ตอนที่ 467 คิดเพ้อฝัน
ฮุยหลางกับเหลิ่งซวงตรงประตูมองไปด้านใน เห็นเจ้าตำหนักยมราชใช้มือหนึ่งจับไหเหล้า อีกมือหนึ่งกดมือเฟิ่งจิ่วซึ่งจับไหไว้ ทั้งสองสบตากันเช่นนี้ คนหนึ่งกำลังยิ้ม คนหนึ่งกำลังมอง สองคนที่เฝ้าประตูเห็นบรรยากาศแล้วเกิดความแปลกใจ ยังดีที่ไม่นานความประหลาดนี้ก็ถูกทำลายลง
อิ่งอีเดินเข้ามาโดยมีคนรับใช้สองสามคนที่ถืออาหารตามอยู่ด้านหลัง พอเห็นสองคนซึ่งเฝ้าตรงประตูจ้องไปด้านใน จึงมองตามไปบ้าง เมื่อเห็นภาพนั้นในห้องก็กระแอมเบาๆ “นายท่าน อาหารค่ำมาแล้วขอรับ”
“เข้ามา” เจ้าตำหนักสั่งการ ปัดมือนางออก จัดวางชามสองใบให้เรียบร้อย แล้วเปิดไหรินเหล้าลงไปครึ่งชาม
อิ่งอีสั่งคนวางอาหารเสร็จจึงถอยออกไป ขณะเดียวกันก็ตะโกนเรียกสองคนที่เฝ้าตรงประตูออกไปข้างนอก และถือโอกาสปิดประตู ปล่อยให้สองคนอยู่ในห้องตามลำพัง
เจ้าตำหนักยมราชเห็นเฟิ่งจิ่วยกชามเหล้าขึ้นเงยหน้าดื่มรวดเดียว ก็อดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้ คีบอาหารลงในชามเล็กตรงหน้านาง “ดื่มเหล้าตอนท้องว่างไม่ดีต่อร่างกาย กินอาหารหน่อยเถอะ”
หลังจากเฟิ่งจิ่วดื่มเหล้าครึ่งชามนั้น ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย “เป็นเหล้าวิญญาณชั้นเลิศอย่างที่คิด! ทั้งหอมทั้งกลมกล่อม! เอามาอีกชาม!” รู้สึกได้ว่าเหล้าวิญญาณไหลผ่านลำคอ ปั่นป่วนอยู่ในท้อง กลิ่นอายพลังวิญญาณพุ่งขึ้นตามมา เมื่อเส้นลมปราณในร่างชุ่มฉ่ำก็รู้แล้วว่านี่เป็นเหล้าวิญญาณที่หายากยิ่ง
เหล้าวิญญาณพวกที่ก่อนหน้านี้เธอหามาให้ท่านปู่ไม่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณคละคลุ้ง รสชาติก็ไม่หอมกลมกล่อมเช่นนี้ แต่นับว่าเป็นของชั้นดีแล้ว เหล้าชนิดนี้อย่างน้อยเธอก็ยังไม่เคยเห็นในแคว้นเหินเวหาด้วยซ้ำ
เจ้าตำหนักยมราชชายตามองเธอ “อีกชาม? เจ้าคิดว่านี่เป็นน้ำเปล่าหรืออย่างไร? กินอาหารเถอะ!”
“ดื่มน้อยเกินไป ไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกอะไรเลย” เธอเท้าคางยิ้มมองเขา “ท่านมาดื่มเหล้ากับข้าไม่ใช่หรือ ในเมื่อมาแล้วก็อย่างกเลย ดื่มเหล้าจะไม่สนุกกันเต็มที่ได้อย่างไรเล่า?
“เหล้านี้ฤทธิ์แรงมาก เจ้าจะรับไม่ไหวเอา”
“วางใจเถอะ ข้าไม่เมาหรอก ถึงเมาก็จะไม่ทำอะไรรุ่มร่าม สบายใจได้!” เธอพูดพลางโบกๆ มือ ไม่ใส่ใจอะไร
ทว่าเมื่อชายหนุ่มได้ยินคำว่าทำอะไรรุ่มร่าม ดวงตาดำขลับลึกล้ำมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางดื่มเหล้าไปแค่ครึ่งชามดวงตาก็เลื่อนลอยบ้างแล้ว บอกว่าไม่เมา แต่สีหน้าที่คล้ายเมาคล้ายไม่เมานั้นกลับทรงเสน่ห์ยิ่งนัก เขามองเสียจนหัวใจเต้นรัว
ทันใดนั้นในหัวก็คิดเพ้อฝันจิตนาการ ทำอะไรรุ่มร่ามยามเมา…
“ท่านจะนิ่งกอดไหเหล้าทำไม? รีบรินเหล้าสิ!”
เฟิ่งจิ่วขมวดคิ้ว เพราะดื่มเหล้าทั้งที่ท้องว่าง ซ้ำยังดื่มเสียหนัก ใบหน้างามเพริศพริ้งจึงขึ้นสีแดง ดูน่าหลงใหลภายใต้แสงเทียน นางในเวลานี้ต่างไปจากปกติ ภายในความเอื่อยเฉื่อยยังมีความเย้ายวนทรงเสน่ห์ มองเช่นไรก็น่าดึงดูดเช่นนั้น
เขากลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว แววตาลึกล้ำละจากใบหน้านางที่ออกจะเมามายเย้ายวนใจ กระแอมเบาๆ ก่อนกล่าว “กินอาหารก่อนข้าค่อยริน” ยังไม่ทันจบก็เสริมอีกประโยคว่า “คืนนี้มีเหล้ามากพอสำหรับเจ้า”
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็ยิ้ม ตบมือลงบนโต๊ะ หัวเราะร่าด้วยท่าทางระรื่น “ดี! ท่านพูดแล้วนะ! ไม่เมาไม่กลับ!” ฤทธิ์เหล้าแรงอะไรกัน? ชัดเจนว่าเขายอมให้เธอดื่มไม่ลง คนขี้เหนียวนี่ คืนนี้เธอจะดื่มเหล้าเขาให้เกลี้ยงเลย!
ภายในลานบ้าน ครั้นได้ยินบนสนทนาจากในบ้าน ฮุยหลางกับอิ่งอีแอบมองหน้ากันอย่างแนบเนียน
ได้โอกาสแล้ว!
………………………………………………….
ตอนที่ 468 อาการเมามายที่งดงาม
มิน่านายท่านถึงหยิบเหล้าวิญญาณชั้นเลิศราคาเป็นพันชั่งออกมา ที่แท้ก็รอภูตหมอจังหวะนี้อยู่? แต่นายท่านจะมอมเหล้าภูตหมอจริงหรือ?
สองคนชำเลืองมองเหลิ่งซวงด้านข้าง คิดว่าควรให้นางไปเสียก่อน ไม่อย่างนั้นต่อให้ภูตหมอเมา แต่หากยังมีแม่สาวคนนี้อยู่ นายท่านคิดจะทำอะไรสักหน่อยคงไม่สะดวก!
ดังนั้นฮุยหลางจึงหันไป เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เหลิ่งซวง เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ! ตรงนี้พวกข้าเฝ้าไว้ก็ได้”
เหลิ่งซวงเหลือบมองพวกเขา ไม่พูดไม่จา ยังคงยืนเงียบๆ อยู่ในลาน คำพูดในเรือนนางก็ได้ยินเช่นกัน จึงกลัวว่านายท่านอารมณ์ไม่ดีดื่มมากไปจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา
พวกเขาเห็นนางไม่ใจสักนิด ฮุยหลางส่งสายตาไปทางอิ่งอี ส่วนตัวเองฉีกยิ้มถาม “เหลิ่งซวง เจ้าติดตามอยู่ข้างกายภูตหมอมานานแค่ไหนแล้ว มองออกเลยว่านางเชื่อใจเจ้ามาก! ครั้งก่อนไปแคว้นเหินเวหายังพาเจ้าไปแค่คนเดียว”
ยามมองทั้งสองคนเดินเข้ามาใกล้ นางขมวดคิ้ว “พวกเจ้า…” เพิ่งจะเอ่ยก็เจ็บตรงหลังคอ เหลิ่งซวงหมดสติไป
เห็นเหลิ่งซวงล้มลงบนพื้น ฮุยหลางถลึงตามองอิ่งอี “ทำไมเจ้าไม่รับนางไว้?”
อิ่งอีมองค้อนเขา บอกว่า “ทำไมเจ้าไม่รับเองเล่า”
“ข้าเห็นว่าเจ้าอยู่ใกล้กว่า!”
“ข้านึกว่าเจ้าจะรับ”
สองคนพูดจบก็ยืนมองตาปริบๆ โดยพูดไม่ออกอยู่นาน ผ่านไปสักพัก ฮุยหลางถึงจะเอ่ยว่า “เจ้ารีบๆ อุ้มนางไปห้องทางนั้นเถอะ”
“เจ้าอุ้มสิ ข้าไม่อุ้มหรอก” อิ่งอีถอยห่างทันที ไม่แม้แต่จะมองเขา
ได้ยินเช่นนี้ อีกทั้งเห็นกิริยาที่อีกฝ่ายหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว ฮุยหลางแทบอยากจะเข้าไปถีบขาคู่ เขาถลึงมองอิ่งอีด้วยความโหดเหี้ยม และมองเหลิ่งซวงที่หมดสติอยู่บนพื้น ลังเลสักพักถึงจะเข้าไปโน้มกายอุ้มขึ้นมา และพาเข้าห้องไป
ส่วนสองคนที่ดื่มเหล้าอยู่ในเรือนกลับเป็นอีกภาพหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วที่เดิมแค่คลุมเสื้อคลุม ยามนี้เสื้อคลุมบนร่างหลุดร่วงลงแล้ว เธอที่สวมเพียงชุดซับในยกชามดื่มเหล้าไปอึกใหญ่จนหมดเกลี้ยง แล้ววางชามลงบนโต๊ะอย่างแรง “รินมาอีก!”
เจ้าตำหนักยมราชที่นั่งอยู่ข้างๆ ชำเลืองมองสาวน้อยที่เมามายจนดวงตาพร่ามัวใบหน้าแดงก่ำ แววตาลึกล้ำสั่นไหว ไม่ได้รินเหล้าอีกแต่คีบอาหารให้นาง “กินอาหารบ้างสิ”
“เหล้า ข้าต้องการเหล้า” เฟิ่งจิ่วโบกๆ มือ ผลักชามเหล้าไปตรงหน้าเขา แล้วชี้ลงในชาม “ตรงนี้ รินมา”
เห็นเช่นนั้น เจ้าตำหนักจึงยกไหเหล้าขึ้นรินให้นางอีกชาม นี่เป็นเหล้าวิญญาณ แม้ฤทธิ์จะแรงมากแต่ก็ไม่ค่อยทำลายสุขภาพนัก หนำซ้ำอย่างน้อยๆ นางก็กินอาหารบ้าง ดื่มมากหน่อยคงไม่เป็นไร
เมื่อนางดื่มชามแล้วชามเล่า เหล้าวิญญาณไหหนึ่งก็จวนจะเห็นก้นไห เจ้าตำหนักเขย่าไหเหล้าที่ว่างเปล่า มองไปทางสาวน้อยข้างกาย มองคราวนี้คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยทันควัน “มองข้าทำไม?”
สาวน้อยที่ดื่มจนเมายามนี้กำลังใช้สองมือเท้าคางพลางยิ้มหยีตามองเขาทั้งใบหน้าแดงก่ำ ศีรษะที่โคลงไปมา รวมถึงดวงตาคู่นั้นที่ทอประกาย ทำให้เขาเห็นแล้วรู้สึกสนใจอย่างอดไม่ได้
ที่แท้ตอนนางเมาน่ารักเพียงนี้เลย
น่ารัก? ไม่เคยนึกว่าคำเช่นนี้จะผุดขึ้นมาในความคิดเขา
“ข้าจะแอบบอกท่านเรื่องหนึ่ง เข้ามาสิ” เธอหรี่ดวงตาเมามายที่น่าหลงใหลและทรงเสน่ห์ พลางกระดิกนิ้วไปทางเขา
หัวใจเจ้าตำหนักเต้นแรงเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้ เต้นตึกตักเหมือนมีกวางตัวน้อยๆ พุ่งชนสะเปะสะปะ โน้มเข้าไปใกล้นางโดยไม่รู้ตัวราวกับโดนผีเข้าสิง เห็นริมฝีปากชุ่มฉ่ำน่าหลงใหลที่งามหยดย้อยอยู่ตรงหน้า ลมหายใจเขาหนักขึ้นเล็กน้อยโดยพลัน