เจ้าสาวร้อยเล่ห์ – ตอนที่ 222 กระทำไปโดยไม่รู้ตัว

สิ่งใดคือความอบอุ่นหรือเย็นชา ชีวิตที่ผ่านมาครึ่งปีทำให้ทั่วป๋าฉินซินได้สัมผัสถึงความนัยของคำนี้อย่างลึกซึ้ง

ระหว่างทางกลับเหยี่ยนโจว ท่าทีเย็นชาของทั่วป๋าเชียนเย่าทำให้ทั่วป๋าฉินซินที่ได้รับความเจ็บช้ำน้ำใจรู้สึกถึงความอับจนหนทางและหวาดกลัว แต่นางก็ยังคงรวบรวมความกล้าขึ้นมา พูดโน้มน้าวให้ทั่วป๋าเชียนเย่าเหลือตัวสาวใช้คนสนิทของนางทั้งสองคนไว้ ภายหลังก็จะกลายเป็นสาวใช้สินเจ้าสาวคอยรับใช้ข้างกายนางไปชั่วชีวิต ทั่วป๋าฉินซินในเวลานั้นเอาแต่มุ่งหวังที่จะกลับเหยี่ยนโจวให้เร็วที่สุดเท่านั้น เมื่อกลับมาถึงบ้านที่แสนอบอุ่นหลังนั้น ก็จะถลาเข้าไปร้องไห้ในอ้อมอกของมารดาทันที ระบายความอยุติธรรมและความเจ็บปวดในใจออกมา

แต่นางคาดไม่ถึงเป็นอย่างมากว่า สิ่งที่ต้อนรับนางอยู่จะเป็นมารดาที่ใบหน้าสงบนิ่งดุจสายน้ำ ทั้งถลาเข้ามาตบใบ หน้าอย่างรุนแรง ทั่วป๋าฉินซินที่ถูกตบถึงกับนิ่งงัน ในความทรงจำของนาง มารดาเป็นผู้ที่ดูแลและเอาใจใส่นางมาโดยตลอด หากต้องการดวงดาวก็ไม่อาจเอาพระจันทร์มาให้ นี่จึงนับเป็นครั้งแรกในความทรงจำที่นางถูกตี

นางร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือน มองใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องประทินโฉมอย่างบรรจงของมารดาที่มีแต่ความโกรธแค้นเต็มไปหมด เป็นแม่นมลู่ที่เข้ามาพยุงท่านแม่ไว้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เสียงร่ำไห้และก่นด่าทุกถ้อยคำของมารดาก็ยังคงบาดลึกอยู่ในหูของนาง เนื้อความในนั้นคืออะไร นางจำไม่ได้แล้ว สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือคำถามที่มารดาถามนางว่า ‘ไฉนจึงไม่ไปตายเสีย! เหตุใดจึงต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นความอัปยศที่นี่!’

ทั่วป๋าฉินซินถูกส่งกลับเรือนของตัวเองอย่างจิตใจล่องลอย พี่ชายพี่สะใภ้ใหญ่ที่รักและเอ็นดูนางมาโดยตลอดไม่ได้เข้ามาหานาง มีเพียงน้องสาวลูกอนุที่นางเอาแต่ดูแคลนโผล่หน้ามา แสดงความยินดีนางด้วยยิ้มระรื่นที่แต่งเข้าตระกูลซั่งกวนได้สมใจหวัง

หลังจากนางตื่นก็บุกเข้าไปในห้องพี่ชายใหญ่เหมือนทุกครั้ง คิดอยากจะพูดกับพี่ใหญ่ดีๆ เสียหน่อย บอกเล่าเรื่องราวที่นางประสบพบเจอมาทั้งหลาย คาดไม่ถึงว่าพี่ชายใหญ่ที่อดกลั้นนางมาโดยตลอดกลับโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ก่นว่านางไม่รู้จักกฎระเบียบ ทั้งยังเรียกคนให้ไล่นางออกไปอย่างตรงๆ และพี่สะใภ้ใหญ่ที่มักจะพูดพร่ำว่าเห็นนางเป็นเหมือนน้องสาวตัวเองคนนั้น ก็แทบจะไม่มองหน้าตนสักนิด กล่าวอย่างเรียบนิ่งว่า ‘คุณหนู อย่างไรเคารพกฎเกณฑ์จะดีกว่า เจ้ามีบ้านฝั่งสามีแล้ว แม้จะไม่ต้องกังวลอนาคตตัวเอง แต่ก็ยังต้องคิดเผื่อน้องสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน แม้ว่าเจ้าทำลายชื่อเสียงคุณหนูทั้งตระกูลจนป่นปี้ แต่จะทำให้นางกลายเป็นที่แปลกแยกของสังคมไปด้วยไม่ได้’

ทั่วป๋าฉินเฟิงผู้น่ารังเกียจที่เอาแต่แสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าตัวเองผู้นั้น บางวันยามที่เผลอพบเข้าโดยบังเอิญก็จะทำเสียง ‘จุ๊ๆ’ มองตัวเองขึ้นๆ ลงๆ อย่างพินิจ ทั้งยังพูดว่า ‘หงส์ที่ขนหลุดร่วงก็ยังมิอาจสู้กับไก่[1] ประโยคนี้พูดไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ’ จากนั้นก็จะกล่าวโทษตัวเองอย่างตรงๆ พยายามเอาจุดด่างพร้อยของตัวเองออกมาทีละเล็กทีละน้อยจนแทบไม่มีอะไรดี กล่าวว่าเป็นความอัปยศอดสูและตัวหายนะของตระกูลทั่วป๋า ทำลายชื่อเสียงของตระกูลทั่วป๋าจนฉาวโฉ่ไปทั้งยุทธภพ ทำให้ตระกูลทั่วป๋าเป็นที่ติฉินนินทาของผู้คน ทั้งยังทำร้ายทั่วป๋าซู่เยวี่ย ทำให้ท่านย่าที่มีตำแหน่งหน้าตาในตระกูลทั่วป๋า เป็นที่รังเกียจของตระกูลซั่งกวน…ท้ายที่สุดเขายังเน้นย้ำอีกว่า หากในยามนั้นเจ้าใจเด็ดเสียหน่อย สังหารตัวเองให้ตายไป ตระกูลทั่วป๋ายังจะสามารถหาความผิดกับตระกูลซั่งกวนได้ แต่ยามนี้ล่ะ? ยังต้องให้สินเจ้าสาวอีกจำนวนมาก แต่งเจ้าเข้าไปปกปิดเรื่องเสื่อมเสีย ตระกูลทั่วป๋าเลี้ยงดูเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ แทบที่จะเทียบกับการเลี้ยงดูบ่าวคนหนึ่งไม่ได้เลย

มองทั่วป๋าฉินเฟิงจากไปอย่างหยิ่งผยอง ทั่วป๋าฉินซินไม่กล้ากล่าวขัดอันใดสักประโยค ทำเพียงขังตัวเองอยู่ในเรือนไม่ออกไปไหนอีก ไม่ไปพบเจอกับความเมตตา พะเน้าพะนอ คำประจบประแจงเหล่านั้นที่กลับแปรเปลี่ยนเป็นท่าทีดูถูก เหยียดหยาม น่ารังเกียจ นางรู้ว่านางได้ถูกตระกูลทั่วป๋าทอดทิ้งเสียแล้ว หากไม่ใช่ว่านางจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อแต่งงานกับอวี่ไข่เพื่อ ไม่ให้ตระกูลทั่วป๋าเสียหน้า นางก็คง ‘ตรอมใจตายไปแล้ว’ ยามนี้นางได้กลายเป็นคุณหนูที่ตระกูลทั่วป๋าไม่อาจละทิ้งได้

เวลาครึ่งปี แต่นางใช้ชีวิตราวกับยาวนานเป็นปีๆ และยามนี้จู่ๆ นางก็พบว่า แม้นางนั้นจะยังคงโกรธแค้นที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ‘แย่งชิง’ ซั่งกวนเจวี๋ยไป หวงฝู่เยวี่ยเอ้อที่ยืนกรานให้ซั่งกวนเจวี๋ยแต่งงานกับลูกสาวตระกูลพ่อค้า ทั้งซั่งกวนเจวี๋ยที่เอาแต่แสดงท่าทีเย็นชากับนางมาโดยตลอด ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ยอมรับตนเอง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้หลอกลวงตนเอง ให้ตัวเองวาดฝันอนาคตอันงดงามที่มองไม่เห็นนั้น

นางยิ่งเคียดแค้นทั่วป๋าซู่เยวี่ยที่ตั้งแต่เด็กก็เอาแต่จ้ำจี้จําไชให้นางแต่งกับซั่งกวนเจวี๋ยให้ได้ ย่าที่ ‘ช่วยเหลือ’ นางมาโดยตลอด กลับค่อยๆ ชักจูงนางไปยังทางน้ำลึก ทั้งยังซั่งกวนอวี่ไข่ที่มีใจคิดไม่ซื่อ ท้ายที่สุดกลับทำลายความบริสุทธิ์ของตัวเอง นางจงเกลียดจงชังเป็นอย่างมาก และคนพวกนี้ นางย่อมไม่อาจปล่อยไปแม้แต่คนเดียว…

หากจะทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เวลาครึ่งปีนั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว ความน่ารักไร้เดียงสาที่เคยมี เพียงแค่ชั่วข้ามคืนก็สูญสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง นิสัยที่เคยดื้อรั้นก็ถูกเปลี่ยนเป็นพูดง่ายมาแทนที่ นางพยายามเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะกลายเป็นภรรยาที่ดีอย่างจริงจัง ชั่วชีวิตนี้ของนางได้ป่นปี้อยู่ในมือคนพวกนั้น นางต้องหาความยุติธรรมให้ตนเองจงได้

ทั่วป๋าซู่เยวี่ยเป็นคนที่ไม่มีความสามารถจะทำงานให้สำเร็จ แต่กลับมีความสามารถในการทำเสียเรื่อง! ทั่วป๋าฉินซินได้ก่นด่าก่อนที่หวงฝู่เยวี่ยเอ้อจะมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว…หวงฝู่เยวี่ยเอ้อไม่ชอบตนเอง ไม่อาจเข้ามาเจอตนเอง นางรู้ก็พอแล้วจำเป็นต้องทำเรื่องให้คนรู้ทั่วกันเลยหรือ? ทำให้น้องสาวลูกอนุที่มีใจอยากดูเรื่องตลก แสร้งแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใยออกมา พูดขบขันอ้อมๆ กับตัวเองว่า ยังไม่ทันได้แต่งเข้าตระกูลก็ได้ถูกกำหนดให้อยู่ในตำแหน่งที่เงยหน้าไม่ขึ้นแล้ว และในเวลานี้ สาวใช้คนหนึ่งก็ได้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสี่ ฮูหยินซั่งกวนมาถึงแล้วเจ้าค่ะ เชิญคุณหนูให้เข้าไปพบเสียหน่อย!”

นี่คงนับว่าส่งถ่านให้กลางหิมะ[2]กระมัง! ทั่วป๋าฉินซินเผยยิ้มเล็กน้อย มองพวกน้องสาวลูกอนุที่มองอย่างไม่กล้าเชื่อ ทั้งนิ่งอึ้งไปอยู่บ้าง กล่าวอย่างราบเรียบ “ข้าจะไปพบท่านป้าตระกูลซั่งกวน ไม่ทราบว่าพวกน้องๆ มีเรื่องอะไรอยากจะพูดหรือ ไม่ หากมี ก็รอให้ข้ากลับมาก่อนแล้วค่อยพูดเถิด”

เมื่อเห็นทั่วป๋าฉินซินจากไป คุณหนูที่มีความสุขเพราะเห็นคนอื่นเป็นทุกข์พวกนั้นก็จึงรู้สึกหมดสนุก ต่างแยกย้ายกันไปโดยปริยาย

เดิมทีหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ไม่อยากเข้ามาเจอทั่วป๋าฉินซิน เพราะนั่นเป็นคนที่ทั่วป๋าซู่เยวี่ยชอบและถูกใจ นางไม่มีความจำเป็นต้องตามมาแสดงความปรารถนาดี แต่เพราะถูกซั่งกวนฮ่าวเกลี่ยกล่อมอย่างไม่หยุดหย่อนจึงทำให้นางเปลี่ยนความ คิด…ก็ถูกเช่นกัน เข้ามาดูสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอันใด ทั้งไว้หน้าตระกูลทั่วป๋า ทั้งไว้หน้าให้กับตนเองด้วย

คนของเรือนพนาวายุเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อต่างก็พากันตกอกตกใจ…ทั่วป๋าซู่เยวี่ยได้ให้คนส่งข่าวมาบอก กล่าวว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อนั้นไม่อาจเข้ามา ส่วนพรุ่งนี้เช้าตรู่นางจะเข้ามาหาคุณหนูสี่

แม้จะตกใจก็ต้องเก็บความตกใจกลับไป ไม่อาจจะทำเรื่องอย่างเหลาะแหละได้ ฉับพลันก็มีคนต้อนรับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ

เข้าไปทันที ทั้งยังมีคนล่วงหน้าไปรายงานให้ทั่วป๋าฉินซินมาเข้าพบแม่สามีในอนาคตด้วย

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเพิ่งจะนั่งลงดี ทั่วป๋าฉินซินก็ก้าวเท้ายาวเข้ามาทันที เมื่อเห็นหวงฝู่เยวี่ยเอ้อ ก็คำนับอย่างนอบน้อม กล่าวอย่างอ่อนโยน “ฉินซินคารวะท่านป้า!”

“รีบลุกขึ้น ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง รู้สึกว่าคนตรงหน้านี้คุ้นเคยอยู่บ้างแต่กลับคล้ายเหมือนคนแปลกหน้าเช่นกัน กล่าวว่านางคุ้นเคย นั่นก็เพราะว่าท่าที การเคลื่อนไหวและน้ำเสียงของนางในยามนี้ล้วนคุ้นเคย และที่กล่าวว่าเหมือนคนแปลกหน้า ก็เพราะเมื่อก่อนทั่วป๋าฉินซินแทบจะไม่ได้มีท่าทีอ่อนโยนและว่านอนสอนง่ายเช่นนี้มาโดยตลอด แต่ไหนแต่ไรในความน่ารักไร้เดียงสาของนางก็จะมีนิสัยดื้อรั้นแฝงอยู่สามส่วน ความสุภาพเรียบร้อยก็จะแฝงความเย่อหยิ่งถือตัวอยู่สามส่วน มักจะใช้แววตามองตนเองราวกับโง่งม ไม่มีความเคารพเท่าใด แต่ในยามนี้กลับมองความรู้สึกของนางไม่ออก เวลาสั้นๆ ครึ่งปีนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงทำให้นางพลิกกลับตาลปัตรเช่นนี้ได้

“ขอบคุณท่านป้า!” น้ำเสียงของทั่วป๋าฉินซินจริงใจเป็นอย่างมาก นางรู้ว่า หวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาเช่นนี้ วันต่อๆ ไปของนางก็คงไม่ถูกพวกน้องสาวอนุพูดจาเย้ยยันถากถางได้อีกแล้ว

“ข้าก็เพียงเข้ามาดูว่า เจ้าปรับตัวได้หรือไม่ มีอะไรที่ต้องการหรือเปล่า” ในเมื่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อมาแล้ว ก็ไม่รีรอที่จะแสดงความปรารถนาดีต่อนาง เผยรอยยิ้มอย่างมีเมตตา กล่าวด้วยความอ่อนโยน “ที่นี่ด้อยกว่าในจวนไปอยู่บ้าง ไม่ได้มีอะไรครบพร้อมไปหมด หากมีอะไรที่ต้องการก็พูดกับป้าได้ อีกไม่นานก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเกรงใจ!”

“ขอบคุณท่านป้า!” ทั่วป๋าฉินซินไม่รู้ว่านานขนาดไหนแล้วที่ไม่ได้ยินคำพูดอบอุ่นเช่นนี้ ในใจรู้ว่าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อกล่าวเป็นพิธี แต่กลับอดแสบจมูก ขอบตาแดงก่ำออกมาไม่ไหว กล่าวอย่างสะอึกสะอื้นอยู่บ้าง “แค่ท่านป้าเข้ามาหาข้า ก็ทำให้ฉินซิน ซาบซึ้งใจมากแล้ว ไม่กล้าคาดหวังอันใดอีกแล้วเจ้าค่ะ”

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อขมวดคิ้ว ทั่วป๋าฉินซินที่เป็นเช่นนี้แปลกตาเกินไปแล้วจริงๆ แต่เมื่อครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจ ช่วงครึ่งปีนี้นางย่อมต้องทุกข์ทนลำบากอย่างมากเป็นแน่ ในใจจึงอดกลั้นไม่ไหวอยู่บ้าง ในยามนี้นางก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเท่านั้น ทั้งถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจนเติบใหญ่ พบเจอเรื่องราวพวกนี้ก็เพราะทำตัวเอง แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าถูกตระกูลตัวเองหลอกใช้ด้วยหรอกหรือ!

เมื่อคิดเช่นนี้ หวงฝู่เยวี่ยเอ้อเดิมทีที่มักจะใจอ่อนก็สลัดความไม่พอใจและความรังเกียจในใจทิ้งออกไปชั่วคราว กล่าวอย่างจริงใจ “อีกไม่นานเจ้าก็จะแต่งงานกับอวี่ไข่ ทั้งจะกลายเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลซั่งกวน ไม่ว่าข้าจะชอบหรือไม่ชอบใจเจ้า ทั้งไม่ว่าข้าจะชอบหรือไม่ชอบอวี่ไข่ แต่คนของตระกูลซั่งกวนก็ไม่อาจจะรังแกใครง่ายๆ หรอก จุดนี้เจ้าน่าจะชัดเจนที่สุด ดังนั้นมีอะไรติดขัดหรือไม่ได้รับความยุติธรรมอันใดก็พูดกับข้าแล้วกัน อะไรที่สามารถตัดสินแทนเจ้าได้ข้าก็จะช่วยตัดสินให้”

“ฉินซินทราบแล้ว หากได้รับความไม่เป็นธรรมอันใดย่อมจะบอกกล่าวกับท่านป้า!” ทั่วป๋าฉินซินคลี่ยิ้มเล็กน้อย กลับไม่ได้พูดมากอะไร นางรู้ว่าใกล้ๆ นี้ย่อมมีบ่าวไม่น้อยที่กำลังลอบฟังทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่ แต่ว่านางกลับไม่สนใจแล้ว

“เช่นนั้นก็ดี!” หวงฝู่เยวี่ยเอ้อพยักหน้า ทั้งรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่ต้องพูดแล้ว บรรยากาศเริ่มกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่เมือเห็นเงาคนหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ด้านนอกห้อง ก็รู้ว่ามีคนแอบฟังอยู่ ดังนั้นจึงข่มใจฝืนคุยกับทั่วป๋าฉินซินไปอีกไม่กี่ประโยค เพียงแต่เป็นบทสนทนาที่ถามทำนองว่า อาหารการกินเป็นอย่างไร นอนหลับสบายหรือไม่พวกนี้ หากเป็นก่อนหน้านี้ทั่วป๋าฉินซินก็คงไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งยังอาจจะกล่าวเหน็บแนมอย่างเย็นชาเสียด้วยซ้ำ แต่ในยามนี้กลับซาบซึ้งใจ ตอบกลับนางอย่างนอบน้อม ทั้งยังแฝงด้วยความเคารพหวงฝู่เยวี่ยเอ้ออีกด้วย

รอจนหวงฝู่เยวี่ยเอ้อหาเรื่องมาพูดไม่ได้แล้วจริงๆ เวลาก็ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว นางจึงเผยยิ้มให้ทั่วป๋าฉินซินทั้งยัง

กล่าวเป็นห่วงเป็นใยไม่กี่ประโยค ก่อนจะหยัดกายกล่าวลา ในยามที่ไปจู่ๆ ก็คล้ายกับจะคิดอะไรขึ้นมาได้ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ป้าจำได้ว่าเจ้าชอบกินปลาหางกระรอกและกุ้งอบน้ำแดงของลี่หูชุนเป็นที่สุด อีกเดี๋ยวป้าจะบอกให้พ่อครัวของลี่หูชุนเตรียมวัตถุดิบให้พร้อม พรุ่งนี้ตอนบ่ายเข้ามาทำให้เจ้ากินอร่อยๆ ถึงที่นี่ หากอยากจะกินอะไรก็บอกป้ามาทีเดียวเลยเถิด”

“ยังมีปลากะพงนึ่งอีกอย่างเจ้าค่ะ!” ทั่วป๋าฉินซินตอบกลับด้วยยิ้มที่สดใส ในยามที่พูดประโยคนี้ ความเคียดแค้นที่มีต่อหวงฝู่เยวี่ยเอ้อก็ได้สลายหายไปแทบไม่เห็นแล้ว นางคิดว่าบางทีอาจจะมีวันหนึ่งที่นางจะไม่หลงเหลือความโกรธแค้นอะไรกับหวงฝู่เยวี่ยเอ้อได้ ส่วนเยี่ยนมี่เอ๋อร์และซั่งกวนเจวี๋ย นางยังไม่รู้ว่าตนเองจะใช้ใบหน้าแบบไหนมองหน้าพวกเขาอีกทีดี แต่สำหรับคนอีกพวกหนึ่งนั้น นางกลับไม่อาจให้อภัยได้ชั่วชีวิต…

หวงฝู่เยวี่ยเอ้อย่อมไม่รู้ว่าความปรารถนาดีชั่วครู่ ทั้งนิสัยใจอ่อนของตัวเองจะบังเอิญขจัดความคั่งแค้นที่ทั่วป๋าฉินซินมีต่อนางไปอย่างไม่รู้ตัว เพียงพยักหน้าทั้งรอยยิ้ม “ได้ เช่นนั้นจะให้พวกเขาเข้ามาทำให้เจ้า เจ้าต้องกำชับคนของเรือนพนาวายุด้วย ไม่อาจจะปฏิเสธพวกเขาไม่ให้เข้าเรือนเชียว!”

“เข้าใจแล้ว!” ทั่วป๋าฉินซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะส่งท่านป้ากลับไป!”

———————————

[1] หงส์ที่ขนหลุดร่วงก็ยังมิอาจสู้กับไก่ อุปมาว่า คนที่มีฐานะสูงส่ง เมื่อสูญเสียอำนาจไป สถานการณ์ที่ต้องพบเจอนั้นย่อมร้ายแรงกว่าคนธรรมดาทั่วไป

[2] ส่งถ่านให้กลางหิมะ อุปมาว่า ยื่นมือช่วยเหลือในเหตุการณ์คับขันได้ทันท่วงที

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เจ้าสาวร้อยเล่ห์
‘ข้าจะมีความสุขให้ได้ แม้ชีวิตนี้จะมีไฟแค้นสุมในใจมากเพียงใดก็ตาม!’ ‘เยี่ยนมี่เอ๋อร์’ คุณหนูห้าแห่งตระกูลพ่อค้าได้สาบานไว้กับท่านป้าสุดที่รัก ชีวิตของนางจะพบความสุขได้เยี่ยงไรเมื่อต้องลด ละ เลิกการแก้แค้น ทั้งยังต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกับคุณชาย ‘ซั่งกวนเจวี๋ย’ ผู้ยิ่งใหญ่ในยุทธภพนี้ เช่นนี้แล้ว รักแรกพบระหว่างนางกับคุณชายขลุ่ยถึงคราวต้องจบก่อนที่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ! งานนี้จึงต้องมีแผนการล่มวิวาห์ ทว่ากลับต้องพลิกเป็นแผนการรักมัดใจผู้เป็นว่าที่สามี เมื่อคุณชายคนนี้กับคุณชายขลุ่ยคนนั้น คือ คนเดียวกัน! แต่ไฉนข้างกายเขากลับมีผู้หญิงคอยจับจ้องอยู่มากมาย? แต่ไม่เป็นไร เจ้าสาวอย่างนางจะใช้มารยาที่มีปราบชายเจ้าชู้ให้อยู่หมัด มัดใจเขาไว้กับนางแต่เพียงผู้เดียว ส่วนหญิงสาวเหล่านั้นน่ะหรือ… ‘จงใช้เสน่ห์ที่มีอยู่ให้เต็มที่เถิด ก่อนจะต้องอกแตกตายด้วยฝีมือข้า!’

Comment

Options

not work with dark mode
Reset