“อวี่ไข่ อวี่ฮ่าว แก้วนี้ชนในฐานะที่ข้าเป็นพี่ชายของพวกเจ้า!” เป็นครั้งแรกที่ซั่งกวนเจวี๋ยเป็นฝ่ายยกแก้วขึ้นมาดื่มอวยพรกับน้องชายทั้งสองคนก่อน ใบหน้ายังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “พรุ่งนี้พวกเจ้าก็จะแต่งภรรยา จะกลายเป็นชายชาตรีที่แท้จริงแล้ว พี่ขอให้พวกเจ้าและภรรยาทั้งคู่รักใคร่กลมเกลียว มีลูกหลานสืบสกุลให้ตระกูลซั่งกวนไวๆ!”
อวี่ไข่และอวี่ฮ่าวล้วนแต่หยัดกายขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม ยกแก้วสุราขึ้นมาดื่มหมดรวดเดียว
“ซั่งกวนอวี่ฮ่าว ตกลงเจ้าไปทำท่าไหน จึงแต่งงานกับชิงหวั่นได้ บอกเคล็ดลับมาเสียเดี๋ยวนี้!” รอหลังจากซั่งกวนเจวี๋ย ดื่มอวยพรแล้ว ก็นับว่าเป็นอันเริ่มงานเลี้ยงดื่มสุราในค่ำคืนนี้ และซั่งกวนฮ่าว ผู้ที่น่าอิจฉาตาร้อนที่สุดนั้น ไม่ว่าใคร จะคนรู้จักหรือไม่รู้จักต่างก็เข้ามาเบียดเสียดพูดคุยกับเขา
“เคล็ดลับ? แน่นอนว่ามี แล้วก็…” เขามองไปรอบๆ เล็กน้อย มองพวกคุณชายตระกูลต่างๆ ที่ประกายสายตาวิบวับขึ้นมาในชั่วพริบตา หัวเราะเหอะๆ ออกมา “เคล็ดลับนี้ ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ใช้ได้ผลทั้งนั้น ทุกคนเอาไปพิจาณาดูได้!”
“ลองว่ามาสิ!” มีคนตะโกนออกมาทันที ไม่รู้ว่าลูกอนุตระกูลซั่งกวนผู้ที่แทบจะไม่เป็นที่รู้จักคนนี้เหตุใดจึงสามารถทำให้มู่หรงชิงหวั่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือถูกใจได้ หรือจะกล่าวว่ามู่หรงชิงหวั่นชอบผู้ชายที่อายุน้อยกว่าตัวเอง?
“เคล็ดลับนี้มีเพียงสองข้อเท่านั้น!” อวี่ไข่หัวเราะ “ข้อแรก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนางล้วนเป็นฝ่ายดีที่สุดและถูกเสมอ! ข้อสอง หากสงสัยอะไรตรงไหน ก็ย้อนกลับไปดูข้อแรก!”
‘เฮ้อ’ ทุกคนที่พากันหูตั้งต่างก็พากันส่งเสียงเอือมระอาออกมา นี่นับเป็นเคล็ดลับอันใด?
“ทุกคนยังไม่เชื่ออีก!” อวี่ฮ่าวยิ้มออกมาอย่าง ‘ซื่อๆ’ “ขอเพียงแค่เจ้าสามารถทำสองข้อนี้ได้ รับรองว่าคนในใจของเจ้า แม้จะไม่ถูกเจ้าทำให้หวั่นไหวอยากจะแต่งงานในทันทีทันใด แต่ก็จะมองเจ้าใหม่ ย่อมไม่พูดไปทางแง่ลบแน่!”
“เฮ้อ…เจ้าเด็กนี้ เหตุใดจึงกะล่อนได้ถึงเพียงนี้? พี่ใหญ่มู่หรง ไฉนเจ้าจึงวางใจให้เจ้าเด็กฝีปากลื่นไหลผู้นี้ดูแลชีวิตของคุณหนูชิงหวั่นได้ลง!” หวงฝู่หลินหยวนอยากจะจัดการเขาสักทีสองที เจ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เจอกันกี่เดือนก็นิสัยเสียไปเสียแล้ว!
“จะมีวิธีอะไรอีก!” มู่หรงปั๋วเย่ถอนหายใจยาว “หากจะหาคู่ครองคนหนึ่งที่ลงไม้ลงมือแล้วไม่โต้กลับ ด่าแล้วไม่ด่าคืนให้กับชิงหวั่นนั้นนับเป็นเรื่องยาก! เฮ้อ…ไม่มีทางเลือกนี่นา!”
ทุกคนต่างก็คาดไม่ถึงว่ามู่หรงปั๋วเย่จะหยอกคนเป็นเช่นกัน พากันหัวเราะขึ้นมา แต่คนที่รู้ดีกลับประเมินอวี่ฮ่าวไว้สูงไม่น้อย คนที่สามารถทำให้มู่หรงปั๋วเย่หยอกเย้าเช่นนี้ได้มีไม่มาก หากอวี่ฮ่าวไม่มีความสามารถพอจริงๆ เกรงว่าแม้แต่ประโยคเดียว มู่หรงปั๋วเย่ก็คงไม่พูดอะไรออกมาหรอก
“พี่ใหญ่…” อวี่ฮ่าวยื่นหน้าเข้าไป จากนั้นก็ตบปากตัวเองเบาๆ กล่าวทั้งหัวเราะ “เรียกจนชินเสียแล้ว จึงพลั้งไปอยู่บ้าง ควรจะเรียกว่าพี่เขยจึงจะถูก พี่เขย เห็นแก่ข้าที่อยู่ในฐานะว่าที่น้องเขยที่กำลังจะเอา คำว่า ‘ว่าที่’ ออกแล้ว ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างเสียหน่อย อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยที่ข้าขโมยน้องสาวท่านไปเลย! ท่านลองคิดดู ผู้คนล้วนพูดกันว่าภรรยาแก่กว่าสามปีก็เหมือนอุ้มทองไว้สามก้อน ข้าและชิงหวั่นก็เหมือนจะห่างกันสามปีพอดี นับว่าเป็นการแต่งงานที่สมบูรณ์แบบจริงๆ!”
เมื่อคำว่า ‘พี่เขย’ ของอวี่ฮ่าวออกจากปาก คนทั้งหมดก็หัวเราะขึ้นมาทันที ไม่เว้นแม้แต่ซั่งกวนเจวี๋ยเช่นกัน ล้วนแต่คาดไม่ถึงว่าเขาจะขี้เล่นได้ถึงเพียงนี้ ดูท่า ความหน้าไม่อายจะนับเป็นเรื่องหนึ่งที่ควรพิจารณาไว้!
“เจ้าเด็กนี่” มู่หรงปั๋วเย่มองอวี่ฮ่าวอย่างขบขัน นึกไม่ถึงว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นกันได้ถึงเพียงนี้ ก็จำต้องนับถือเขาเล็กน้อย
“มาๆๆ! ข้าดื่มอวยพรให้ท่านหนึ่งแก้ว ขอให้พี่เขยได้เป็นลุงไวๆ!” คำพูดของอวี่ฮ่าวทำให้มู่หรงปั๋วเย่ขำพรืดออกมา เขาเข้าใจพูดจริงๆ! อวยพรให้ตัวเองเป็นลุงไวๆ อย่างนั้นหรือ?
“จอกนี้จำเป็นต้องดื่ม!” หวงฝู่หลินหยวนขำขัน “ทั้งยังต้องดื่มติดกันสามจอกด้วย!”
“ใช่แล้ว!” ซั่งกวนอิงหัวเราะลั่น เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ดื่มสุรา ทำได้เพียงส่งเสียงอยู่ด้านข้างเท่านั้น กล่าวอย่างยิ้มๆ “พี่อวี่ฮ่าวได้ทักทายกับพี่เขยของตัวเองแล้ว พี่อวี่ไข่ ตาเจ้าแล้ว!”
ใบหน้าของอวี่ไข่ปรากฏความลำบากใจพาดผ่านขึ้นมา คนของตระกูลทั่วป๋าไม่กี่คนล้วนจงใจเย็นชากับเขา จะเหมือน มู่หรงปั๋วเย่ที่ไหนกัน มองอวี่ฮ่าวด้วยสายตาที่ชื่นชมและสนิทสนม แต่ซั่งกวนอิงได้พูดเช่นนี้ออกมาแล้ว คนทั้งหมดจึงล้วนมองมาที่ตัวเอง จึงทำได้เพียงยกจอกสุราขึ้นมา กล่าวกับทั่วป๋าฉินหลิ่งอย่างนอบน้อม “พี่ใหญ่ทั่วป๋า หลังจากพรุ่งนี้ไปพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่างไรขอพี่ใหญ่รบกวนสั่งสอนด้วย!”
ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย ทั่วป๋าฉินหลิ่งก็ไม่อาจใช้ความห่างเหินปฏิบัติกับว่าที่น้องเขยผู้นี้ พยายามยกจอกขึ้นทั้งยิ้มอย่างเป็นพิธี “ไม่หรอก! ตั้งแต่เด็กฉินซินก็ถูกตามใจจนเสียคน หากมีอันใดไม่ถูกไม่ควรก็ขอให้อวี่ไข่ให้อภัยด้วย!”
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น!” อวี่ไข่ยิ้มอย่างประหลาดใจที่ได้รับความโปรดปรานอย่างไม่คาดฝันอยู่บ้าง ยกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ทั่วป๋าฉินหลิ่งก็ฝืนดื่มให้หมดช่นกัน แต่แววตาไม่เต็มใจบนใบหน้าเขากลับถูกคนอื่นมองทะลุปรุโปร่งอย่างง่าย ดาย คนพวกนี้ล้วนแต่ฉลาด ไหนเลยจะไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่ตระกูลทั่วป๋าผู้นี้ไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้ พากันแลกเปลี่ยนสายตาอย่างรู้ไส้รู้พุงกันหมด
“อวี่ฮ่าว พูดมา เจ้าทำอย่างไรจึงทำให้คุณหนูชิงหวั่นใจอ่อน ตกลงแต่งงานกับเจ้าได้!” มีคนคาดคั้นกับอวี่ฮ่าวอย่างขำๆ ขึ้นมา “หากไม่พูดออกมาดีๆ คืนนี้เจ้าแย่แน่ๆ!”
“จะต้องพูดจริงๆ หรือ!” อวี่ฮ่าวแสร้งเผยสีหน้าน่าสงสารออกมา จากนั้นเห็นคนทั้งหมด รวมถึงซั่งกวนเจวี๋ยล้วนแต่พยักหน้าอย่างจริงจัง ก็ถอนหายใจกล่าว “นั่นเป็นค่ำคืนมืดมิดที่ลมแรงคืนหนึ่ง ดวงจันทร์เด่นสูงอยู่บนท้องฟ้า ส่องสว่างลงมายังพื้นดินอย่างขมุกขมัว ข้าถือเต้าหู้ก้อนหนึ่งถลาไปตรงหน้าชิงหวั่นที่กำลังเดินเล่นอยู่ ‘ชิงหวั่น แต่งงานกับข้านะ! หากเจ้าไม่แต่งกับข้า ข้าก็จะตายอยู่ตรงหน้าเดี๋ยวนี้! ผลลัพธ์คือ คุณหนูชิงหวั่นมองมาตรงหน้าอย่างแน่วแน่ แล้วกล่าวอย่างเรียบนิ่งว่า ได้สิ’ ”
“แค่นี้ก็สำเร็จแล้วหรือ?” มีคนขัดจังหวะ ถลึงตามองเขาขึ้นมา แม้ว่าจะปั้นเรื่องโกหกก็ต้องปั้นให้สมจริงหน่อยกระมัง ทั้งคืนมืดมิดลมแรง ทั้งดวงจันทร์ส่องสลัวอยู่บนท้องฟ้า คุณหนูชิงหวั่นที่ออกมาเดินเล่นยามค่ำคืน เป็นเรื่องโกหกที่แต่งขึ้นมาอย่างแท้จริง!
“แน่นอนว่าไม่ใช่!” อวี่ฮ่าวกล่าวอย่างเสียใจ “ประโยคที่คุณหนูชิงหวั่นพูดก็คือ ได้สิ เจ้าไปตายเสีย!”
ฮ่าๆ! คนทั้งหมดล้วนหัวเราะขึ้นมา ซั่งกวนอิงยิ่งหัวเราะจนน้ำตาไหล มู่หรงปั๋วเย่ส่ายศีรษะอย่างเอือมระอา มิน่าเล่าพอชิงหวั่นพูดถึงเขาก็มักยิ้มออกมา คาดว่าในยามที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเขาคงจะขี้เล่นกว่านี้
“หลังจากนั้นเล่า?” มีคนต้อนถามทันที
“หลังจากนั้น…” อวี่ฮ่าวถอนหายใจ “หลังจากนั้นข้าก็เอาหัวพุ่งชนเต้าหู้เพื่อฆ่าตัวตาย ผลปรากฏว่าไม่ตาย แต่คุณหนูชิงหวั่นประทับใจในการกระทำของข้า จึงได้ตัดสินใจจะแต่งงานกับข้า”
ช่างพูดเหลวไหลได้เก่งเสียจริง! ทุกคนหัวเราะจนร่างสั่นไหวต่างก็พากันประเมินคนผู้นี้ แต่ว่า…คนที่พูดเรื่องเช่นนี้ออกมาได้ย่อมไม่ใช่คนที่น่าเบื่อ บางทีชิงหวั่นอาจจะยอมใจอ่อนแต่งงานกับเขาเพราะจุดนี้กระมัง!
“เจ้าเด็กนี้ ครั้งหน้าก็เปลี่ยนวิธีฆ่าตัวตายเสียหน่อย อย่าได้เอาหัวชนเต้าหู้อีก!” มีคนตบไหล่อวี่ฮ่าว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่แฝงด้วยความจริงจัง “สิ้นเปลืองจริงๆ!”
“พี่ชายพูดมิผิด!” อวี่ฮ่าวไม่สนใจคนอื่นที่แทบจะหัวเราะเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว “ชิงหวั่นก็พูดเช่นกันว่า ไม่เพียงแต่สิ้นเปลือง แต่มองแล้วยังรู้สึกขยะแขยง มองไม่ดียังจะคิดว่าสมองไหลออกมา…หึๆ…ภายหลังข้าจึงเพิ่งรู้ว่า เพราะว่าแสงสว่างไม่ค่อยมี ชิงหวั่นคิดว่าในมือของข้าคือหยกสีขาว ที่แหลกละเอียดนั้นไม่ใช่เศษเต้าหู้ แต่เป็นสมองของข้า คิดว่าอย่างไรสมองก็ล้วนออกมาแล้ว คงอยู่ได้ไม่นาน อยากให้ข้าตายได้อย่างตาหลับ ดังนั้นจึงพยักหน้าตกปากรับคำ!”
คนจำนวนมากหัวเราะจนน้ำตาไหล บางคนก็ตบหัวไหล่อวี่ฮ่าวอย่างหายใจแทบไม่ทัน “น้องชาย ที่แท้สมองของกับก็เหมือนกับเศษเต้าหู้นี่เอง!”
“ที่จริงทุกคนก็ล้วนเหมือนกัน หากไม่เชื่อเจ้าก็ลองเอาสมองออกมาเทียบกันดู ถ้าไม่เหมือนเศษเต้าหู้ละก็ ข้าจะยอมเสียเงินให้!” อวี่ฮ่าวไม่สนใจแม้แต่น้อย กล่าวทั้งหัวเราะร่า
“เจ้านี่มัน!” เดิมทีคนผู้นั้นอยากจะหยอกล้อเขา แต่กลับมาถูกเล่นงานคืน จึงจัดการเขาอย่างไม่เกรงใจไปที จากนั้นทั้งสองคนก็กรอกสุรากันไปสามจอก
“เอาล่ะ อวี่ฮ่าวได้พูดแล้วว่าเขาทำให้ชิงหวั่นตกปากรับคำอย่างไร แม้จะไม่น่าพอใจเท่าใด แต่ก็นับว่าแปลกใหม่เช่นกัน เช่นนั้นคงจะต้องถึงเวลาที่อวี่ไข่พูดเรื่องของเขาและ ‘เทพธิดาดอกสาลี่’ ตระกูลทั่วป๋าว่าเป็นมาอย่างไรแล้วหรือเปล่า?” มีคนโห่ร้องขึ้นมาทันที คนผู้นั้นก็คือลูกอนุของตระกูลหวังคนหนึ่ง ลูกหลานของตระกูลหวังและตระกูลทั่วป๋าล้วนไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นทั่วป๋าฉินหลิ่งก็มักจะแสร้งยิ้มเรียก ‘พี่เขย’ ออกมา เรื่องที่สามารถสร้างความลำบากใจให้คนของตระกูลทั่วป๋าได้ พวกเขานั้นก็แทบจะวิ่งโร่มาเป็นคนแรก
“เทพธิดาสาลี่? เหตุใดข้าจึงได้ยินมาว่า ‘นางมารสาลี่’ เล่า?” มีคนกระโดดออกมาประสมโรงเขาทันที กล่าวทั้งหัวเราะ “ที่จริงนี่ก็พูดง่ายแล้ว เพียงเป็นคืนหนึ่งที่ดวงจันทร์ส่องแสงสลัวอยู่บนฟ้า ค่ำคืนที่มืดมิดจนยื่นมือออกไปก็แทบมองไม่เห็น นางมารได้ล่อลวงซั่งกวนอวี่ไข่ หลังจากนั้นก็ลักลอบอยู่ด้วยกัน ผลปรากฏว่าคนหนึ่งไม่ทันระวัง ถูกคนพบเข้า จึงทำได้เพียงยอมรับผิด แต่งงานกลบเกลื่อนเรื่องน่าอาย”
“จ้าวอี้ คำพูดนี้ต้องรับผิดชอบด้วย!” อวี่ไข่ยังไม่ทันอ้าปากโต้กลับ ทั่วป๋าฉินเฟิงก็ถลึงตามองคนผู้นั้นอย่างเย็นเยียบ ปรารถนาที่จะถีบเขาออกไปเป็นอย่างยิ่ง
“รับผิดชอบ?” จ้าวอี้หัวเราะ “ชื่อเสียงนางมารนั้นได้แพร่สะพัดจนรู้กันไปทั่วแล้ว ซั่งกวนอวี่ไข่และนางมารสาลี่ร่วมกันทำชั่ว พยายามใช้ทุกวิถีทางที่จะแย่งชิงตำแหน่งสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน พี่ชายที่อาภัพของข้านั้นถูกพวกเขาหลอกใช้ หรือชีวิตของเขาหนึ่งชีวิตก็ยังไม่อาจใช้เทียบได้?”
“ฉินเฟิง วันนี้เป็นวันดี ไม่มีความจำเป็นต้องทะเลาะกับคนที่ไม่สลักสำคัญอันใด!” ทั่วป๋าฉินหลิ่งมองจ้าวอี้อย่างเยือกเย็นไปที พี่ชายอนุของเขาเป็นหนึ่งในคนโง่ที่ถูกอวี่ไข่หลอกใช้ ภายหลังก็ถูกคนกำจัดระหว่างทางกลับบ้านอย่างเงียบเชียบ และความน่าสงสัยทั้งหมดก็ชี้ไปที่ตระกูลทั่วป๋า สำหรับจุดนี้ ทั่วป๋าฉินหลิ่งไร้คำที่จะพูด…เขาย่อมไม่อาจร้องเรียกขอความเป็นธรรมหรอก! เช่นนั้นแม้ว่าจะเป็นแค่คนที่คิดสงสัยก็จะพูดว่าพวกเขาร้อนตัวเช่นกัน!
“พี่จ้าว พรุ่งนี้เป็นวันมงคลของข้า น้องชายขอดื่มอวยพรกับเจ้า!” อวี่ไข่หัวเราะชนแก้วกับจ้าวอี้ จ้าวอี้ก็ดื่มไปทั้งยิ้มๆ เช่นกัน แต่ยามที่กะพริบตาขึ้นมาอีกครั้งกลับเผยแววตาที่เคียดแค้นจนทำให้อวี่ไข่รู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายในใจ
ซั่งกวนเจวี๋ยกลับเผยยิ้มเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าจ้าวอี้ผู้นี้ได้เปรียบ แต่ทำเป็นหลอกตบตาพี่ชายลูกอนุที่กดหัวเขาผู้นั้นตาย ความกดดันของเขาก็ลดน้อยลงมาก มีรายงานกล่าวว่าเจ้าเด็กคนนี้ในยามที่ได้รับข่าวก็แทบจะดีใจจนบ้าคลั่ง ยามนี้แสดงออกมาก็เพื่อให้ตัวเองดูเท่านั้นกระมัง!
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาด้วยจุดประสงค์หรือมาด้วยท่าทีแบบใด ค่ำคืนนี้ก็ล้วนสนุกครื้นเครงจนล่วงเลยไปกว่าค่อนคืน และในคืนนี้ จู่ๆ อวี่ไข่ก็พบว่าแสงสว่างของตัวเองได้ถูกอวี่ไข่ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยโผล่หน้าออกมาบดบังจนเสียสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตลกก็ดี หยอกล้อก็ดี อวี่ฮ่าวมักจะทำให้คนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่ตัวเขา คล้ายว่านอกจากพูดเพื่อคลายความอึดอัดพอเป็นพิธี ก็ไม่มีความสามารถและทักษะอย่างอื่นแล้ว นี่ทำให้เขาเสียกำลังใจไปบ้าง ทั้งสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหม่นหมองก็คือท่าทีของตระกูลทั่วป๋าที่มีต่อเขา อย่างน้อยที่สุดแม้แต่ทำแบบพอเป็นพิธีก็ยังไม่มี ดูท่าการอาศัยทั่วป๋าฉินซินจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเสียแล้ว…