บทที่ 27 พระราชวังใต้ดิน!
พอเห็นฮวาชิงหวู่เดินเข้าไปและนอนลงในค่ายกลทำให้เจิ้งก่วงอี้และคนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านนอกค่ายกลดวงตาเบิกโพลง พวกเขารู้ดีถึงความน่ากลัวของค่ายกลนั้น!
พอเห็นการกระทำของฮวาชิงหวู่ ฉู่ชวิ๋นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธอทำอะไรเนี่ย? มีเป้าหมายอะไรงั้นเหรอหรือว่าคิดจะให้เราออกไปช่วย?
ดูเหมือนว่า ความเฉลียวฉลาดของฮวาชิงหวู่ เหนือกว่าคนทั่วไปมากแต่เธอประเมินเขาต่ำเกินไป ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว เขารู้ว่าถ้าหากว่าเขาปรากฏตัวออกไปมันก็จะเป็นไปตามที่ฮวาชิงหวู่คิดไว้พอดี
ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ให้เธอแสดงละครฉายเดี่ยวไปเลย! ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้าและนั่งทำท่านั่งสมาธิเพื่อฝึกตน
หลังจากผ่านไปสิบนาทีกว่า ฮวาชิงหวู่ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ และมองไปรอบ ๆ ทิศทางก่อนจะรีบหลับตาลงอีกครั้ง
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ฮวาชิงหวู่ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง มอง ๆ ยังคงเป็นภาพที่เลอะเลือนเหมือนเดิม ร่างกายของเธอสั่นเทาในปากก็บ่นอุบอิบว่า “ไอ้บ้า เลวที่สุด” เธอกำลังด่าฉู่ชวิ๋นอยู่
จริง ๆ แล้ว หลังจากที่เธอเข้ามาในค่ายกลเธอก็รู้สึกเสียใจมาก ในโลกนี้คล้ายกับว่าเหลือเธอเพียงแค่คนเดียว ความรู้สึกที่โดดเดี่ยวนี้ทำให้เธอแทบบ้า แต่ว่าเธอก็ฉลาดไม่น้อย
เมื่อมองเห็นความน่ากลัวเธอก็หลับตาลงในทันที เธอไม่เชื่อว่าฉู่ชวิ๋นจะเฉยเมยไม่สะทกสะท้านใด ๆ เขาต้องออกมาช่วยเธอแน่ ๆ
ผ่านไปสองชั่วโมงแล้ว ฮวาชิงหวู่ก็เริ่มตื่นตระหนก
“ไอ้บ้า นายยังเป็นผู้ชายอยู่หรือเปล่า รังแกผู้หญิง นี่นับว่าเก่งแล้วงั้นเหรอ?”
“มีความสามารถอะไรก็แสดงออกมา คนที่ขี้ขลาดตาขาวอย่างนายมันก็ทำได้แค่หลบซ่อนตัวเท่านั้นแหละ! ฮวาชิงหวู่ยิ่งด่ายิ่งมีพลัง เพราะว่าเธอค้นพบว่าการด่าทอสามารถลดความรู้สึกหวาดกลัวที่อยู่ในใจได้
ผ่านไปสามชั่วโมง ฮวาชิงหวู่ก็ด่าจนเหนื่อย สถานการณ์ที่จนตรอกทำให้ความตื่นตระหนกที่อยู่ในจิตใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เธอเตือนสติตัวเองตลอดว่า นี่คือของปลอม ไม่มีอะไรจริงทั้งนั้น แต่ความรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่มีที่สิ้นสุดก็ยังคงพรั่งพรูออกมา
“นี่นาย ฉันผิดไปแล้วยังไม่พออีกเหรอ ฉันขอโทษ…”
ฉู่ชวิ๋นที่กำลังฝึกตนก็ลืมตาขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะว่าฮวาชิงหวู่แต่เป็นเพราะว่าเส้นชีพจรของภูเขามีปัญหา เมื่อกี้พลังที่ออกมาอยู่ ๆ ก็ขาดหายไป เงาของฉู่ชวิ๋นปรากฏตัวข้าง ๆ ฮวาชิงหวู่ที่พูดพร่ำไม่หยุด
ฮวาชิงหวู่ตกใจแต่ทว่ายังไม่ทันได้ตอบโต้ก็ถูกฉู่ชวิ๋นใช้มือหิ้วเธอออกไปนอกค่ายกล
ไม่ผิด คือการใช้มือจับไหล่เธอแล้วหิ้วออกไป พอฮวาชิงหวู่ออกไปจากค่ายกล เงาของฉู่ชวิ๋นก็หายไปทันที
“ไอ้บ้า!” ฮวาชิงหวู่ที่กำลังตอบโต้ก็นวดไหล่ตัวเองเบา ๆ ชายหนุ่มคนนี้ไม่ทะนุถนอมอ่อนโยนต่อสตรีเลย ในเวลานี้เองฉู่ชวิ๋นได้พุ่งตรงไปยังเส้นชีพจรของภูเขาด้วยความเร็วสูง
เส้นชีพจรของภูเขาสำหรับเขามาก ถ้าหากว่ามันมีปัญหาการฝึกตนของเขาก็จะช้าลงไปด้วย
ด้วยความเร็วของฉู่ชวิ๋น ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเขาก็มาถึงยอดภูเขาเฉียนหลง จากบนภูเขาเฉียนหลงมองลงมาเป็นเทือกเขาที่ไม่มีที่สิ้นสุดราวกับแผ่นดินใหญ่ที่ถูกซ่อนเอาไว้
ฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ยืนอยู่บนเทือกเขา เขาพึ่งจะรู้สึกถึงความสูงตระหง่านและความใหญ่มหึมาของเทือกเขาแห่งนี้ ฉู่ชวิ๋นพอเจอสิ่งผิดปกติก็รีบตามไปทันที
หลังจากผ่านไป สิบนาที ฉู่ชวิ๋นก็หยุดเดิน ตรงหน้าเขาปรากฏเป็นปากถ้ำขนาดใหญ่ เขาเดินเข้าไปในถ้ำเพื่อสำรวจ ภายในมืดจนมองไม่เห็นอะไรแต่กลับรู้สึกได้ถึงพลังที่อยู่ในถ้ำ
ดูเหมือนว่าพลังลมปราณที่ดูดซับน่าจะรั่วไหลออกมาจากที่นี่ ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองไปทั่ว ไม่นานคิ้วของฉู่ชวิ๋นก็ย่นลงมานิดหน่อย
ไม่รู้เพราะอะไร พลังลมปราณของทั้งภูเขาถึงถูกดึงมาในถ้ำแห่งนี้ ปากถ้ำที่นี่ก็คล้ายกับปากที่ใหญ่มหึมากำลังกลืนบางอย่างเข้าไป
ฉู่ชวิ๋นก้มหัวสำรวจมองอย่างละเอียด ผนังถ้ำมีหินแปลกประหลาดนูนออกมาไม่น้อย เพียงแต่หินแปลกประหลาดพวกนี้เนื้อผิวเกลี้ยงราวกับเคยถูกขัดเงามาแล้ว ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจเดินลึกเข้าไปและกระโดดลงไปในถ้ำ
ไม่รู้ว่าถ้ำนี้ลึกขนาดไหนกันแน่? ฉู่ชวิ๋นเข้ามาลึกกว่าสามสิบเมตรแล้วแต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ฉู่ชวิ๋นหาฐานที่มั่นเพื่อเตรียมตัวเข้าไปให้ลึกกว่านี้ ทันใดนั้น สายตาของเขาก็มองไปยังหินด้านข้างเท้าเขา หินเกล็ดที่ขนาดเท่าฝ่ามือเริ่มส่องแสงสว่างขึ้นมา
ฉู่ชวิ๋นก็ก้มตัวลงไปเก็บขึ้นมา นี่คือหินเกล็ดที่แม้ว่าจะมีขนาดเท่าฝ่ามือแต่กลับแหลมคมและยังแข็งราวกับเหล็กอีกด้วย ฉู่ชวิ๋นทิ้งหินเกล็ดปลาและเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ สายตาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง
ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าไหร่ ในที่สุดฉู่ชวิ๋นก็มาถึงสุดขอบถ้ำ โชคดีที่ไม่ได้เกิดเรื่องอันตรายอะไรขึ้น
ภายในสุดของถ้ำมันเป็นเหมือนหัวโค้งรูปร่างตัวแอล (L) ไม่รู้ว่ายืดออกถึงที่ไหน? ฉู่ชวิ๋นเงยหน้ามองขึ้นไป ไม่เห็นข้างบนสุดของถ้ำเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าถ้ำนี้ภายในสูงมากกว่าหนึ่งร้อยเมตรอย่างแน่นอน
ผนังถ้ำไม่รู้ว่าเป็นหินอะไร แต่มันเปล่งแสงสีขาวอันเย็นยะเยือกสาดส่องออกมาแต่ด้วยสายตาของฉู่ชวิ๋นจึงไม่มีปัญหาสำหรับการมองเห็นในนี้ ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปข้างใน
ภายในครึ่งชั่วโมง จังหวะฝีเท้าของฉู่ชวิ๋นก็เชื่องช้าลงและตรงหน้าปรากฏประตูหินที่เก่าแก่และใหญ่โต ประตูหินที่สูงมาก ๆ ข้างบนมีรอยย่นที่ดูลึกลับ
ฉู่ชวิ๋นมองไปยังด้านบนประตูหิน ตรงนั้นมีตัวอักษรสลักอยู่เพียงแต่ว่ามันเก่าจนมองไม่เห็นว่าเป็นตัวอะไร ที่น่าตกใจก็คือประตูหินนี้หนักมาก แม้แต่พลังของฉู่ชวิ๋นในตอนนี้ก็ไม่สามารถเปิดได้โดยง่าย เขาพยายามอยู่บานประตูก็เปิดออก เขามองดูฝุ่นละอองบนพื้น เหมือนว่าประตูหินนี้เพิ่งถูกเปิดเมื่อไม่นานมานี้หรือว่าข้างในนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีก?
ฉู่ชวิ๋นเริ่มระวังตัวขึ้นมาทันที เขาเดินมาดูหน้าประตูหินสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
“ค่ายกล!”
ฉู่ชวิ๋นตกใจจนหันซ้ายหันขวามองรอบตัว ตรงหน้าของเขาคาดไม่ถึงว่าจะเป็นค่ายกล เขาคิดมาตลอดว่าบนพื้นพิภพ มีเขาแค่คนเดียวที่เป็นผู้ฝึกตนเป็นเซียน
ค่ายกล จำเป็นต้องใช้พลังลมปราณ ดูเหมือนว่าบนโลกใบนี้จะยังมีผู้ฝึกตน เป็นเซียนอยู่จริง ๆ ฉู่ชวิ๋นเริ่มลังเลใจ ผู้ฝึกตนเป็นเซียนล้วนโอหังและถือดี ไม่มีสาเหตุที่จะต้องเข้าไปในอาณาเขตของผู้ฝึกตนเป็นเซียนคนอื่น ๆ มันก่อให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น
แต่ในใจของเขารู้สึกอยากรู้อยากเห็น บนโลกนี้ทำไมถึงมีผู้ฝึกตนเป็นเซียนได้กันละ สุดท้ายฉู่ชวิ๋นควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนไม่อยู่ ก้าวเท้าไปข้างหน้าเหยียบเข้าไปยังในค่ายกล ถึงแม้จะไม่รู้ชื่อค่ายกลแต่ค่ายกลนี่กลับไม่ใช่ค่ายกลสังหารเป็นค่ายป้องกัน
ฉู่ชวิ๋นสบายใจนิดหน่อย เพราะว่าค่ายกลนี้เป็นเพียงแค่ค่ายกลระดับหนึ่ง แสดงว่าพลังของอีกฝ่ายคงไม่สูงมาก เขาหาค่ายกลทำลายค่ายกลให้แตก
“โฮ่ว!”
พอค่ายกลแตกสลาย สัตว์ร้ายขนาดเท่าภูเขาหนึ่งตัวที่มีหัวเป็นสิงโตหางอสรพิษตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นคาวพุ่งเข้ามาโจมตีเขาทันที!
เงาฉู่ชวิ๋นสั่นไหว จู่ ๆ ก็ไปปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ สัตว์ร้าย ฉู่ชวิ๋นระเบิดพลังลมปราณออกมาซัดพลังใส่สัตว์ร้ายอย่างโหดเหี้ยม
“ปัง!”
สัตว์ร้ายในที่สุดก็ถูกฉู่ชวิ๋นจัดการร่างกระจัดกระจายค่อย ๆ หายไปในอากาศ
“ค่ายกลลวงตา!”
ฉู่ชวิ๋นอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ตัวเขากังวลเกินไปแล้ว แม้แต่ค่ายกลลวงตาแบบนี้ก็ยังมองไม่ออกแต่ว่าใครคิดว่าพอค่ายกลทั้งสอง ถูกทำลาย มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลลูกโซ่
“โฮ่ก!”
แรดขนาดใหญ่มหึมาร่างกายเป็นสีแดงตัวหนึ่งปรากฏตัวออกมา แต่ยังไม่ได้รอให้มันได้พุ่งเข้ามา ฉู่ชวิ๋นก็ใช้ฝ่ามือซัดเข้าไปที่ใจกลางของค่ายกล แรดขนาดใหญ่มหึมากระจัดกระจายค่อย ๆ สลายหายไป
ค่ายกลลวงตาถูกทำลายล้างสิ้น ตรงหน้าปรากฏทะลุสว่างออกมา ฉู่ชวิ๋นมองไปก็เห็น พระราชวังหิน!
เขาเงยหน้ามอง ด้านบนสุดพระราชวังสูง สามสิบเมตร มีหินเสามากมายเป็นที่ประคับประคอง ขนาดมันใหญ่มหึมามาก บนหินเสามีตะเกียงน้ำมันที่จุดไฟอยู่ เปลวไฟพลิ้วไหวไปมา บริเวณรอบ ๆ ราวกับช่วงเวลากลางวัน ฉู่ชวิ๋นคิดในใจ ตะเกียงไฟพวกนี้ไม่รู้ว่าถูกจุดมานานเท่าไหร่แล้ว?
ฉู่ชวิ๋นเดินเข้าไปใกล้ผนังหินพระราชวัง เห็นด้านบนเป็นแกะสลักรูปหิน รูปหินพวกนี้สีสันหลากหลายเหมือนจริงมาก ไม่รอให้เขาสำรวจอย่างละเอียด กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของยาก็โชยลอยมา พอได้กลิ่นฉู่ชวิ๋นก็ตื่นเต้นมาก เขาหันไปทางกลิ่นทันที
ยังไม่ทันได้รอเขาเข้าใกล้ จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียง “ปัง” พระราชวังใต้ดินจู่ ๆ ก็สั่นสะเทือน ฉู่ชวิ๋นไม่สนใจวิ่่งเข้าไปใกล้กลิ่นยาที่หอมหวน
เมื่อเขาเจอที่มาของกลิ่นหอมยา เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนตัวแข็ง ไม่ไกลนักมีแสงสะท้อนหญ้าเล็ก ๆ เจ็ดสีส่องแสงแวววับฝังรากลึกอยู่บนผนังหิน พลังลมปราณจำนวนมากไหลทะลักมายังต้นหญ้าเล็กพวกนี้
“ดอกบัวสีรุ้ง” ลำคอฉู่ชวิ๋นรู้สึกแห้งฝืด
ดอกบัวสีรุ้งเป็นสมุนไพรวิญญาณระดับกลาง โดยธรรมชาติแล้วจะมีกลิ่นที่หอมผิดปกติ ผู้ฝึกตนเป็นเซียนสามารถใช้เป็นสมุนไพรได้เลย ถ้าหากคนธรรมดาได้กินสมุนไพรนี้ลงไปก็จะได้พลังมหาศาล อายุยืนขึ้นนับสิบปี
สมุนไพรชนิดนี้ยังมีผลที่มหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น หลังจากกินลงไป ผู้กินจะมีกลิ่นหอมติดไปตามร่างกายตลอดชีวิตอีกทั้งพิษทั่วไปไม่สามารถทำอะไรได้เลยแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ ดอกบัวสีรุ้งก็ส่องสว่างออกมาสีเจ็ดสีส่องแสงสว่างบริเวณรอบไกลนับสิบกว่าเมตร พลังมหาศาลก่อตัว แสดงให้เห็นว่ามันใกล้จะเจริญเติบโตแล้ว มิน่าล่ะพลังลมปราณถึงขาดหายไป มันถูกดอกบัวสีรุ้งเอาไปนี้เอง
กว่าดอกบัวสีรุ้งจะโตเต็มที่ต้องใช้เวลาประมาณห้าร้อยปี ฉู่ชวิ๋นดีใจมากนี้เป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ฉู่ชวิ๋นไม่คิดไตร่ตรองว่ามันจะมีเจ้าของหรือเปล่า เขาเดินไปหาดอกบัวสีรุ้งเพื่อฉกชิงมันทันที แม้ว่าจะมีเจ้าของแล้วยังไงล่ะ?
สมุนไพรวิญญาณนี้เขาต้องการมัน!
ฉู่ชวิ๋นยื่นมือเพื่อเก็บมันทันที
“ปัง!”
ม่านพลังป้องกันแสดงฤทธิ์ออกมา ฉู่ชวิ๋นที่ถูกม่านพลังรบกวนได้แต่ต้องถอยออกมาก่อน
“เป็นค่ายกลอีกแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้วครั้งนี้เป็นค่ายกลสังหาร ค่ายกลที่ได้เจอก่อนหน้านี้ไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้เลย
พลังลมปราณทั่วร่างกายฉู่ชวิ๋นไหลเวียนออกมา หมัดระเบิดพยัคฆ์!
“ค่ายกลธรรมดา ๆ แบบนี้หยุดฉันไม่ได้หรอกนะ!” หมัดพุ่งตรงเข้าใส่ค่ายกลสังหาร พลังลมปราณแตกกระจายออกมา
“เพล้ง!” เสียงแตกร้าวดังขึ้น
ค่ายกลแตกร้าว ไม่นานเสียงดัง “ปัง” ก็ดังขึ้นสุดท้ายค่ายกลก็กระจัดกระจายหายไป หมัดเดียวก็ทำลาย
ค่ายกลลงได้!
ฉู่ชวิ๋นยื่นมือไปจับดอกบัวสีรุ้ง ทันใดนั้นดอกบัวสีรุ้งที่ฉู่ชวิ๋นกำลังจะเอามาก็ระเบิดออก ฉู่ชวิ๋นรีบถอยกลับมาทันที
“ปัง!”
จุดที่ฉู่ชวิ๋นยืนอยู่เมื่อครู่ระเบิดจนแผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เงาของฉู่ชวิ๋นปรากฏห่างออกไปจากจุดเดินที่ยืนอยู่เมื่อครู่นับสิบกว่าเมตร สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“พญาอสรพิษเจ็ดสี”
ฉู่ชวิ๋นที่กำลังตกใจมองสัตว์ร้ายที่อยู่ตรงหน้า เป็นไปไม่ได้สัตว์ร้ายแบบนี้ทำไมถึงมาอยู่ในโลกนี้ได้?
หัวของมันมีขนาดใหญ่ ลำตัวของอสรพิษหนาจนดูไม่ออกว่ามันยาวขนาดไหนกัน แน่เส้นผ่าศูนย์กลางของอสรพิษตัวนี้ขนาดพอ ๆ กับรถยนต์
เกล็ดอสรพิษเจ็ดสีผสมกับแสงสว่างของดอกบัวสีรุ้ง พญาอสรพิษตัวนี้ก็สังเกตเห็นฉู่ชวิ๋นเช่นกัน ราวกับว่ามันกำลังพิจารณาเม็ดถั่วเขียวเล็ก ๆ นี่โผล่ออกมาจากไหน? ฉู่ชวิ๋นในสายตาของมันเล็กมากจนเหมือนกับเม็ดถั่วเขียว
ฉู่ชวิ๋นตัวแข็งทื่อ เขาคิดในใจ เกล็ดที่เขาหยิบขึ้นมาตอนนั้นมันคือเกล็ดของพญาอสรพิษเจ็ดสีนี้เอง พอเขาเห็นดอกบัวสีรุ้ง เขาเลยดีใจจนลืมตัว จนลืมไปว่าพญาอสรพิษเจ็ดสีเป็นเหมือนคู่ชีวิตของดอกบัวสีรุ้ง
แต่….แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็ไม่เคยคิดว่าสัตว์ประหลาดแบบนี้จะมีอยู่บนโลกนี้ด้วย