ที่ด้านหลังมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีอย่างเห็นได้ชัดของม่อซิวเหยาลอยตามมาว่า “หากจัดการเรื่องบิดาเจ้าเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมกลับไปจัดการงานในห้องหนังสือที่กองสุมอยู่หลายวันแล้วด้วยล่ะ เจ้าพูดเองนะ ถวายชีวิตจนตัวตาย…”
เฟิ่งจือเหยาแทบจะขาอ่อนลงไปทันที เขานี่มันสมองหมูชัดๆ…
เมื่ออมยิ้มมองเฟิ่งจือเหยาจากไปแล้ว เยี่ยหลีก็หันไปเอ่ยกับม่อซิวเหยาด้วยความจนใจว่า “เหตุใดท่านถึงต้องล้อเขาเล่นด้วย”
ม่อซิวเหยาส่งเสียงหึเบาๆ “ล้อเขาเล่น? ข้าไม่ได้ล้อเขาเล่นเสียหน่อย หากหลายเดือนนี้เขาไม่ช่วยงานข้าจนเท้าไม่ติดพื้น ถือว่าข้าผิดต่อเขา!”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยถามว่า “ท่านคิดว่าเฟิ่งจือเหยาจะเกลี้ยกล่อมนายท่านเฟิ่งได้สำเร็จหรือ”
พูดตามตรง คนที่มีพรสวรรค์ด้านการทำการค้าเช่นเฟิ่งหวายถิง เป็นคนที่พวกเขาต้องการให้ยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นหานหมิงซีหรือเหลิ่งเฮ่าอวี่ ล้วนไม่ถือว่าเป็นคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เลย เหลิ่งเฮ่าอวี่ดูแลกิจการภายใต้ชื่อของตำหนักติ้งอ๋องยังไม่ต้องพูดถึง แต่หากต้องมารับผิดชอบเศรษฐกิจการค้าของทั้งซีเป่ยหรือแม้กระทั่งพื้นที่ที่ใหญ่กว่านี้ ก็เห็นได้ชัดว่าความสามารถยังไม่เพียงพอ
อีกทั้งตัวเหลิ่งเฮ่าอวี่เองก็เกิดในตระกูลแม่ทัพ ที่หลายปีนี้ลอบทำตัวเป็นพ่อค้าช่วยเหลือกิจการของตำหนักติ้งอ๋องมาตลอด ก็ถือว่าเอาเปรียบเขาไม่น้อย ครานี้ที่ส่งเขาไปด่านจื่อจิง เยี่ยหลีก็เข้าใจว่า ม่อซิวเหยาคงคิดเตรียมหาคนมีความสามารถมาแทนที่เขาแล้ว เพียงแต่การที่ไปหาเฟิ่งหวายถิงมาได้นั้น ก็ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วเอ่ยว่า “นอกเสียจากเขาไม่ต้องการชีวิตของเฟิ่งจือเหยาแล้ว”
เยี่ยหลีส่ายหน้า เอ่ยอย่างไม่เห็นด้วยว่า “เขามิได้เป็นเพียงบิดาของเฟิ่งจือเหยาเพียงคนเดียว อีกด้านยังมีบุตรชายสายหลักทั้งสองกับตระกูลเฟิ่งทั้งตระกูลอยู่ด้วย น้ำหนักของเฟิ่งจือเหยาเพียงคนเดียว เกรงว่าจะไม่พอ”
ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “นี่ก็ต้องดูว่าเฟิ่งหวายถิงใช่พ่อค้าที่แท้จริงหรือไม่แล้ว พ่อค้า หากไม่มีสายตาที่ยาวไกลมากพอ ก็ถือว่าไม่เพียงพอ หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องใช้เขาก็เท่านั้น”
ฮองเฮามองทั้งสองแล้วหัวเราะออกมาน้อยๆ “ท่านอ๋องขบคิดเพื่อลูกน้องอย่างหนัก ถือได้ว่าเป็นประมุขที่หาได้ยากในโลกนี้ ตระกูลเฟิ่งหากมาอยู่กับท่าน ต่อไปจะต้องไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน”
ม่อซิวเหยาหันไปเอ่ยกับนางว่า “เช่นนั้นตระกูลฮว่าเล่า”
ฮองเฮาอึ้งไป ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ตระกูลฮว่า…ข้าตัดสินใจไม่ได้”
นางเข้าใจบิดาของตนพอสมควร เกรงว่าต่อให้ต้าฉู่ล่มสลายไปจริงๆ เขาก็คงไม่ไปจากต้าฉู่แม้แต่ก้าวเดียว เขาสู้รบเพื่อแคว้นนี้มาตลอดชีวิต คนที่อาวุโสกว่ารุ่นหนึ่ง เอาเข้าจริงเห็นต้าฉู่สำคัญกว่าชีวิตตนเองเสียด้วยซ้ำ หากคิดอยากโน้มน้าวให้พวกเขาไปจากที่นี่ ถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ม่อซิวเหยาเองก็ดูจะรู้จักฮว่ากั๋วกงมากพอเช่นกัน จึงพยักหน้าเอ่ยว่า “ข้าจะไม่บังคับให้ตระกูลฮว่าต้องตัดสินใจ”
“ขอบคุณมาก ซิวเหยา” ฮองเฮาเอ่ยพลางยิ้มบางๆ
ม่อซิวเหยาก็ยิ้มตอบนางบางๆ เช่นกัน
ในตำหนักหลีอ๋อง ม่อจิ่งหลีที่เพิ่งได้ตระกูลเฟิ่งมาเกือบทั้งตระกูล นั่งมองบัญชีที่ตระกูลเฟิ่งเพิ่งส่งเข้ามาให้ที่ห้องหนังสือด้วยอารมณ์ที่ดียิ่งนัก มุมปากยกยิ้มเป็นรอยยิ้มเยือกเย็น ต่อให้ก่อนตาย ปลายพู่กันของม่อจิ่งฉีจะทำให้แผนเขาต้องพังไม่เป็นท่าแล้วอย่างไร เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ม่อจิ่งฉีตายไปแล้ว ขอเพียงเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะสามารถมองเห็นตอนจบได้ และก็มีเพียงคนที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับทุกอย่างไป
ม่อจิ่งฉีหวังใจว่าจะให้ม่อซิวเหยาช่วยเขาเก็บกวาดตอนจบให้กับเขา แต่น่าเสียดาย ม่อซิวเหยามิได้สนใจในสิ่งเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย อีกทั้ง ด้วยความสามรถของเขาในยามนี้ ต่อให้ต้องใช้ไม้แข็งกับม่อซิวเหยา ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถทำได้ เพียงแต่…แค่เพียงคิดถึงสถานการณ์รบที่ยังคงคุกรุ่นอยู่ที่ด่านจื่อจิง ม่อจิ่งหลีก็ได้แต่ส่งเสียงหึเบาๆ เขายังไม่สามารถยั่วยุอันใดม่อซิวเหยาได้ในยามนี้
“ท่านอ๋อง หลิ่วกุ้ยเฟยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ด้านหน้าประตู พ่อบ้านเข้ามาเอ่ยรายงานขึ้น
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “นางมาทำอันใด” ถึงแม้ยามนี้เขาจะไม่เกรงกลัวต่อเสียงนกเสียงกา แต่ถึงอย่างไรหลิ่วกุ้ยเฟยก็เป็นสนมของเสด็จพี่ฮ่องเต้ของเขา พระศพของอดีตฮ่องเต้ยังไม่ทันเย็น หลิ่วกุ้ยเฟยก็วิ่งโร่มาที่ตำหนักท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการเสียแล้ว นี่ใช่เรื่องเสียที่ไหน อีกอย่าง ม่อจิ่งหลีก็ไม่นึกถูกชะตากับหลิ่วกุ้ยเฟยมาโดยตลอด เมื่อได้ยินว่านางมาหาถึงที่ตำหนักโดยพลการ ย่อมรู้สึกไม่พอใจ
“ดูเหมือนหลิ่วกุ้ยเฟยจะบาดเจ็บหนัก บอกว่าต้องพบท่านอ๋องให้ได้พ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านเอ่ยรายงานด้วยความระมัดระวัง
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ เอ่ยว่า “ไปหาติ้งอ๋องจนได้เรื่องใส่ตัวมากระมัง” เขาลุกยืนขึ้นอย่างอารมณ์ไม่ดี พลางเอ่ยสั่งการว่า “พานางไปรอที่โถงดอกไม้ ข้าจะตามไป”
ม่อจิ่งหลีเมื่อก้าวเข้าไปในโถงดอกไม้แล้วเห็นสภาพของหลิ่วกุ้ยเฟย ก็ถึงกับตกใจ ชุดหลัวสีขาวปานหิมะมีรอยเลือดเปรอะอยู่เต็มไปหมด แค่เพียงมองดูก็รู้ว่าถูกแส้เฆี่ยนมา มีบางที่ที่แม้แต่เสื้อผ้าก็ถึงกับขาดวิ่น แล้วรอยเลือดบนใบหน้าที่ยังไม่ทันได้เช็ดให้สะอาด รวมถึงแขนข้างขวาที่ห้อยต่องแต่งลงมาอีก “นี่มันเรื่องอันใดกัน”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงขรึมด้วยความไม่พอใจ หลิ่วกุ้ยเฟยมาที่ตำหนักเขาด้วยสภาพเช่นนี้ หากแพร่ออกไปจะเป็นเช่นไร
หลิ่วกุ้ยเฟยเงยหน้าขึ้นมองเขา ยิ้มเยาะทีหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “จะมีเรื่องอันใดได้อีกเล่า เจ้ายังดูไม่ชัดหรือ ม่อซิวเหยาเป็นคนทำ”
ม่อจิ่งหลีมองประเมินหลิ่วกุ้ยเฟยโดยละเอียด ถึงได้พบว่า สตรีผู้นี้ดูจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม เดิมทีเมื่อเอ่ยถึงม่อซิวเหยา ไม่ว่าจะในเวลาใด แววตาของสตรีนางนี้ก็จะเต็มไปด้วยแววหลงใหลรักใคร่อย่างปิดไม่มิด แต่ในยามนี้กลับกัดฟันเอ่ยถึงด้วยความโกรธ ถึงแม้ลึกๆ ในแววตาจะมีความหลงใหลที่ไม่อาจหลบซ่อนไว้ได้ก็เถิด แต่ม่อจิ่งหลีเชื่อว่า ยามนี้ในใจของหลิ่วกุ้ยเฟย ความโกรธที่มีต่อม่อซิวเหยาจะต้องมากเกินความรักไปแล้วอย่างแน่นอน
ม่อจิ่งหลีนั่งลงตรงข้ามนาง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าเตือนเจ้าแต่แรกแล้ว ว่าอย่าไปยั่วโมโหม่อซิวเหยา ยามนี้คงเข้าใจแล้วกระมัง ชั่วชีวิตนี้นอกจากเยี่ยหลีแล้ว ม่อซิวเหยาเคยพึงใจสตรีนางใดอีกบ้าง ต่อให้เป็นซูจุ้ยเตี๋ย…ก็มิได้ตายคามือม่อซิวเหยาหรอกหรือ”
“อย่าได้เอานังผู้หญิงคนนั้นมาเปรียบเทียบกับข้า!” หลิ่วกุ้ยเฟยเอ่ยด้วยความรังเกียจ
ม่อจิ่งหลีเบ้ปาก ในใจลอบคิดว่า เจ้าคิดว่าเจ้าดีกว่าซูจุ้ยเตี๋ยนักหรือ
ม่อจิ่งหลีคร้านที่จะสนใจความคิดนาง เอ่ยถามอย่างหมดความอดทนว่า “ยามนี้เจ้าไม่ไปตระกูลหลิ่ว แต่มาหาข้าที่นี่ เพราะเหตุใดกัน”
หลิ่วกุ้ยเฟยหรุบตาลง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ตระกูลหลิ่ว? หึหึ…เมื่อเช้าท่านพ่อบอกข้าว่า คิดจะยกหลานสาวคนเล็กของข้าให้หลีอ๋อง หลีอ๋องช่างวาสนาดีนัก หลานสาวคนเล็กของข้านางนั้นกำลังอยู่ในวัยแรกแย้มทีเดียว และก็ถือว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งอันดับสองของเมืองหลวงเชียวนะ”
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว แต่ก็เข้าใจความหมายของหลิ่วกุ้ยเฟยและแผนการที่ตระกูลหลิ่วคิดไว้อย่างรวดเร็ว เขาจ้องหลิ่วกุ้ยเฟยพลางเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะทำอันใด”
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการให้ตระกูลหลิ่วสนับสนุนเจ้า แต่ก็ไม่อยากถูกตระกูลหลิ่วควบคุม ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ ให้เจ้าได้ตระกูลหลิ่วทั้งหมดมา…โดยที่ไม่ต้องแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์”
“เงื่อนไขคืออันใด” ม่อจิ่งหลีเอ่ยถามขึ้นตรงๆ หลิ่วกุ้ยเฟยไม่มีทางช่วยเหลือเขาอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเอ่ยว่า “หลีอ๋องช่างตรงไปตรงมาจริงๆ เงื่อนไขคือ…ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าฆ่าเยี่ยหลี!”
ม่อจิ่งหลีอึ้งไป หรุบตาลงเอ่ยว่า “ฆ่าเยี่ยหลี? ข้าเสียสติไปแล้วหรือ…ฆ่าเยี่ยหลีจะได้รับผลตอบแทนจากม่อซิวเหยาเช่นไร ผู้ใดเลยจะสามารถรับได้”
เดิมทีที่เยี่ยหลีตกหน้าผาไป ม่อซิวเหยาก็ประกาศตัดขาดกับต้าฉู่ในดาบเดียวอย่างเด็ดขาดยังไม่เท่าไร แต่เขาเกือบก่อความวุ่นวายให้เกิดขึ้นไปทั่วใต้หล้า ผ่านมาหลายปีแล้ว ม่อจิ่งหลียังพอสืบเรื่องเมื่อปีนั้นได้ ปีนั้นที่เยี่ยหลีตกหน้าผาไป สุขภาพร่างกายของม่อซิวเหยาทรุดลงอย่างมาก หากมิใช่เช่นนั้น เกรงว่าม่อซิวเหยาคงกล้ายกทัพเข้ามาบุกต้าฉู่ให้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ที่ทั้งสองมีบุตรด้วยกันแล้ว ความสัมพันธ์จะต้องยิ่งลึกซึ้งกว่าแต่ก่อนเป็นแน่
หลิ่วกุ้ยเฟยยิ้มเย็นพลางเอ่ยว่า “ด้วยความสามารถของหลีอ๋องในยามนี้ ยังต้องเกรงกลัวตำหนักติ้งอ๋องอีกหรือ ขอเพียงมีอิทธิพลของตระกูลหลิ่ว ในราชสำนักจะต้องมีคนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ให้การสนับสนุนเจ้า ถึงยามนั้นเจ้าก็จะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้อย่างยิ่งใหญ่…”
“หญิงโง่” ม่อจิ่งหลีเอ่ยขึ้นอย่างไม่เกรงใจ บางทีกองทัพตระกูลม่ออาจไม่ได้น่าเกรงกลัวเพียงนั้น แต่ยามนี้ด้วยสถานการณ์ระหว่างแต่ละแคว้นที่ดูเหมือนสงบเรียบร้อย แต่เอาเข้าจริงแค่เพียงแตะโดนก็จะระเบิดออกมาทันที และต้าฉู่ยิ่งมีข้าศึกบุกเข้ามาทางตอนเหนือด้วยแล้ว ขอเพียงกองทัพตระกูลม่อยื่นมือเข้ามายุ่ง ต้าฉู่ก็จะเผชิญกับศึกทั้งสองด้าน เป่ยหรงจะต้องเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ไปอย่างแน่นอน ยามนี้ต้าฉู่อยู่ในช่วงเวลาที่ไม่อาจล่วงเกินม่อซิวเหยาได้ยิ่งกว่าช่วงเวลาใดเสียอีก
“เจ้าจะไม่รับปากจริงหรือ” หลิ่วกุ้ยเฟยหรี่ตาลง “เช่นนั้นบุตรชายของเจ้ายังต้องการหรือไม่”
นัยน์ตาม่อจิ่งหลีมีประกายรังเกียจแวบขึ้นมา ก่อนจะกดกลับลงไปอย่างรวดเร็ว “เปลี่ยนเป็นเงื่อนไขอื่น ฆ่าเยี่ยหลีข้าทำไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ตัวเยี่ยหลีเองก็เป็นยอดฝีมือระดับหนึ่ง ข้างกายยังมีองครักษ์ลับและหน่วยกิเลนอีก หากฆ่านางเป็นเรื่องที่ง่ายเพียงนั้น เจ้าจะมาหาข้าหรือ”
หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันกรอด นิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ฆ่าบุตรชายของเยี่ยหลี!”
“เพราะเหตุใด” ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วเอ่ยถามขึ้น
“ข้าต้องการให้นางอยู่เหมือนตายทั้งเป็น!” ใบหน้าที่งดงามของหลิ่วกุ้ยเฟย บิดเบี้ยวจนดูประหนึ่งปีศาจร้าย “ข้าต้องการให้นางสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ข้าต้องการให้นางใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดทั้งวันทั้งคืน มีชีวิตที่ไม่สงบสุขไปชั่วชีวิต!”
ภายในโถงดอกไม้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนม่อจิ่งหลีจะเอ่ยว่า “ข้าขอปฏิเสธ”
“เจ้า!” หลิ่วกุ้ยเฟยถลึงตาจ้องม่อจิ่งหลีด้วยความโกรธ
ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะเอ่ยว่า “อย่าคิดว่าไม้นี้ของเจ้าจะใช้ได้ผลทุกครั้ง จนถึงยามนี้ข้ายังไม่ได้เห็นบุตรชายของข้าแม้สักครั้ง ข้าเคยบอกไว้แล้ว…หากกล้าหลอกข้า ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายทั้งเป็น!”
หลิ่วกุ้ยเฟยตัวเกร็งไปเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่เดิมนางเคยมองข้ามไป กลับเข้ามาโจมตีจนทำให้นางอดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวดไปไม่ได้
หลิ่วกุ้ยเฟยลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าที่ขาวซีดว่า “หากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ไม่มีอันใดต้องพูดกันแล้ว ข้าขอตัว”
ม่อจิ่งหลีมองจ้องนาง “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะทำอันใด แต่อย่าได้แตะต้องเยี่ยหลี”
หลิ่วกุ้ยเฟยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ หันกลับมามองประเมินม่อจิ่งหลีอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยว่า “อย่าได้แตะต้องเยี่ยหลี? ดูท่าเหตุผลที่หลีอ๋องไม่ยอมตบปากรับคำข้ามิใช่เพราะเกรงกลัวติ้งอ๋อง แต่เป็น…จิตใจยังประหวัดถึงเยี่ยหลีคนนั้นอยู่จริงๆ สินะ ช่างหาได้ยากนัก…หลีอ๋องถึงขั้นเสียดายสตรีที่ตนเองไม่ต้องการถึงเพียงนี้เชียวหรือ หรือว่า…บุรุษก็ล้วนสารเลวกันเช่นนี้ สิ่งที่ไม่ได้ถึงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด?!”
ม่อจิ่งหลียิ้มเยาะ “เจ้าไม่ต้องสนใจ อย่างไรก็ดีกว่าเจ้าที่ไปหาถึงที่ แต่เขากลับไม่สนใจที่หันมองก็แล้วกัน”
“เจ้า…หึ!” หลิ่วกุ้ยเฟยกัดฟันกรอด สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที นางที่เดินออกไปอย่างถือดี ในใจมีความคิดและแผนการต่างๆ นานาวิ่งแล่นในหัวเต็มไปหมด แต่กลับไม่รู้ว่า เรื่องราวเลวร้ายที่แท้จริงกำลังถลึงตามองจ้องนางอยู่ที่ด้านหลัง