงเล็กเสียงน้อยกับนาง
“ข้าบอกแล้ว ข้าไม่รู้จักพวกเจ้า ข้าไม่คิดจะไปร่วมสนุกอะไรที่สำนักจงอี้” ยามนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีกะจิตกะใจจะสนใจพวกเขา อันที่จริงนางไม่เคยมีความคิดจะไปกับพวกเขาเท่าใดนัก ผู้หญิงบางคนอาจชอบผู้ชายที่โอ้อวดและมาห้อมล้อม รู้สึกว่าเป็นดาวล้อมเดือน ส่วนนางก็ไม่ชอบ ตราบใดคนที่นางชอบอยู่เคียงข้างนางก็ดีแล้ว ไม่ว่าคนอื่นจะดีหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง อีกนัยหนึ่งนางยอมเป็นเดือนที่ล้อมดาว และไม่ต้องการเป็นเดือนที่ถูกล้อม
“ข้าอยากไปสำนักจงอี้ด้วย จิ้งเอ๋อร์ไม่ไปด้วยกันหรือ?” มู่หรงปั๋วเย่หัวเราะออกมา แม้เฉินเยียนอวี่ที่อยู่ข้างกายเขาจะยังคงมีสีหน้าอ่อนโยน แต่มองเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยสายตาแล่เนื้อเถือหนังแล้ว
“ไม่ไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตรงๆ นางไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับพวกเขาอีกต่อไป แม้นางจะปกปิดข้อมูลมามากพอแล้ว แต่ก็ยังไม่อยากพัวพันกับคนเหล่านี้ ในกรณีที่เผลอเรอเปิดเผยข้อพิรุธบางอย่างออกไป ผลที่ตามมาจะไม่สามารถคาดเดาได้
“ถ้าอย่างนั้นเราก็จะไม่ไปเช่นกัน” หวงฝู่หลินจี้ไม่ได้ใส่อารมณ์มากนัก พูดพลางกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ทราบว่าคุณหนูสุราต้องการทำอะไร ผู้น้อยยินดีจะทำตาม!”
“หลินจี้พูดถูก ไม่ทราบว่าคุณหนูสุราต้องการทำสิ่งใดงั้นหรือ?” มู่หรงปั๋วอวี่รู้สึกว่าตนมีแนวโน้มจะชอบสตรีที่ทำเป็นเมินเฉย เขาไม่รู้สึกดีกับผู้หญิงที่ต้องเอาอกเอาใจและปฏิบัติต่อกันอย่างอ่อนโยนพวกนั้น กลับดันทุรังชอบคุณหนูสุราซึ่งปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
“พี่มู่หรง เจ้าช่วยข้าไล่พวกเขาออกไปได้หรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองจอมตื้อติดหนึบทั้งสองที่ตัดสินใจจะรบกวนกันจนถึงที่สุดอย่างจนใจ ขบคิดแล้วคลี่ยิ้มประจบขอความช่วยเหลือจากมู่หรงปั๋วเย่
“ต้องการข้าทีไรก็เป็นพี่ชายหรือ?” มู่หรงปั๋วเย่มองนางอย่างปราศจากอารมณ์ หัวเราะพลางส่ายศีรษะพูดว่า “หนึ่งในนั้นเป็นญาติผู้น้องของข้า อีกคนเป็นนายน้อยรองของตระกูลหวงฝู่ และเป็นตระกูลที่คบหากันมาหลายชั่วอายุคน ข้าลงมือไม่ดีหรอก!”
“ลงเท้าก็ได้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่มว่า “เตะคนทีละก็ได้ ข้ารู้ว่าท่านเก่งที่สุด!” นางเองก็อดสั่นสะท้านด้วยน้ำเสียงที่ประจบสอพลอไม่ได้
“เอาล่ะ พวกเขาล้วนเป็นเด็กดีทั้งนั้น เจ้าลองคิดพิจารณาดูดีๆ เลือกหนึ่งในนั้นมาเป็นสามีก็ไม่เลวทีเดียว” มู่หรงปั๋วเย่ยิ้มดูความตื่นเต้นแล้วพูดว่า “เจ้าก็อายุไม่น้อย ควรออกเรือนได้แล้ว!”
“ข้าไม่ชอบพวกเขานี่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดตรงๆ ต่อให้จะเห็นความผิดหวังปรากฏในดวงตาของทั้งสองก็ไม่ถอนคำพูด แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “พวกเขาไม่ใช่ประเภทที่ข้าชอบ จึงถูกลิขิตให้ไร้ผล แทนที่จะให้ความหวังแล้วค่อยมาตัดสัมพันธ์ สู้ไม่ให้ความหวังตั้งแต่แรกเริ่มยังจะดีเสียกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าชอบแบบไหน?” มู่หรงปั๋วเย่สงสัยว่านางจะชอบผู้ชายเช่นไร ส่วนมู่หรงปั๋วอวี่และหวงฝู่หลินจี้มองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วพูดคำว่า “เจวี๋ย” อย่างเงียบๆ
“เหมือนพี่มู่หรงอย่างนี้จะวิเศษที่สุด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถือโอกาสประจบประแจงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มระรื่นว่า “พี่มู่หรงดูดี และรักข้าด้วย ถ้าข้าไม่ได้ออกเหย้าออกเรือนก็แต่งกับเจ้าดีหรือไม่? ขอเพียงเจ้าช่วยข้าขับไล่พวกเขาออกไป อะไรก็ได้ทั้งนั้น!”
“เจ้ายัยตัวแสบ!” มู่หรงปั๋วเย่ถูกยั่วจนหัวเราะออกมา ไม่ได้ออกเรือนจะแต่งงานกับตนหรือ? ยังดีที่นางพูดออกมา แต่ก็มองออกว่านางไม่อยากยุ่งเกี่ยวอะไรกับทั้งสองคนจริงๆ จึงหัวเราะร่วนแล้วพูดว่า “เอาแบบนี้เถอะ! ข้าจะเป็นเจ้าภาพ เราทุกคนจะไปเที่ยวลี่หูด้วยกัน หลังจากเที่ยวสนุกแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป จะไม่ให้พวกเขามารบกวนเจ้าดีหรือไม่?”
“พี่ใหญ่!” มู่หรงปั๋วอวี่ตะโกนอย่างไม่พอใจ ไม่ง่ายกว่าที่ตนจะได้พบกับนางในฝันที่ชื่นชม แต่กลับเจอคนใช้ไม้แข็งกับความรัก
“ไม่เอาหรอก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด นางไม่ต้องการให้พวกเขามีพื้นที่จินตนาการแต่อย่างใด ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เห็นได้ชัดว่ายอมรับไม่ได้ กลับจะไปทำให้คนมีความหวัง เป็นเพื่อนกันได้ จะเป็นหญิงงามรู้ใจที่สถานะคลุมเครืออะไรทำนองนั้นนางมิอาจรับได้ นางไม่อยากเห็นพวกเขาเจ็บปวดเพราะตัวเอง…ไม่ต้องพูดถึงว่านางยังคงมีความประทับใจที่ดีต่อพวกเขา แต่พวกเขาเป็นเพื่อนสนิทของเจวี๋ย จึงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็ไม่อยากสนใจแล้ว ทั้งสองคนก็ไม่อยากยอมแพ้ตรงนี้ใช่ไหม?” มู่หรงปั๋วเย่ยิ้มอย่างขมขื่นที่เห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทำหน้ามุ่ย เพราะรู้ว่านางต้องรำคาญแน่ๆ แต่ไม่รู้ทำไมไม่ระเบิดอารมณ์เท่านั้นเอง
“ข้าไม่สน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองคนทั้งสองอย่างเรียบเฉยแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ไหนๆ ข้าก็เป็นคนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม มันก็ไม่ใช่เรื่องตลก อยากยอมแพ้ก็แพ้สิ!”
“ในเมื่อคุณหนูสุราไม่เต็มใจเช่นนี้ ผู้น้อยขออำลาไปก่อน!” หวงฝู่หลินจี้ถูกเยี่ยนมี่เอ๋อร์โจมตีด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส จึงโค้งมือคำนับเบาๆ กล่าวว่า “แม้จะจริงใจถึงที่สุด น้ำหยดลงหินยังกร่อนได้ แต่ข้าคิดว่าด้วยบุคลิกร่าเริงของคุณหนูสุราคงจะไม่ชอบคนที่ผัดวันประกันพรุ่งแบบนี้แน่ การได้เจอกัน ได้เห็นแม่นางอยู่อย่างสงบ ผู้น้อยก็พอใจแล้ว!”
เขามีความเย่อหยิ่งในตัวเอง หากคุณหนูสุราตอกย้ำซ้ำๆ หรือจะพูดได้ว่านางจงใจ ก็จะเริ่มใช้น้ำเสียงเย็นเยียบแสดงท่าทีของนางแล้ว หากยังคงตอแยต่อไป นางจะรำคาญมากขึ้น และพวกเขาก็จะยิ่งอับอายเช่นกัน
เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้คุยต่อ นางไม่รู้จะพูดคุยอย่างไร นางไม่เคยต้องการและไม่อยากติดหนี้รักใดๆ สำหรับทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้านางนอกเหนือจากความชื่นชมที่บริสุทธิ์ใจแล้ว นางไม่มีความเสน่หาระหว่างชายหญิง เพียงแต่เหตุใดพวกเขาถึงต้องการให้ตนอยู่ในตำแหน่งหญิงงามคนสนิทด้วยเล่า?
“ปั๋วเย่ หญิงสาวผู้นี้เป็นใครกันแน่? ถึงกับไม่ไว้หน้าให้ปั๋วอวี่กับหลินจี้แบบนี้ได้น่ะ!” เฉินเยียนอวี่พูดออกมาอย่างทนไม่ได้ ในตอนนั้นที่นางรักกับมู่หรงปั๋วเย่ ก็ไม่ได้ให้เขาต้องปรนเปรอและรักใคร่เหมือนอย่างผู้หญิงคนนี้ แม้ทั้งสองจะเข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติราวกับไม่มีเรื่องความสัมพันธ์อันลึกซึ้งระหว่างชายหญิงเลย แต่นางก็ยังมิอาจทนต่อความหึงหวงในใจได้ เมื่อเห็นทั้งสองคนที่โดดเด่นเช่นนี้ โดนแม่นางผู้นั้นปฏิเสธอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางจึงระงับความอิจฉาในใจไม่อยู่ ควรให้แม่นางผู้นั้นรู้ไว้ว่าบุตรชายคนรองของภรรยาเอกและบุตรชายจากห้องสองห้องสามของตระกูลชนชั้นสูงนั้นจะได้รับความนิยมชมชอบจากสาวชาวยุทธ์มากกว่าลูกชายคนโตอย่างมู่หรงปั๋วเย่เสียอีก เนื่องจากพวกเขาเป็นไปได้ที่จะแต่งงานกับสาวชาวยุทธ์เป็นห้องหลัก คุณหนูสุราไม่จำเป็นต้องเก่งไปกว่านาง ทั้งยังพูดอย่างเมินเฉย ไฉนพวกเขาถึงใจดีกับนางขนาดนี้ล่ะ?
“ข้าไม่อยากได้อะไรก็ย่อมเป็นคนเอาแต่ใจแบบนี้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เหลือบมองนางอย่างเยือกเย็น ดูเหมือนนางไม่เคยชอบคนผู้นี้เลยเมื่อเจอกัน และยิ่งหลังจากพบกันก็เป็นเช่นนี้
“เอาล่ะ ข้าจะไปแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่สนใจนางที่หน้าเสียและเศร้าใจ ยักไหล่แล้วมองหวงฝู่หลินจี้ที่หยุดชะงักเพราะคำพูดของเฉินเยียนอวี่ จึงยิ้มจางๆ แล้วพูดว่า “ข้าเชิญพวกเจ้าไปดื่มแล้วกัน อาจจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกในอนาคต หายากกว่าจะได้พบกัน เพียงแค่ดื่มด่ำกับมันสักครั้ง”
“เจ้าเพิ่งบอกไปหยกๆ ว่าไม่อยากดื่มมิใช่หรือ?” มู่หรงปั๋วเย่จงใจทักท้วงนาง และไม่สนใจเฉินเยียนอวี่ที่รู้สึกเสียใจ
“ข้าไม่ดื่ม แต่ดูพวกเจ้าดื่มได้นี่นา” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย่นจมูกแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่าคนขี้เมาระดับสูงสุดคือการดูคนดื่มก็เมาแปล้แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นไปลี่หูชุนเถิด!” มู่หรงปั๋วอวี่พูดทันควัน ลี่หูชุนเป็นกิจการของตระกูลซั่งกวน เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดและแพงที่สุดในเมืองลี่โจว เมื่อตัดสินจากสถานการณ์ที่แออัดในเมืองลี่โจว ตอนนี้ลี่หูชุนจะยังเงียบกว่าสักหน่อย
“ไม่เลวเลยทีเดียว แต่…” มู่หรงปั๋วเย่เจตนามองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเป็นห่วงแล้วพูดว่า “จิ้งเอ๋อร์มีเงินมากพอไหม ถ้าดื่มแล้วไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้ามันจะแย่เอานะ!”
“ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวด้วยรอยยิ้มแป้นว่า “หากไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าแค่ก็เอาคุณชายใหญ่มู่หรงไปขายแลกเหล้าสิ ข้าคิดว่าจะมีคนสมัครใจซื้อเจ้าเป็นแน่!”
ยัยเด็กคนนี้ไม่ยอมทนเสียเปรียบจริงๆ! มู่หรงปั๋วเย่ส่ายหน้า ทำอะไรนางไม่ได้เลย!
“ปั๋วเย่!” เฉินเยียนอวี่ตะเบ็งเรียกด้วยความน้อยใจพร้อมกับน้ำตาคลอแล้วกระซิบว่า “เจ้าสัญญาว่าจะไปเดินเล่นรอบๆ กับข้า”
มู่หรงปั๋วเย่ไม่เข้าใจว่าจู่ๆ ศรีภรรยาที่เห็นอกเห็นใจมาตลอดจะเปลี่ยนเป็นคนละคนไปได้อย่างไร ไม่ค่อยได้เห็นว่าจะขมวดคิ้ว จึงกล่าวว่า “ในที่สุดก็ได้พบจิ้งเอ๋อร์สักที ไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีโอกาสพบกันอีกครั้งเมื่อใด วันนี้จะมาคุยและหัวเราะกับ จิ้งเอ๋อร์ก่อน ถ้าอยากไปเที่ยวชมมืองลี่โจวก็ยังมีเวลาอีกมากนัก”
“อื้ม…” มู่หรงปั๋วเย่ขมวดคิ้วอีกครั้งพร้อมกับเสียงที่เจ็บปวดอย่างไม่สิ้นสุด
“พี่ใหญ่ ข้าว่าอนุภรรยาเฉินไม่อยากไปที่ที่มีคนพลุกพล่านปะปนกันเช่นนั้นหรอก ไม่อย่างนั้นท่านส่งนางกลับเรือนโปรยผกาไปก่อนแล้วค่อยมาหาเราที่ลี่หูชุนเถอะ!” มู่หรงปั๋วอวี่ไม่ได้รู้สึกดีกับเฉินเยียนอวี่สักนิด เขามักจะคิดว่าเป็นเรื่องเหลือ เชื่อที่พี่ใหญ่ชอบนาง โดยเฉพาะหลังจากมีพี่สะใภ้ใหญ่แล้วก็ยังคงคิดคะนึงถึงนางไม่ว่างเว้น การจะรับแต่งนางเข้ามานั้นเป็นเรื่องที่ไม่สมควร บวกกับผู้หญิงคนนี้ชอบหาโอกาสแนะนำน้องสาวที่คุ้นเคยกับนางให้พวกเขารู้จักเสมอ นางมักจะแสดงท่าทีเหมือน ‘ข้าทำดีเพื่อพวกเจ้า’ ซึ่งทำให้คนเบื่อหน่าย หากพวกตนไม่สนใจ ก็จะทำตัวเหมือนสะใภ้ตัวน้อยที่ถูกรังแกอยู่เสมอๆ พอมองหน้านางแล้วทำให้ไม่มีความสุขสักนิด
“ก็ดี!” มู่หรงปั๋วเย่รู้สึกเช่นกันว่าเวลาที่สนุกสนานมักจะมีใบหน้าเศร้าอาดูรห้อยแกว่งไกวอยู่ข้างหน้าเขาเสมอ แล้วยังเพ่งมองตัวเขาเองด้วยสายตาเศร้าสร้อยซึ่งทำให้เสียอารมณ์อยู่ร่ำไป ตรงกันข้าม หยางหานยวนยังจะดีเสียกว่า
“เราไปกันเถอะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ต้องการอยู่ตรงนี้อีกต่อไป นางรู้สึกว่าคนผู้นี้เหมือนวิญญาณอาฆาต แปลกพิศวงนักก่อนหน้านี้มู่หรงปั๋วเย่ไม่ได้บอกว่านางเข้าอกเข้าใจผู้อื่น นางเป็นบุปผาที่สื่อภาษามนุษย์ได้มิใช่หรือ? แล้วมันกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เมื่อเทียบกับหยางหานยวนผู้สง่างามใจดี แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยซึ่งให้อารมณ์แบบสตรีองอาจห้าวหาญเยี่ยงบุรุษนั้น นางเทียบไม่ติดเลย!
“เราก็ไปกันเถิด!” เมื่อเห็นพวกเขาเดินจากไป มู่หรงปั๋วเย่ก็ส่ายศีรษะดิก มีคนขับรถม้าที่รออยู่ข้างๆ รีบมารับทันที หลังจากขึ้นรถไปพร้อมกับเฉินเยียนอวี่ เขาก็หลับตาลงและไม่แม้แต่จะมองนางเลย…
——————-