“ข้าจำไม่ได้ว่าเรียกเจ้ามาเมืองหลวงด้วย เฟิ่งจือเหยา?” ในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยามองเฟิ่งจือเหยาที่ฝุ่นเต็มตัวพลางเอ่ยขึ้นอย่างเกียจค้าน
เฟิ่งจือเหยายืนพิงกำแพงที่ข้างประตู ส่งยิ้มอย่างเหนื่อยล้ากลับมาให้เขา หลายปีผ่านไป ใบหน้าหล่อเหลาที่เคยดูขี้เล่นของเฟิ่งจือเหยา ดูจะมีความสุขุมและควบคุมได้ยากอยู่จางๆ ความรู้สึกเช่นนี้เดิมทีไม่ควรมีอยู่ในสมุนซ้ายขวาของตำหนักติ้งอ๋อง ถึงแม้ยามอยู่ซีเป่ยจะไม่ถึงกับพูดหนึ่งจะไม่มีทางเป็นสอง แต่ก็ทำให้คนไม่กล้ามองข้ามคุณชายเฟิ่งซานไป ยามนี้ที่เขาขมวดคิ้วคมด้วยความเหนื่อยล้าระคนเป็นห่วง ก็ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าว่าอันใดเขา
เยี่ยหลีดึงแขนเสื้อม่อซิเหยาเบาๆ เป็นการเตือนเขาว่าอย่าได้ต่อว่าเฟิ่งจือเหยามากนัก
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ ด้วยความไม่พอใจ ก่อนหันไปเอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาว่า “พูดมาเถิด มีเรื่องอันใด หากเจ้าคิดจะบอกว่าไม่ได้มีเรื่องอันใด แค่เพียงเพราะไม่วางใจเพียงอย่างเดียวถึงได้แล่นจากซีเป่ยมาถึงเมืองหลวงนี่ ข้าจะให้คนจับเจ้ามัดแล้วโยนกลับไปเดี๋ยวนี้”
เฟิ่งจือเหยาโตมาด้วยกันกับเขาตั้งแต่เล็กๆ ย่อมรู้ดีว่ายามไหนที่เขาโกรธจริงๆ ยามไหนที่เขาเพียงตั้งใจขู่ให้กลัว
เขาหันไปยิ้มให้เยี่ยหลีแทนคำขอบคุณ แล้วเฟิ่งจือเหยาถึงได้เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ “คุณชายชิงเฉินต้องการให้ข้านำจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ท่านอ๋อง การคาดเดาผิดพลาด ซีหลิงกับหนานจ้าวยังไม่ทำศึกกัน”
อันที่จริงนี่ก็เป็นเพียงน้ำใจที่สวีชิงเฉินมีต่อเฟิ่งจือเหยาเท่านั้น เดิมทีข่าวนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องให้เฟิ่งจือเหยาที่มีฐานะเช่นนี้ เดินทางรอนแรมมาเพื่อส่งจดหมายด้วยตนเอง อีกทั้งสวีชิงเฉินก็ใช่ว่าจะจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เพียงแต่สภาพของเฟิ่งจือเหยาหนักหนาเสียจนกระทบต่อการทำงานของเขา คุณชายชิงเฉินฉลาดไม่เป็นสอง ย่อมเข้าใจว่าที่เมืองหลวงจะต้องมีเรื่องอันใดที่ทำให้เขาปล่อยวางไม่ลงอย่างแน่นอน ถึงได้หาเรื่องมาอ้าง ให้เขากลับมาเมืองหลวงได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ม่อซิวเหยาก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ การคาดเดาของสวีชิงเฉินมีน้อยครั้งนักที่จะผิดพลาด เพียงแต่เขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
การตายของม่อจิ่งฉี ถึงแม้จะไม่ถือเป็นเรื่องที่เกิดความคาดเดา แต่หลังจากม่อจิ่งฉีตายแล้ว ความวุ่นวายที่เกิดตามมาต่างหากที่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือกล่าวโทษตนเองที่ม่อจิ่งฉีประกาศออกมาก่อนที่ตนเองจะตาย กับการจัดการกับตำหนักติ้งอ๋อง ที่ยิ่งเกินคาดเสียยิ่งกว่าเกินคาด
เจิ้นหนานอ๋องที่ได้รับข่าวนี้ เป็นไปได้มากที่จะล้มเลิกแผนการทำศึกกับหนานจ้าว เพราะถึงอย่างไร หนานจ้าวก็เป็นเพียงแคว้นเล็กๆ ที่ค่อนข้างสงบ จะได้มาหรือไม่เมื่อเทียบกับต้าฉู่ที่มีความอุดมสมบูรณ์กว่ามากแล้ว อย่างไรก็ถือว่าไม่สมเหตุสมผล
“ช่วงนี้ซีหลิงมีความเปลี่ยนแปลงอันใดหรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
เฟิ่งจือเหยาตอบว่า “เจิ้นหนานอ๋องได้ลอบเคลื่อนกำลังทหารเข้ามาประชิดชายแดนต้าฉู่แล้ว คุณชายชิงเฉินคาดเดาว่า…หากข่าวการสวรรคตของม่อจิ่งฉีแพร่ออกไป ทัพใหญ่ของซีหลิงก็จะยกเข้าบุกต้าฉู่อีกครั้ง อีกอย่าง ทางด้านเป่ยหรงก็ดูจะมีแผนการนี้เช่นกัน”
“คุณชายชิงเฉินว่าอย่างไร”
“คุณชายชิงเฉินบอกว่า หากท่านอ๋องจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเสร็จแล้ว ขอให้รีบเดินทางกลับ”
“หาก…จัดการเสร็จแล้ว…” ม่อซิวเหยาผินหน้าไปยิ้มให้เยี่ยหลี “ดูท่าพี่ใหญ่จะไม่ได้รีบร้อนให้พวกเรากลับไป เช่นนั้นก็อยู่อีกพักหนึ่งก็แล้วกัน”
หากจัดการเสร็จแล้วให้รีบกลับ หากจัดการไม่เสร็จก็ยังไม่ต้องกลับไป สวีชิงเฉินกล้าเอ่ยเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขาไม่เห็นเหลยเจิ้นถิงอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ซีเป่ยมีคุณชายชิงเฉินคอยรักษาการณ์อยู่ แล้วเหตุใดพวกเขาจึงจะไม่อยู่ที่เมืองหลวงไปก่อน ไม่แน่ว่าอาจจะตกได้ประโยชน์อันใดบ้าง
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว แต่ก็มิได้สนใจที่ม่อซิวเหยาบิดเบือนความหมายของสวีชิงเฉิน เพราะถึงอย่างไรเขาก็มาบอกต่อคำพูดของเขาโดยไม่ตกหล่นแม้สักตัวอักษรไปแล้ว ส่วนท่านอ๋องจะเข้าใจไปอย่างไร ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเขา
เยี่ยหลีอมยิ้มมองเฟิ่งจือเหยา “ถ้าเช่นนั้น เฟิ่งซานพักอยู่ที่ตำหนักติ้งอ๋องก่อนก็แล้วกัน”
ถึงแม้เฟิ่งจือเหยาจะมีบ้านอยู่ที่นี่ แต่เขาก็ย้ายออกมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนแล้ว จนเมื่อกองทัพตระกูลม่อกับต้าฉู่ตัดขาดกัน ตระกูลเฟิ่งยิ่งประกาศตัดขาดกับเฟิ่งจือเหยาและขับไล่เขาออกจากตระกูล ตัดขาดความสัมพันธ์กันอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น บ้านพักที่เมืองหลวงของเฟิ่งจือเหยาก็ไม่ได้พักอาศัยมาหลายปี อีกทั้งยามนี้ยังมีผู้ใดไม่รู้อีกบ้างว่า คุณชายเฟิ่งซานเป็นคนที่ติ้งอ๋องไว้เนื้อเชื่อใจ
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “ขอบพระคุณพระชายา”
“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋อง…” เฟิ่งจือเหยามองเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยา แล้วในที่สุดก็อดทนต่อไปไม่ไหว ที่เขารีบร้อนกลับมาเมืองหลวงก็ด้วยเพราะเรื่องนี้ จึงไม่อาจรอต่อไปแม้เพียงหนึ่งเค่อ
เยี่ยหลีมองคุณชายเฟิ่งซานเจ้าสำราญตรงหน้า ที่น้อยครั้งนักจะมีสีหน้าบิดเบี้ยวและอัดอั้นจนหน้าแดง แล้วนางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เจ้าวางใจได้เลย อย่างไรนางก็เป็นฮองเฮาแห่งแคว้น ทั้งยังมีตระกูลฮว่าคอยช่วยอยู่ข้างหลัง ไม่ว่าใครจะขึ้นนั่งบัลลังก์ ก็ต้องให้ความเคารพนางทั้งสิ้น”
เฟิ่งจือเหยาหน้าตึงไป ลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “ข้าอยากพบนางสักครั้ง พระชายาได้โปรดทำให้ข้าสมหวังด้วย”
เยี่ยหลีผินหน้าไปมองม่อซิวเหยา
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อาหลีตัดสินใจก็พอ”
เยี่ยหลีนิ่งคิด ก่อนเอ่ยกับเฟิ่งจือเหยาว่า “ยามนี้ในวังมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เจ้าใจเย็นไว้ก่อนอย่างเพิ่งรีบร้อน ข้าจะจัดการให้เอง เพียงแต่…ข้าต้องให้นางยินยอมก่อน”
เยี่ยหลีย่อมรู้ดีว่าเฟิ่งจือเหยาคิดจะทำสิ่งใด แต่หากฮองเฮาไม่ยินยอม แล้วเฟิ่งจือเหยาเข้าไปพบโดยพลการ ก็มีแต่จะทำให้ต่างฝ่ายต่างหัวเสียเปล่าๆ
เยี่ยหลีไม่อาจแน่ใจว่าฮองเฮามีความรู้สึกเช่นไรต่อเฟิ่งจือเหยา หรือความรู้สึกส่วนนั้น เพียงพอให้นางละทิ้งภาระหน้าที่และฐานะของนางหรือไม่
เฟิ่งจือเหยาลังเลเล็กน้อย คิดจะบอกปัด แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเยี่ยหลี จึงจำต้องพยักหน้า “ขอบพระคุณพระชายา”
ดูเหมือนนางจะเห็นถึงความไม่ยินยอมของเฟิ่งจือเหยา เยี่ยหลีจึงถอนใจออกมาเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เรื่องความรู้สึกนั้น ยากจะบอกว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด เจ้าเป็นห่วงนาง พวกข้าต่างรู้ดี เพียงแต่…หากนางไม่ต้องการความเป็นห่วงจากเจ้า ความตั้งใจของเจ้าในวันนี้ จะมิได้เป็นการช่วยเหลือนาง แต่กลับจะเพิ่มความลำบากให้กับนาง เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฟิ่งจือเหยานิ่งเป็นการตอบ บางทีในใจของเขา ลึกๆ แล้วไม่เชื่อว่าบางทีฮองเฮาอาจจะไม่จำเป็นต้องให้เขาช่วยเหลือ เพียงแต่…นางเป็นฮองเฮาที่เป็นมารดาแห่งชนทั้งใต้หล้า ต่อให้นางไม่มีความรู้สึกอันใดต่อม่อจิ่งฉี ก็คงเปลี่ยนความจริงที่ว่า นางเป็นฮองเฮาของต้าฉู่และจะเป็นฮองไทเฮาในอนาคตไปได้ ต่อให้เป็นม่อจิ่งหลีได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ กับพี่สะใภ้ผู้นี้ ก็ยังจำต้องให้ความเคารพ แต่ยามนี้ องค์ชายสิบที่จะขึ้นครองราชย์อายุเพิ่งเจ็ดปี เป็นวัยที่ต้องการคนคอยประคับประคองอยู่ นางจะไปกับเขาหรือ เฟิ่งจือเหยารู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาที่น้อยนักจะเป็นเช่นนี้ เยี่ยหลีก็ได้แต่ลอบถอนใจ ความรัก คำนี้เป็นสิ่งที่ทรมานคนมากที่สุดแล้ว คนเช่นเฟิ่งจือเหยา มีนิสัยรักอิสระ มีผลงานความสำเร็จที่ไม่ธรรมดา เดิมทีควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไร้กังวล น่าเสียดายที่กลับติดอยู่กับคำว่าความรักนี้ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังลุ่มหลงไม่ได้สติ หากความหลงใหลที่หานหมิงเย่ว์มีต่อซูจุ้ยเตี๋ยจะทำให้คนรู้สึกโกรธแล้ว ความผูกพันลึกซึ้งที่เฟิ่งจือเหยามีต่อฮองเฮา ก็คงทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารและจนใจ
“อย่าคิดอันใดให้มากไปเลย” เยี่ยหลีเอ่ยกลั้วหัวเราะขึ้นยิ้มๆ
เฟิ่งจือเหยาฝืนยิ้ม “ขอบพระคุณพระชายาที่ชี้แนะ”
“ท่านอ๋อง พระชายา คุณชายเหลิ่งเอ้อร์กับเหลิ่งฮูหยินมาพ่ะย่ะค่ะ” จั๋วจิ้งเอ่ยรายงานจากหน้าประตู
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “เขามาทำอันใดในยามนี้”
ด้านนอกมีเสียงของเหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยกลั้วหัวเราะดังขึ้น “ฮ่องเต้สวรรคต การค้ากับหลายพื้นที่ล้วนถูกบังคับให้ต้องปิดลง ข้าน้อยจะไม่อยู่ว่างๆ ไม่มีอันใดทำหรือพ่ะย่ะค่ะ”
การค้าที่อยู่ภายใต้ชื่อของเหลิ่งเฮ่าอวี่ล้วนเกี่ยวข้องกับหอนางโลม โรงสุรา โรงพนันทั้งสิ้น ฮ่องเต้สวรรคตทุกพื้นที่ล้วนอยู่ในความเศร้าโศก กิจการเหล่านี้ย่อมไม่อาจเปิดต่อไปได้ ดังนั้นเหลิ่งเฮ่าอวี่ที่อยู่ว่างๆ จึงพาบุตรชายกับฮูหยินมาเยี่ยมเยียนที่ตำหนักติ้งอ๋อง
พอเขาจูงมู่หรงถิงเดินเข้ามาในห้องหนังสือ ก็เห็นว่ามีเฟิ่งจือเหยานั่งอยู่ด้วย เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มเอ่ยว่า “เอ๋? นี่มิใช่คุณชายเฟิ่งซานหรอกหรือ ไม่ได้พบเสียนาน…ก็ไม่เท่าไรนี่”
ก็ใช่สิ เฟิ่งจือเหยาวิ่งห้อมาตลอดทาง ยังไม่ทันได้พักผ่อนก็ตรงเข้ามาหารือธุระในห้องหนังสือทันที ยามที่กำลังวังชายังดีอยู่ ก็ยังพอดูได้ แต่ยามนี้เมื่อปล่อยตัวตามสบายแล้ว แม้แต่ชุดสีแดงที่สวมอยู่ มองดูแล้วก็ยังหม่นแสงลงไปหลายส่วน
ถึงแม้เหลิ่งเฮ่าอยู่จะชอบแข่งขันกับเฟิ่งจือเหยามาตลอด แต่ก็มิได้โจมตีเข้าที่แผลของเขาอย่างรู้ว่าอันใดควรไม่ควร เขานั่งลงเอ่ยเสียงขรึมกับเฟิ่งจือเหยาว่า “เจ้าวางใจได้ นางไม่เป็นไรหรอก ในยามที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดกล้ามองข้ามนางหรอก”
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ยังไม่ทันได้ตั้งขึ้น อดีตฮ่องเต้สวรรคต ไทเฮากับหลิ่วกุ้ยเฟยถูกสั่งให้นำไปร่วมฝังด้วย ในวังยามนี้ก็เป็นฮองเฮาที่พูดคำไหนคำนั้น ยามนี้คนที่มีตา ล้วนไม่มีผู้ใดกล้าไปหาเรื่องฮองเฮาเด็ดขาด
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า ยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เพียงเบ้ปาก มิได้เอ่ยอันใด
เขาไม่มีความเห็นอันใดกับฮองเฮา แต่เมื่อเห็นเฟิ่งจือเหยารักนางอย่างทรมานอยู่เป็นสิบปีก็ยังไม่ตัดใจบางครั้งเขาก็อดคิดอยากสู้เพื่อสหายรักของตนขึ้นมาไม่ได้ แต่เมื่อนึกย้อนถึงตนเองยามตามจีบภรรยา ที่ต้องใช้เวลาและกำลังกายกำลังใจไปจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ก็ทำได้เพียงถอนใจที่เฟิ่งจือเหยาถือว่าโชคร้ายกว่าตนเท่านั้น