ตระกูลมู่หรง
บ้านพักบนภูเขาที่กว้างขวางเหลืองอร่ามและใหญ่โตโอ่อ่าหรูหรา ที่ดูมิได้ด้อยไปกว่าที่พำนักของเชื้อพระวงศ์เลยแม้แต่น้อย บางทีอาจด้วยเพราะจำนวนสมาชิกของคนในบ้านประมุขค่อนข้างน้อย ทำให้บ้านพักทั้งหลังดูมีบรรยากาศแห่งความอึมครึมและเศร้าหมองรวมอยู่ การใช้อัญมณีที่มีมูลค่าเทียบเท่าเมืองจำนวนนับไม่ถ้วนมาทับถมกันให้ดูหรูหรา ก็กลับทำให้ผู้ที่ได้เห็นรู้สึกประหนึ่งถูกบีบอัดจดแทนหายใจไม่ออก
มู่หรงหมิงเหยียนก้าวเข้าประตูใหญ่มา ที่หน้าประตูมีบ่าวไพร่กลุ่มใหญ่มาคอยรอรับใช้อยู่แล้ว เมื่อเห็นนางกลับมาก็รีบเข้าไปต้อนรับด้วยความยินดี “คุณหนูใหญ่ ท่านกลับมาเสียที นายท่านเป็นห่วงท่านแทบแย่แล้วเจ้าค่ะ”
มู่หรงหมิงเหยียนขมวดคิ้วด้วยความสะอิดเสอียน เงยหน้าขึ้นมองบ่าวไพร่โขยงใหญ่ที่สีหน้าพร้อมที่จะพะเน้าพะนอเอาใจตน ทั้งยังชายคาและคานห้องที่แกะสลักลวดลายอย่างวิจิตรอลังการพวกนั้นอีก แล้วในหัวนางก็อดมีภาพของบุรุษในชุดขาวที่เรียบง่ายสง่างามและโดดเด่นปานประหนึ่งเซียนบนชั้นฟ้าปรากฏขึ้น
มู่หรงหมิงเหยียนกัดมุมปาก แล้วในแววตาของนางก็มีประกายแห่งความแน่วแน่วาบผ่าน
“ท่านปู่ ท่านอาทวด” ยังไม่ทันได้กลับเข้าห้องพักของตน มู่หรงหมิงเหยียนก็ถูกประมุขตระกูลมู่หรงเรียกเข้าไปยังห้องหนังสือเสียแล้ว แต่ในห้องหนังสือมิได้มีเพียงประมุขตระกูลมู่หรงเท่านั้น แต่ยังมีมู่หรงสยงที่ทำให้นางนึกขลาดกลัวมาตั้งแต่เด็กอยู่ด้วย
ประมุขตระกูลมู่หรงส่งเสียงหึเย็นๆ เอ่ยว่า “เจ้ายังรู้จักกลับมาหรือ! เจ้าเป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลมู่หรง ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าออกไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบ”
มู่หรงหมิงเหยียนก้มศีรษะลง มือม้วนเชือกผ้าไหมเล่นอย่างทำอันใดไม่ได้ ไม่กล้าพูดอันใดทั้งสิ้น ในสายตาของคนนอก นางคือคุณหนูใหญ่ที่สูงสง่าและน่าเคารพของตระกูลมู่หรง แต่ตั้งแต่เล็กจนโต ยามอยู่ต่อหน้าท่านปู่กับท่านอาทวด กลับไม่เคยมีที่เหลือให้นางได้เอ่ยปาก แต่ไหนแต่ไรมา เวลาพวกท่านพูด นางก็ทำได้เพียงฟัง แต่ในยามนี้…สิ่งที่นางต้องการจะพูด เป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของนางจริงๆ
ประมุขตระกูลมู่หรงเมื่อเห็นท่าทางว่านอนสอนง่ายของนาง ไฟโกรธในใจก็ค่อยเบาลงไปเล็กน้อย น้ำเสียงก็ฟังดูอ่อนลง “พรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพแล้ว ข้ากับท่านอาทวดของเจ้าได้คัดเลือกไว้ให้เจ้าแล้ว จะให้เจ้าแต่งงานกับเจ้าสำนักเยี่ยนอ๋อง หลิงเถี่ยหาน”
“แต่ว่า…หลิงเถี่ยหานอายุสี่สิบปีแล้วนะเจ้าคะ!” มู่หรงหมิงเหยียนเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตะลึง โพล่งออกมาอย่างอดไม่อยู่
คนอายุสี่สิบ สำหรับมู่หรงหมิงเหยียนที่เพิ่งอายุได้สิบเจ็ดปีนั้น ถือว่าเป็นคนแก่คนหนึ่ง หากบิดาของนางยังมีชีวิตอยู่ อายุของหลิงเถี่ยหานยังจะมากกว่าบิดาของนางอยู่หลายปีด้วยซ้ำ
“หุบปาก!” ประมุขตระกูลมู่หรงหน้าบึ้งตึงลง มองมู่หรงหมิงเหยียนด้วยความไม่ได้ดั่งใจ “อายุสี่สิบแล้วอย่างไร ด้วยวรยุทธของหลิงเถี่ยหานกับฐานะและตำแหน่งของเขา อายุอย่างเขาถือว่าน้อยมากแล้ว เจ้าคิดว่าในโลกนี้มีสักกี่คนที่สามารถต่อกรกับเหลยเจิ้นถิงได้ ใจข้าอยากให้เจ้าแต่งงานกับติ้งอ๋อง น่าเสียดายที่เขาไม่พึงใจในตัวเจ้า แม้แต่ตัวก็ยังไม่ยอมมา”
เมื่อถูกท่านปู่ของตนพูดจาถากถางอย่างไม่เห็นใจกันเช่นนี้ มู่หรงหมิงเหยียนก็อับอายเสียจนหน้าแดงไปหมด ก่อนจะซีดขาวลงอย่างรวดเร็ว พูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่
ถึงอย่างไรนางก็เป็นหลานสาวของตน และเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ ประมุขตระกูลมู่หรงก็ถอนใจยาวออกมา ปรับสีหน้าให้ดูอ่อนลง เอ่ยอย่างใช้ความอดทนว่า “ที่พวกเราตั้งใจจัดงานให้ยิ่งใหญ่เพียงนี้ มิได้เพราะคิดถึงเจ้าหรือ ในใต้หล้านี้ คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงก็มีเพียงไม่กี่คนนั้น ที่ติ้งอ๋องไม่ยอมมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เขาไม่สนใจเจ้า ไม่สนใจทรัพย์สมบัติของตระกูลมู่หรง อีกอย่าง ติ้งอ๋องรักใคร่ชายาติ้งอ๋องอย่างลึกซึ้ง เป็นที่รู้กันดีไปทั่วใต้หล้า แม้แต่เมืองหลักของซีเป่ยยังตั้งชื่อตามพระชายา ต่อให้ทำเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่หลงใหลในความรักและเพื่อตระกูลสวี แต่ติ้งอ๋องก็ไม่มีทางทอดทิ้งไม่ไยดีพระชายา ต่อให้เจ้าแต่งงานไปก็คงเป็นได้เพียงอนุ ส่วนฮ่องเต้แห่งต้าฉู่กับหลีอ๋อง ข้างกายฮ่องเต้แห่งต้าฉู่มีตระกูลหลิ่วอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีที่ให้พวกเราแทรกเท้าเข้าไปได้ หลีอ๋องพวกเรามาดูแล้ว เกรงว่าคงจะไม่เป็นโล้เป็นพายอันใด แต่หลิงเถี่ยหานไม่เหมือนกัน เขาเป็นประมุขสำนักเยี่ยนอ๋อง ตัวก็อยู่ในซีหลิง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับติ้งอ๋อง ด้วยฐานะเช่นนี้ของเขา นอกจากจะแยกตัวออกจากความขัดแย้งทั้งหลายแล้ว ยังไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินเขาด้วย อีกอย่าง ยามนี้หลิงเถี่ยหานยังไม่ได้แต่งงาน หากเจ้าแต่งงานกับเขา เจ้าก็จะกลายเป็นฮูหยินเจ้าสำนักแห่งสำนักเยี่ยนอ๋อง ทั้งยังมีตระกูลมู่หรงคอยส่งเสริมเจ้า ในโลกนี้จะยังมีผู้ใดกล้าตีสีหน้าใส่เจ้าอีก”
มู่หรงหมิงเหยียนฝืนกัดริมฝีปากไม่ตอบ ต่อให้ท่านปู่พูดจนมีดอกไม้ผุดขึ้นที่ตัวหลิงเถี่ยหาน แต่ในสายตาของมู่หรงหมิงเหยียน หลิงเถี่ยหานที่ไม่สะดุดตาทั้งเรื่องรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าอาภรณ์ จะเทียบกับคุณชายชิงเฉินที่ทั้งสุภาพและสง่างามได้เช่นไร
หากเยี่ยหลีอยู่ที่นี่ จะต้องปรายตามองมู่หรงหมิงเหยียนพร้อมพ่นเสียงหัวเราะออกทางจมูกใส่นางอย่างแน่นอน มิใช่เพราะเยี่ยหลีเห็นว่าหลิงเถี่ยหานดีกว่าสวีชิงเฉิน แต่เดิมทีทั้งสองก็เป็นคนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงแม้หลิงเถี่ยหานจะหล่อเหลาสู้สวีชิงเฉิน ม่อซิวเหยา เฟิ่งซาน หานหมิงซีพวกนั้นไม่ได้ แต่รูปร่างของเขาก็สูงใหญ่กำยำ ใบหน้าก็ดูมีความมั่นใจ เด็ดขาด และมากด้วยสง่าราศี ต่อให้จับเขาไปไว้รวมกับบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า อย่างไรก็ไม่มีทางถึงกับถูกบดบังจนจมหายไปอย่างแน่นอน อีกอย่าง เมื่อดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ทุกคนล้วนรู้สึกว่าสวีชิงเฉินดูเป็นคนนิสัยดีกว่าหลิงเถี่ยหาน แต่หากให้เยี่ยหลีเอ่ย เกรงว่าจิตใจของหลิงเถี่ยหานจะยังอ่อนกว่าสวีชิงเฉินอยู่เล็กน้อยเสียด้วยซำ
หากให้เยี่ยหลีเลือกหนึ่งในสองคนนี้มาเป็นสามี เยี่ยหลีคงจะเลือกหลิงเถี่ยหานสักแปดส่วน มิใช่เลือกสวีชิงเฉิน ซึ่งนี่ก็เป็นอธิบายจากอีกด้านหนึ่งว่า เหตุใดสวีชิงเฉินที่เพียบพร้อมด้วยรูปลักษณ์ ความเก่งกาจสามารถหาใดเปรียบ แต่มาถึงยามนี้แล้วกลับยังมิได้แต่งงาน บางครั้งการที่สุภาพเกินไป เอาเข้าจริงกลับกลายเป็นความห่างเหินและเย็นชาไปเสีย น่าเสียดายก็เพียง มู่หรงหมิงเหยียนไม่เข้าใจในเหตุผลข้อนี้
มู่หรงสยงส่งเสียงหึอย่างเยาะหยัน “ความคิดของเด็กสาว ข้าก็พอเข้าใจ เจ้าแค่เพียงเห็นว่าหลิงเถี่ยหานอายุมากกว่าเจ้าอยู่มาก รูปลักษณ์ก็ไม่หล่อเหลาเท่าบรรดาคุณชายหนุ่มๆ ทั้งหลายที่มาร่วมงานชุมนุมใหญ่แห่งยุทธภพก็เท่านั้น ดูท่าตระกูลมู่หรงคงจะตามใจเจ้ามากเกินไปเสียแล้ว เจ้าคิดว่าความงามของเจ้ามันสักเท่าไรกันเชียว เมื่อเย็นไปพบเจ้าเด็กตระกูลสวีนั่นมาล่ะสิ ถูกปฏิเสธกลับมาแล้วสิ หน้าตาของเจ้า ยามอยู่ในเมืองอัน อาจจะเรียกได้ว่างาม แต่ต้าฉู่หาใช้ซีหลิงไม่ เจ้าเด็กตระกูลสวีนั่นเดินทางไปทั่วใต้หล้า คนงามที่ใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็น หน้าตาเช่นเจ้านี่ หากยืนอยู่กับเจ้าเด็กตระกูลสวีนั่นแล้ว ดูท่าหน้าตาเจ้าก็คงจะดีสู้เขาไม่ได้! เจ้าก็อย่าไปรังเกียจที่หลิงเถี่ยหานอายุมากกว่าเจ้าเลย เขาอายุสี่สิบ แต่ยังรักษาตัวให้ดูเหมือนคนอายุสามสิบได้ ต่อไปหากเขาอายุเจ็ดสิบก็ยังรักษารูปลักษณ์ให้ดูเหมือนคนอายุห้าสิบได้เช่นกัน เจ้าคิดว่าเจ้าอายุห้าสิบแล้วจะยังเป็นสาวงามอยู่อีกหรือ ถึงยามนั้นก็ถึงตาเขานึกรังเกียจเจ้าแล้ว! หากแต่งงานไปกับเจ้าเด็กตระกูลสวีหรือม่อซิวเหยา ข้าว่าเจ้าอายุยังไม่ทันถึงสามสิบดี ก็คงถูกคนเขาลืมไปหมดแล้ว”
“ท่านอาทวด!” คำพูดเมื่อครู่เป็นคำพูดที่รุนแรงมากจริงๆ มู่หรงหมิงเหยียนโตมาจนถึงป่านนี้ ยังไม่เคยถูกพูดจาดูหมิ่นเช่นนี้มาก่อน และการดูหมิ่นนี้กลับมาจากคนในตระกูลของตนเป็นผู้พูดอีกด้วย น้ำตานางจึงรินไหลลงมาทันที จะเช็ดอย่างไรก็ห้ามไว้ไม่อยู่
“แค่ก…ท่านอา…” ประมุขตระกูลมู่หรงไอเบาๆ ขึ้นทีหนึ่ง ด้วยรู้สึกว่ามู่หรงสยงออกจะพูดแรงเกินไปสักหน่อย มู่หรงหมิงเหยียนถึงแม้จะมิได้งดงามขนาดไม่มีผู้ใดเปรียบ แต่ก็ไม่ถึงกับถูกคนรังเกียจ ชื่อเสียงที่ว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอัน พวกเขาก็มิใช่เป็นคนตั้ง ถึงแม้ท่านอาคิดอยากสั่งสองหมิงเหยียนไม่ให้นางไม่รู้อันใดควรไม่ควรมากจนเกินไป แต่บางเรื่องหากมากเกินไปก็จะมีแต่เสีย
มู่หรงสยงปรายตามองมู่หรงหมิงเหยียนทีหนึ่ง สุดท้ายยังไม่ทันได้พูดอันใด ประมุขตระกูลมู่หรงก็หันไปเอ่ยกลับมู่หรงหมิงเหยียนว่า “เอาเป็นว่า เรื่องนี้ข้ากับท่านอาทวดของเจ้าได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ต้องพูดอันใดอีกแล้ว”
มู่หรงหมิงเหยียนมีหรือจะยอม นางกลั้นใจเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าประมุขตระกูลมู่หรง “ท่านปู่ หมิงเหยียนยังมีความคิดที่ดีกว่านี้เจ้าค่ะ เจ้าสำนักหลิงไม่แน่ว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
ประมุขตระกูลมู่หรงเลิกคิ้วสีดอกเลาขึ้น มิใช่ว่าเขาดูถูกมู่หรงหมิงเหยียน แต่หลานสาวผู้นี้มีความคิดอ่านเช่นไร เขารู้จักนางดีเป็นที่สุด ย่อมไม่เชื่อว่ามู่หรงหมิงเหยียนจะมีความคิดอันใดดีๆ
มู่หรงหมิงเหยียนรีบเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉิน”
ประมุขมู่หรงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เอ่ยเสียงเข้มว่า “ข้าพูดกับเจ้าเสียมากมาย เจ้ายังลุ่มหลงไม่รู้สึกตัวอีกหรือ! พูดไปพูดมาก็คือเสียดายหน้าตาหล่อๆ ของสวีชิงเฉินนั่นเท่านั้น ยังกล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้อีก อย่าลืมเสียว่าหลายปีมานี้ผู้ใดให้เจ้าได้กินอยู่อย่างสบาย”
มู่หรงหมิงเหยียนมองประมุขตระกูลมู่หรงด้วยน้ำตากลบตา
มู่หรงสยงที่นั่งอยู่อีกด้านถึงกับขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นห้ามหลานชายที่เตรียมจะตะคอกด้วยความโกรธ เขาหันไปจ้องมู่หรงหมิงเหยียนพลางเอ่ยว่า “เจ้าลองว่ามาซิ”
มู่หรงหมิงเหยียนยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบเอ่ยว่า “คุณชายชิงเฉินฉลาดหลักแหลมเก่งกาจเรื่องการวางแผนอย่างหาใดเปรียบ หากว่า…หากว่าสามารถทำให้เขายินยอมที่จะแต่งงานเข้าตระกูลมู่หรงได้…”
ประมุขตระกูลมู่หรงส่งเสียงหึเบาๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็นว่า “แต่งเข้า? เจ้าช่างคิดได้ดีนัก เจ้าไม่ลองดูเล่าว่าตระกูลสวีเป็นตระกูลเช่นไร แค่ให้เขาตกลงจะแต่งงานกับเจ้าก็เป็นเรื่องยากแสนยากแล้ว ยังคิดจะให้เขาแต่งเข้าอีก!”
เมื่อต้องเอ่ยเช่นนี้ ในใจประมุขตระกูลมู่หรงก็รู้สึกไม่พอใจนัก ไม่มีสิ่งใดน่าสะอิดสะเอียนไปกว่าการให้คนที่ภาคภูมิใจในตระกูลของตนเองมายอมรับว่าตระกูลของตนสู้ตระกูลอื่นไม่ได้อีกแล้ว แต่ในสายตาของคนในโลกนี้ ต่อให้ตระกูลสวียากจนข้นแค้นเพียงไร ก็มีฐานะสูงส่งกว่าตระกูลมู่หรงมากนัก กับเพราะแค่เป็นตระกูลบัณฑิต…หึ!
มู่หรงหมิงเหยียนคิดถึงความไร้เยื่อใยของของสวีชิงเฉิน ดวงตาคู่งามก็หม่นแสงลง ก่อนเอ่ยต่อว่า “ท่านอาทวดกับท่านปู่มีอำนาจกว้างขวาง จะต้องมีวิธีแน่เจ้าค่ะ หากคุณชายชิงเฉินสามารถเข้ามาเป็นคนของตระกูลมู่หรงได้ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายชิงเฉินกับชายาติ้งอ๋อง พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องผูกสัมพันธ์อันใดกับสำนักนักฆ่า ราชวงศ์ซีหลิงก็จะมิกล้าทำอันใดตระกูลมู่หรงได้ง่ายๆ อีกทั้งเมื่อมีคุณชายชิงเฉินคอยช่วยเหลือ จะกังวลไปไยว่าตระกูลมู่หรงจะไม่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประมุขตระกูลมู่หรงก็เกิดความลังเลเล็กน้อย หากสามารถให้ตระกูลมู่หรงยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เมื่อใดก็ตามที่สวีชิงเฉินแต่งงานเข้ามาตระกูลมู่หรง พวกเขาก็จะเป็นญาติกับตระกูลสวี ที่สำคัญที่สุด เหลนรุ่นต่อไปของตระกูลมู่หรงจะกลายเป็นบุตรชายของคุณชายชิงเฉินที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้า เมื่อถึงยามนั้นจะมีผู้ใดกล้าบอกว่าลูกหลานตระกูลมู่หรงเป็นพ่อค้าที่ตัวมีแต่กลิ่นทองแดงอีกหรือ เพียงแต่…แต่ไหนแต่ไรมา ตระกูลสวีไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา จะเห็นดีด้วยกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร
ประมุขตระกูลมู่หรงเบนสายตาคำถามส่งไปยังมู่หรงสยง ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนี้ สวีชิงเฉินก็ดูจะเหมาะสมกว่าหลิงเถี่ยหานจริงๆ เพราะถึงอย่างไร…หลิงเถี่ยหานก็มีอาชีพเป็นนักฆ่า เกรงว่าคงจะควบคุมไม่ได้ง่ายๆ เพียงแต่เรื่องนี้…เกรงว่าคงจะไม่สำเร็จง่ายๆ”
มู่หรงสยงหรี่ตาลง นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาจะเป็นประกายคมกล้า เอ่ยอย่างถือดีว่า “มีอันใดไม่ง่ายกัน ข้ามู่หรงสยงยอมยกหลานสาวให้แต่งงานกับเขา ถือเป็นวาสนาของเขาแล้ว!”
มิใช่เพราะมู่หรงหมิงเหยียนเหมาะสมเพียงพอกับสวีชิงเฉิน แต่ด้วยเพราะมู่หรงหมิงเหยียนเป็นหลานสาวของเขา มู่หรงสยง ด้วยชื่อเสียงแห่งยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า ทำให้เขามีความมั่นใจเพียงพอที่จะคิดว่าสวีชิงเฉินจะไม่ปฏิเสธเขาในเรื่องนี้
ประมุขตระกูลมู่หรงหันมองมู่หรงหมิงเหยียนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ก่อนหันไปมองมู่หรงสยงที่มีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยม แล้วในที่สุดก็ตอบรับ
Related