ครั้นสีท้องฟ้าเริ่มสว่างเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ตื่นขึ้นแล้ว นางไม่ได้รบกวนปลุกซั่งกวนเจวี๋ยที่หลับสนิท แต่เอนตัวนอนในอ้อมแขนของเขาแล้วพินิจใบหน้าของเขาอย่างละเอียด คิ้วของเขาเป็นคิ้วดาบดกดำเฉกเช่นบุรุษมากออกปานนั้น ยามมองแบบนี้ดูหล่อเหลายิ่งนัก แต่เวลาที่ใบหน้ามืดมน กลับกลายเป็นความรู้สึกที่อันตรายอย่างยิ่งยวด ดั้งจมูกโด่งสัน แต่ปลายจมูกใหญ่เล็กน้อยไม่ได้ทำให้ดูดีน้อยลงเสียอย่างนั้น ริมฝีปากค่อนข้างหนากว่าผู้ชายทั่วไป ทำให้เวลาจุมพิตช่างอบอุ่นยิ่งนัก จึงขยับนิ้วลูบไล้ไปบนดวงหน้าของเขาอย่างช้าๆ และแผ่วเบาตามสายตาที่จ้องมอง แต่คาดไม่ถึงจะถูกเขาจับมือไว้ เมื่อมองอีกครั้ง เขาก็ลืมตาขึ้นพร้อมกับอาการงัวเงียและบิดขี้เกียจ เจือความโกรธบางเบา…
“เจ้าไม่ควรท้าทายความปรารถนาของข้าจะดีกว่า สิ่งที่ผู้ชายควบคุมไม่ได้ที่สุดในตอนเช้าคือความกำหนัด” ซั่งกวนเจวี๋ยนัวเนียจูบภรรยาจนหนำใจ และคำเตือนที่ทำให้ทำตัวไม่ถูกนั้น…การตั้งครรภ์ของนางเป็นข่าวมงคล แต่ก็เป็นการทรมานเขาเช่นกัน แต่เขาอยากจะสนุกกับการทรมานอันแสนหวานแบบนี้มากกว่ากลับไปนอนที่เรือนไร้เดี่ยว
“ข้าเปล่าเสียหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กะพริบตามองเขาอย่างหยาดเยิ้มประดุจแพรไหม รู้ว่าหมู่นี้เขาอดทนอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่อยากปล่อยให้นางอยู่ตัวคนเดียวในห้องที่ว่างเปล่า และไม่ต้องการจะชายตามองอู๋เลี่ยนเยี่ยนที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขาบ่อยครั้งในสองวันที่ผ่านมานี้
“เจ้านี่นะ!” ซั่งกวนเจวี๋ยบีบจมูกของมี่เอ๋อร์แล้วพูดว่า “วันนี้ข้าจัดการเรื่องคนที่น่ารำคาญพวกนั้นได้ทั้งหมดจนเสร็จสรรพ จึงอยู่กับเจ้าได้อย่างสบายใจสองวัน ข้าได้ยินม่านเหอบอกว่า สองวันนี้เจ้าไม่เจริญอาหาร แพ้ท้องหรือ?”
“แค่เพราะอากาศร้อน ก็เลยไม่อยากกินเท่านั้นเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์โน้มตัวไปคลอเคลียซั่งกวนเจวี๋ยด้วยความสุขใจแล้วพูดเบาๆ ว่า “ลี่โจวร้อนกว่าอู๋โจวอยู่แล้วนิดหนึ่ง ข้าไม่กล้าตะกละ ถ้ากินเย็น ย่อมกินได้ไม่มากนัก เพียงแต่แม่นมให้ข้ากินห้าหกครั้งต่อวัน นับๆ ดูแล้วมากกว่ายามปกติด้วยซ้ำ”
“ข้ายังกังวลว่าลูกจะไม่เชื่อฟัง ทำให้เจ้าไม่เบิกบานใจ” ซั่งกวนเจวี๋ยโล่งใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำนั้น แต่เขาก็รู้ด้วยว่า อินหงหลันมาจับชีพจรของนางทุกสองวัน ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงมากนัก แต่ก็ยังอดไม่ได้
ในขณะที่เพิ่งรู้ข่าวดี มี่เอ๋อร์ก็สลบไสลไม่ได้ฟื้นขึ้นมา ความรู้สึกดีใจจึงเจือจางลงเล็กน้อย จากนั้นก็เกิดเรื่องต่างๆ ขึ้น ทำให้เขาไม่มีเวลาขบคิดมากนักถึงชีวิตน้อยๆ ที่มาเกิดนี้ แม้กระทั่งตอนนี้ ข่าวนี้ยังรู้จำกัดเฉพาะคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น…บางทีทั่ว ป๋าซู่เยวี่ยและคนอื่นๆ อาจรู้แล้ว อย่างไรก็ตามแม้แต่พวกมู่หรงปั๋วเย่ก็รู้ข่าวนี้จากปากของบ่าวไพร่ในเรือนหิมะสุขใจ แต่เขาไม่ ได้ป่าวประกาศกับธารกำนัล ทั่วป๋าซู่เยวี่ยก็แสร้งหูหนวกเป็นใบ้ราวกับไม่รู้ไม่เห็น ทว่าเมื่อดูจากที่อู๋เลี่ยนเยี่ยนอดโผล่หน้ามาให้เขาเห็นบ่อยๆ ไม่ได้นั้น แสดงว่าหลายคนรู้ดีอยู่แก่ใจ เพียงแค่แกล้งทำเป็นโง่เง่าเต่าตุ่นเท่านั้นเอง
“ทำไมหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์หยอกตีเขาทีหนึ่งอย่างกระเง้ากระงอดแล้วพูดว่า “จะพูดจาส่งเดชไม่ได้ ลูกว่านอนสอนง่ายมาก อีกอย่าง ต่อให้จะแพ้ท้อง ก็ยังไม่ถึงเวลาหรอก! ท่านลุงอินบอกว่ายามนี้เด็กอายุไม่ถึงสี่สิบวัน เป็นเวลาที่ประพฤติตัวดีที่ สุด หากรอไปอีกกว่าสิบวันก็จะซุกซนบ้าง หากจะแพ้ท้อง ก็ต้องรอผ่านไปสองเดือนแล้ว เจ้าจะว่าลูกซี้ซั้วไม่ได้นะ”
“ทราบแล้ว!” ซั่งกวนเจวี๋ยคลี่ยิ้มหอมนางแล้วพูดว่า “ข้าควรจะตื่นได้แล้ว แต่ยังเช้าอยู่เลย เจ้านอนต่ออีกหน่อยก็ได้ข้าจะไปส่งเพื่อนๆ วันนี้ อาจจะกลับมาดึกบ้าง เจ้าไม่ต้องรอข้านะ”
“อื้ม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มและพยักหน้า วันนี้นางยังได้นัดหมายอินหงหลันกับภรรยาเพื่อพูดคุยกันอย่างละเอียด
เมื่อวันก่อนนางใช้เวลาทั้งวันสงบความรู้สึกที่ควบคุมไม่ได้ลง เมื่อวานเซียงเสวี่ยกับตงอวี่ออกไปอีกครั้ง พวกนางได้พบกับแม่นมที่ร้ายกาจจากคำบอกเล่าของตงอวี่ หลังจากพูดซ้ำอีกรอบอย่างปีติยินดี แม่นมผู้นั้นก็เงียบไปนานพักใหญ่แล้วพูดมาคำหนึ่งว่า ‘นางพูดความจริงทั้งนั้น และเป็นคนที่เชื่อถือได้ด้วย!’
เมื่อวานนี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่นาน และตัดสินใจจะพูดคุยดีๆ กับพวกเขาสักครั้ง พวกเขาล้วนยืนยันความ สัมพันธ์ของตัวเองกับท่านป้าแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเลิกสนใจหรือปกปิดเรื่องราว เพียงแต่พวกเขาก็เกรงใจนางมากจึงให้เวลาคิดทบทวน ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์เองควรจะพูดคุยกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา
หลังจากที่ซั่งกวนเจวี๋ยออกไป นางก็อาบน้ำแต่งตัวให้เหมาะสม แล้วเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็สั่งให้จื่อหลัวเตรียมน้ำชาและของว่างต้อนรับแขกในเรือน สำหรับอินหงหลันและภรรยาที่ใจร้อนดั่งไฟสุมขอนก็ไม่ปล่อยให้นางรอนานเช่นกัน เพิ่งจะเตรียมน้ำชาและของว่างเสร็จ ทั้งคู่ก็มาถึงเรือนมีคู่ เด็กทั้งสองถูกพวกเขาทิ้งไว้ที่เรือนทางใต้
“ท่านทั้งสองเชิญนั่งเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ขอให้พวกเขานั่งลงแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “จื่ออวิ๋นชงชาเสร็จก็ลงไปได้ ให้เซียงเสวี่ยอยู่ที่นี่คนเดียวก็พอ”
“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” บรรดาสาวใช้ล้วนเคยชินเสียแล้วที่มีเพียงเซียงเสวี่ยรอรับใช้อยู่ข้างกายเยี่ยนมี่เอ๋อร์ หลังจากจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็ออกไปด้วยกัน จื่อหลัวยังคงเฝ้าอยู่บริเวณโดยรอบอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ใครเข้าใกล้ ยิ่งไม่ให้โอกาสพวกเขาได้ยินอะไรทั้งสิ้น
“เจ้าคิดออกหรือยัง?” ซินหรันถามอย่างตื่นเต้น ยามนี้นางไม่ได้รีบร้อนแม้แต่น้อย นางยอมจะรอแบบนี้ตลอดไป
“ข้าไม่แน่ใจจริงๆ ว่าท่านป้าคืออวี๋ฮวนที่พวกเจ้าเอ่ยถึงหรือไม่” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดเบาๆ ว่า “แต่มีคนบอกข้าว่าที่พวกเจ้าพูดคือความจริง พวกเจ้าเป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ ข้าจึงคิดว่าข้าน่าจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับท่านป้าให้พวกเจ้าฟังได้”
“ท่านป้า?” อินหงหลันสะดุ้งเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่านางพูดถึงใคร
“ข้าคิดว่าท่านลุงอินต้องแปลกใจมากแน่ๆ ว่าท่านป้าที่ข้าพูดถึงคือใครสินะ!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เผยยิ้มอ่อน แต่รอยยิ้มแกมความงดงามระคนเศร้าหดหู่อยู่บ้างแล้วเล่าว่า “ท่านป้าเป็นแม่บุญธรรมของข้าและเป็นอาจารย์ของข้าด้วย เมื่อปีนั้นข้าอายุสองขวบ ท่านป้าปรากฏตัวในชีวิตของข้าในฐานะแม่บุญธรรม ยามที่ข้ายังเด็กตัวเท่าเมี่ยงนางเริ่มสอนข้าเรื่องแปลกพิสดาร เช่น การวางยาพิษและวิชาหยกหอม ครั้นเติบโตขึ้น ท่านป้าก็สอนสิ่งต่างๆ มากขึ้น ทั้งทักษะการปลอมตัว กระบวนท่าวรยุทธ์ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมต่างๆ นานา ตำราแพทย์ง่ายๆ…ข้าไม่รู้ว่าทำไมท่านป้ารู้มากมายขนาดนั้น แต่ข้าเชื่อใจท่านป้า เชื่อมั่นว่าท่านป้าหวังดีต่อข้า จึงเชื่อฟังเล่าเรียนตามที่ท่านป้าสั่งสอนเสมอมา ปิดบังทุกคน รวมทั้งท่านแม่ของข้าด้วย เมื่อข้าอายุสิบสี่ ท่านแม่จากไป ท่านป้าก็ค่อยๆ เริ่มบอกข้าว่าเหตุใดนางถึงมาหาข้า นางบอกว่านางเกลียดชังซั่งกวนฮ่าว แต่ที่ผ่านมานางไม่เคยลอบสังหารสำเร็จ ดังนั้นนางจึงคิดจะพึ่งพาข้าช่วยล้างแค้นให้กับนาง ส่วนเคียดแค้นเรื่องอะไรนั้น ท่านป้าบอกสั้นๆ ว่าซั่งกวนฮ่าวฆ่าบิดาและศิษย์ผู้พี่ของนาง ศิษย์พี่ผู้นั้นเป็นคนที่นางจะแต่งงานด้วย”
“นางต้องเป็นพี่อวี๋ฮวนแน่!” น้ำเสียงของอินหงหลันเป็นไปในเชิงบวก เขารู้ดีมากว่าอวี๋ฮวนถนัดอะไรบ้าง และเข้าใจถึงความคับข้องใจระหว่างนางกับซั่งกวนฮ่าว
“ท่านป้าพูดเสมอว่านางแซ่โม่ เป็นแม่หม้าย แต่หลังจากที่นางบอกเรื่องนี้กับข้า นางบอกว่านางไม่ใช่แม่หม้าย แต่เนื่องจากศิษย์พี่ของนางเสียชีวิต เพราะศิษย์พี่นางจึงถือว่าตัวเองเป็นแม่หม้าย นางบอกว่านางชื่อโม่อวี๋ฮวน!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า “ดังนั้น ในวันนั้นข้าจึงประหลาดใจมากเมื่อได้ยินชื่ออวี๋ฮวนนี้ ข้าอยากจะเชื่อที่เจ้าพูดในตอนนั้น แต่ข้าก็ยังเลือกจะสงสัยและหลบหนี ท่านลุงอินเป็นแขกสนิทของตระกูลซั่งกวน สหายสนิทของท่านพ่อซึ่งเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของท่านพ่อ จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านป้าซึ่งเป็นศัตรูของตระกูลซั่งกวนได้อย่างไรล่ะ?”
“ไฉนพี่สาวถึงกลายเป็นแม่บุญธรรมของเจ้า?” ซินหรันเอ่ยถาม ยามนี้สิ่งที่นางไม่อยากรู้ที่สุดคือจุดจบของอวี๋ฮวน นางรู้ดีว่ามันจะเป็นคำตอบที่พวกเขาต่างไม่มีใครยอมรับได้ ต่อให้ทั้งคู่สามีภรรยาจะเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วก็ตาม และปลอบโยนกันมาพักหนึ่ง แต่ก็ยังชอบซ่อนตัวอยู่ในเปลือกเหมือนหอยทาก และไม่ต้องการออกมาดูว่าใต้หล้าเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง
“ท่านป้าจะสอนข้าด้านไม่ดีด้วย ดังนั้นจึงสอนเรื่องอบายมุขทุกประเภทตั้งแต่ข้ายังเด็ก ถึงขั้นยังหลอกล่อข้าให้ดื่มเหล้า เล่นลูกเต๋าและยังสอนข้าในเรื่องที่รุนแรง…” ตอนนี้เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองย้อนกลับไปจึงรู้สึกว่ามันน่าเหลือเชื่อมาก ทั้งยังเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ตนรักษาขนบของกุลสตรีที่อ่อนโยนดีงามไว้ได้ในเวลานี้! บัดนี้นางจำรูปลักษณ์ที่ปลอมตัวเป็นคุณหนูสุรากับกุลสตรีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อยไม่ได้เลย
หา? ซินหรันและอินหงหลันมองหน้ากันอย่างตกใจ ทั้งสองคนที่จิตใจค่อนข้างเรียบง่ายจึงไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้ไปพัวพันกับการแก้แค้นอย่างไร
“ท่านป้าบอกว่าถ้าสอนข้าด้านไม่ดี หลังจากแต่งเข้าตระกูลซั่งกวนจะได้ทำร้ายตระกูลซั่งกวนโดยไม่รู้ตัว อืม…ไม่มีคำพูดแบบอื่นหรอกหรือ? ที่เรียกว่าแต่งภรรยาไม่ดีจะทำร้ายลูกหลาน ท่านป้าสื่อถึงความหมายนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ยิ้มจางๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นพลางกล่าวว่า “แผนการของท่านป้าดีนัก แต่น่าเสียดายที่ท่านป้าลืมไปจุดหนึ่ง นั่นคือหัวใจของนางเอง เมื่อท่านแม่เสียชีวิต ฝากฝังข้าไว้กับท่านป้า ซึ่งรวมถึงเรื่องออกเรือนของข้าด้วย ท่านป้าครุ่นคิดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงปล่อยวางความเกลียดชังไว้ คำนึงถึงความสุขของข้า หลังจากที่นางได้พบกับเจวี๋ย ก็โยนความชิงชังทั้งหมดไปอย่างสิ้นเชิง และทุ่มเทให้กับการแต่งงานของข้าอย่างกระตือรือร้น”
“พี่สาวเป็นแบบนั้นในบางครั้ง เพื่อความสุขของคนอื่น จึงลืมเคราะห์ร้ายของตัวเองไปเสีย” ซินหรันอดเช็ดน้ำตาไม่ได้
“ท่านป้าหวังว่าจะได้เห็นข้าแต่งตัวสวยงามเพื่อออกเรือนมาตลอด แต่เมื่อเดือนหกปีกลาย สุขภาพของท่านป้าก็ค่อยๆ ทรุดลง มียาพิษสะสมในร่างกายของท่านป้ามากเกินไป ยามที่นางแข็งแรงก็ไม่ทันได้สังเกต แต่พออ่อนแอลง ยาพิษเหล่านั้นก็อาศัยจังหวะอ่อนแอแทรกซึมเข้าไปในร่างกาย ทำให้อวัยวะภายในของท่านป้าเสียหายจนไม่สามารถฟื้นคืนได้…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ฝืนยิ้มจางๆ พลางกล่าวว่า “ท่านป้าใช้วิชาปลอมตัวเพื่อปกปิดใบหน้าตั้งแต่นางมาถึงตระกูลเยี่ยน แต่หลังจากเดือนแปดปีที่แล้ว นางไม่ได้สวมหน้ากากอีกต่อไป ใช้เพียงการปลอมตัวธรรมดาเพื่ออำพราง ในเวลานั้นท่านป้าหมดหนทางเยียวยาแล้ว แก่ชราขึ้นทุกวัน มารู้อีกทีก็จากโลกนี้ไปแล้วเมื่อเดือนอ้ายของปีนี้”
ซินหรันปิดปากไว้แน่น แต่น้ำตาก็ไหลพรากอาบแก้มลงมาอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาของอินหงหลันก็เป็นสีแดงฉาน จับมือภรรยาไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ
“ท่านป้าให้ข้าสาบานกับนางก่อนจะตายว่าข้าต้องทำตามสัญญาหมั้นหมาย ต้องมีความสุข ต้องลืมความแค้นเคืองของนาง…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์น้ำตารื้นขอบตาทั้งคู่ ส่วนเซียงเสวี่ยก็น้ำตาไหลร่วงเผาะอาบแก้ม นางหยุดชั่วขณะเล็กน้อย จากนั้นไม่นานก็หายเป็นปกติแล้วพูดต่อ “ข้าจึงยังคงแต่งเข้ามา แต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีคนรู้จักของท่านป้าอยู่ที่นี่ด้วย ยิ่งนึกไม่ถึงว่าความเป็นศัตรูระหว่างท่านป้ากับตระกูลซั่งกวนจะเป็นเรื่องเช่นนี้!”
“ถ้าเจ้าไม่แน่ใจว่าเพราะความแค้นเหล่านี้ตระกูลซั่งกวนจึงไม่ถูกปฏิเสธ ท่านพี่จะไม่ยอมให้เจ้าแต่งกับเจวี๋ยเอ๋อร์แน่นอน!” อินหงหลันถอนหายใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “แล้วอัฐิของท่านพี่อยู่ที่ไหน ข้าต้องเก็บเถ้ากระดูกเพื่อนาง พิษในร่างกายของนางน่าจะเป็นการใช้ร่างกายทดสอบในอดีต แต่ทั้งไม่มีเวลาและกำลังวังชาเพียงพอจะฟื้นฟูถึงได้เหลือตกค้างอยู่ และโหมกระหน่ำทำร้ายในร่างกายของนาง ถ้าเก็บไม่ดีหรือเผาเพียงอย่างเดียว มันจะเป็นพิษตกทอดไม่มีที่สิ้นสุดแน่ ท่านพี่ไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เป็นแน่”
“ศพของท่านป้าข้าเผาด้วยมือของข้าเอง!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกปวดใจยิ่งนักยามนึกถึงตอนที่ตนเห็นโม่อวี๋ฮวนกลายเป็นเถ้าถ่านไปต่อหน้าต่อตา จึงข่มความเจ็บปวดแล้วพูดว่า “เมื่อครบร้อยวันอัฐิได้ส่งไปที่อารามสัตตบงกช ถ้าพวกเจ้าอยากไปดูล่ะก็ รอวันที่เราจะไปด้วยกันก็ได้ ข้าอยากบอกท่านป้าด้วยว่า ตอนนี้ข้ามีความสุขมากและข้าจะเป็นแม่คนแล้ว!”
“อารามสัตตบงกช?” อินหงหลันกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ใช่แล้ว อารามสัตตบงกช!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะฝังท่านป้ากลับไปที่ภูเขาเฮ่อ เพื่อที่นางจะได้กลับไปบ้านเกิดและฝังไว้กับคนที่นางรักที่สุด!”
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็มาทำด้วยกันเถอะ” อินหงหลันรู้สึกเป็นทุกข์จนใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ สุดท้ายอวี๋ฮวนกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ทั้งเขายังไม่เห็นหน้านางเป็นครั้งสุดท้าย ไม่สามารถทำให้นางรู้ว่าเขาโตแล้วด้วย แต่งงานกับน้องสาวคนเล็กที่นางรักที่สุด และให้กำเนิดลูกที่มีชีวิตชีวาและน่ารักคู่หนึ่ง
“ในปีนั้นซั่งกวนฮ่าวฝังศพพ่อและศิษย์พี่ของพี่อวี๋ฮวนไว้ที่ภูเขาเฮ่อ แต่ไม่กล้าสร้างป้ายหลุมฝังศพให้พวกเขา เพราะตระกูลมู่หรงส่งคนมาตรวจตราเสมอ ถ้าฝังนางข้างๆ พวกเขา ท่านพี่คงจะดีใจมากเป็นแน่!” ซินหรันเช็ดน้ำตา ไม่อยากให้บรรดาบ่าวไพร่เห็นแล้วจะส่งผลกระทบต่อเยี่ยนมี่เอ๋อร์ในภายหลัง
“แล้วจะไปเมื่อใดเล่า?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์อยากไปเสียตอนนี้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเดินทางไกลในสภาพแบบนี้
“เมื่อเจ้าคลอดลูก บำรุงสุขภาพแล้วค่อยมาคุยกันเถิด” อินหงหลันพูดเบาๆ ว่า “คนเป็นสำคัญกว่าคนตาย ท่านพี่ไม่โกรธหรอก เราแค่เลื่อนวันไปจุดธูปขอขมา และอธิบายให้นางฟังเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไรแล้ว”
“ข้าต้องปกปิดเรื่องของข้ากับท่านป้าอยู่ร่ำไปหรือไม่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถามอย่างไม่แน่ใจ นางไม่รู้ว่ายามนี้ควรพูดเปิดอกกับเจวี๋ยหรือไม่ บางครั้งนางผลีผลามเช่นนั้น อยากจะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่าง แต่นางไม่กล้าพนัน นางไม่อยากปล่อยให้ความ สุขที่ได้มีอยู่ในชั่วข้ามคืนแล้วกลายเป็นฟองอากาศหายไป แม้นางจะมั่นใจว่าเจวี๋ยก็รักนางอย่างลึกซึ้งเช่นกัน แต่ชีวิตแต่งงานของทั้งคู่กินเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น เวลานี้ดูสวยงามน้ำต้มผักยังว่าหวาน แต่ยังไม่ผ่านเวลาหล่อหลอมอีกหลายปี ทั้งยังเปราะ บางมาก นางไม่ต้องการจะสุ่มเสี่ยงแต่อย่างใด
“ไม่ใช่ตอนนี้” อินหงหลันส่ายศีรษะแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ซั่งกวนมีความแค้นกับนางมากที่สุด ถ้านางรู้ถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับท่านพี่จะต้องแตกหักกันไปข้างหนึ่ง ส่วนพี่ฮ่าวจะต้องเข้าข้างเจ้าแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลซั่งกวนจะไม่มีวันได้สงบสุขจริงๆ”
“ไยท่านแม่ถึงเกลียดท่านป้ามากที่สุด?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้
“ถ้าพี่ชายสุดที่รักและสามีคนโปรดของเจ้าเคยชอบพอผู้หญิงคนเดียวกัน ใจเจ้าก็จะเต็มไปด้วยความแค้นที่มีต่อนาง” ซินหรันพูดเรียบเฉยว่า “หวงฝู่เจิ้นหลงแย่กว่าซั่งกวนฮ่าวหลายขุม เดิมทีภรรยาของเขาก็เป็นคนชอบแข่งขันชิงดีชิงเด่น และชอบชี้นิ้วสั่งบงการกิจการของตระกูลหวงฝู่ เช่นเดียวกับฮูหยินใหญ่ซั่งกวนที่ต้องการจะย้ายทุกอย่างไปไว้บ้านแม่ เขาจะพอใจได้หรือ? หวงฝู่เยวี่ยเอ้อกลับเดินหลงทิศหลงทาง แม้จะสับสนอยู่หลายปี แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่าควรทำอย่างไร ซั่งกวนฮ่าวเป็นคนที่มีจิตใจกว้างขวาง ย่อมใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามธรรมชาติ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมรับความจริงที่ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของพี่อวี๋ฮ่าว เพื่อเจ้า และเพื่อความผาสุกของตระกูลซั่งกวน อย่าบอกกล่าวเรื่องนี้ อย่าลืมนะ ยังมีฮูหยินใหญ่อีกผู้หนึ่งที่อดใจไม่ไหวรอจับผิดบดขยี้ชีวิตเจ้าอยู่”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ผงกศีรษะ ดูท่ายังต้องเก็บซ่อนมันต่อไปเท่านั้น
“อันที่จริงซ่อนไว้ต่อไปก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องเลวร้าย มีไพ่ไม้เด็ดดีกว่าเสมอ” อินหงหลันกล่าวปลอบโยน
อย่างไรก็ตาม ไพ่ไม้เด็ดของข้ามีมากกว่าใบนี้! เยี่ยนมี่เอ๋อร์อ้าปากและหุบปากไป ไม่รู้ว่าจะบอกพวกเขาอย่างไรถึงความยุ่งเหยิงของตนกับซั่งกวนเจวี๋ย
“สาวใช้คนนี้เป็นคนที่ท่านพี่ให้อยู่ข้างกายเจ้ากระมัง!” ซินหรันยังคงชอบเซียงเสวี่ยมากกว่า รู้สึกว่าการได้เห็นนางก็เหมือนกับได้เจอตัวเองในอดีต
“ใช่! นางถือได้ว่าเป็นศิษย์ของท่านป้า ทั้งการปลอมตัวและยาพิษท่านป้าสั่งสอนนางเองกับมือ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พยักหน้า จากนั้นพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาพลางเอ่ยขึ้นว่า “ปีนี้นางอายุสิบสี่ ไม่ทันไรก็จะถึงอายุแต่งงานแล้ว ข้าอยากจะถามไถ่ทั้งสองท่านสักเรื่องหนึ่งด้วย”
“เจ้าว่ามาเถิด” ซินหรันถึงกับผงะไปชั่วขณะ แต่ในไม่ช้าก็เข้าใจเจตนาของนาง ทำให้ประทับใจนางมากขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าพอช่วยได้ เราสามีภรรยาทำเต็มที่ไม่บอกปัดแน่”
“ข้าต้องการมอบเซียงเสวี่ยให้กับท่านทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นน้องสาวหรือลูกสาวก็ได้ เพื่อที่นางจะได้หลุดพ้นจากสถานะทาส และมีบ้านพักพิงที่ดีในอนาคต” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ห่วงใยบ้านพักพิงของเซียงเสวี่ยมากที่สุด นางแตกต่างจากจื่อหลัวกับลู่หลัว คนที่นางชอบพอ อาจไม่รังเกียจฐานะของนาง และไม่ถือสาตัวตนของนาง แต่นางอาจจะไม่ชอบก็ได้ ถ้าอินหงหลันและภรรยาจะให้สถานะกับนางเป็นน้องสาวบุญธรรมหรือลูกสาวบุญธรรมก็ได้ ชีวิตของนางจะได้ดียิ่งขึ้น
“สะใภ้ใหญ่ ข้าเคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างท่านไปตลอดชีวิตนะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยไม่แปลกใจ
“ถ้าเจ้ากลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของเรา ก็นับได้ว่าเป็นน้องสาวของมี่เอ๋อร์ และอยู่ในตระกูลซั่งกวนได้ตลอดไป”
อินหงหลันกล่าวอย่างเรียบง่ายว่า “เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้ไว้ก่อนชั่วคราว แล้วเราจะหารือกันอย่างรอบคอบอีกครา จะรอพี่ฮ่าวกลับมาด้วย ข้าจะขอให้เขาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในพิธี รับเจ้าเป็นลูกสาวบุญธรรมอย่างเป็นทางการ! เจ้ามีเสน่ห์แบบนางสองส่วน เมื่อถึงเวลานั้นเราจะบอกว่าเจอกันครั้งแรกก็ถูกชะตาเหมือนได้พบญาติพี่น้อง จึงชอบเป็นพิเศษด้วยประการฉะนี้ และสองสามวันนี้เราได้ติดต่อกับพวกเจ้าบ่อยครั้ง ข้าจะอธิบายให้ฟังแบบนี้”
“ข้าคิดว่าดีเหมือนกัน” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จับมือของเซียงเสวี่ยแล้วพูดว่า “ข้ามีสาวใช้มากมายรอบตัว ไม่มีมากไปกว่าเจ้าและไม่มีน้อยไปกว่าเจ้า แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นน้องสาวของข้า นั่นคือจะเป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร”
“ข้าได้สัญญากับท่านป้าว่าจะภักดีต่อท่านจนกว่าชีวิตจะหาไม่นะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยไม่ต้องการจากเยี่ยนมี่เอ๋อร์
“หากเจ้าเป็นน้องสาวของข้าก็อยู่ได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดนุ่มนวลว่า “อีกอย่างเจ้าเป็นสาวใช้ ข้าทำได้เพียงเอ็นดูได้นิดหน่อย แต่ถ้าเจ้ากลายเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะดีและสนิทกับเจ้าได้มากกว่านี้ เป็นน้องสาวย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”
“ข้าใคร่ขอเวลาคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบนะเจ้าคะ” เซียงเสวี่ยไม่ยอมพยักหน้า แต่นางรู้ว่านี่เป็นความกรุณาของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ นางต้องการให้ฐานะและอนาคตกับตัวเอง แต่ตอนนี้นางแค่อยากอยู่เคียงข้างมี่เอ๋อร์เท่านั้น
“ไม่เป็นไร เราค่อยๆ คิดได้” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้ขู่เข็ญนาง และไม่อยากจะบังคับนาง นี่เป็นเรื่องสำคัญของทั้งชีวิต ดังนั้นจึงควรคิดทบทวนอย่างละเอียดรอบคอบ
“เราค่อยเป็นค่อยไปก็ได้” อินหงหลันยังคงชื่นชอบเซียงเสวี่ยอยู่ จะพูดอย่างไรดีล่ะ? แวบแรกเขาก็ชอบหญิงสาวผู้นี้ที่ดื้อรั้นระคนมีแววตาเหี้ยมโหด ในตอนนั้นเขายังไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกนางกับพี่อวี๋ฮวนด้วยซ้ำ!
“แต่จะดีกว่าถ้าไม่รอนานเกินไป” ซินหรันพูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าอยากให้ลูกของมี่เอ๋อร์เรียกเจ้าว่าท่านน้าหรือแม่นมล่ะ ถ้ารอจนกระทั่งเด็กคลอด แล้วเจ้ายังไม่ได้คิดให้ถ่องแท้ เจ้าก็จะเป็นได้เพียงแค่แม่นมของเด็ก”
เซียงเสวี่ยอ้าปากกว้าง ทำไมต้องลากเด็กในครรภ์มาข้องเกี่ยวด้วยเล่า?
———————