บทที่ 36 ความวุ่นวายในงานเลี้ยง
“พวกนั้นใคร? มาจากตระกูลไหนกันนะ ดูไม่คุ้นเลย”
“ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางดูเหมือนจะเป็นถางโร้ว เป็นดาราหน้าใหม่ที่ช่วงนี้กำลังโด่งดังอยู่” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างตื่นเต้นเบา ๆ
“น่ารักไม่เบาเลย!” ชายหนุ่มอีกคนก็พูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น พวกเขาไม่เคยเห็นดาราคนไหนสะดุดตาขนาดนี้มาก่อน ถางโร้วเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ก็จริงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับฟ่านปิงปิงดารา ชั้นนำแล้ว ในสายตาพวกเขาฟ่านปิงปิงก็เป็นแค่นักแสดงงิ้วถ้าเทียบกับถางโร้ว
ถางเหวินเหยียนรู้สึกอึดอัดจนทำตัวไม่ถูก คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่เขารู้จักดีแต่คนพวกนี้ไม่รู้จักเขา!
“ผู้จัดการถาง พวกคุณก็มาเหมือนกันเหรอ?” ตอนที่ถางเหวินเหยียนกำลังรู้สึกลำบากใจ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เป็นผู้ชายที่อายุห้าสิบกว่าเดินเข้ามา ด้านข้างยังมีคุณชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าเดินตามมาด้วย
“หัวหน้าฮู่สวัสดีครับ!” ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อรีบทักทายทันที คนนี้เป็นหัวหน้าของพวกเขาโดยตรง ผู้จัดการใหญ่ของเชียนคุนกรุ๊ป ฮู่จิ้น
“ผู้จัดการถาง ผู้จัดการซ่งก็มางานเลี้ยงนี้เหมือนกันเหรอ?” ฮู่จิ้นรู้สึกแปลกใจมาก งานเลี้ยงในครั้งนี้ไม่ใช่ว่าให้แค่ผู้จัดการระดับสูงเข้ามาเหรอ สองคนนี้ทำไมถึงเข้ามาได้ละ แต่จะถามแบบนี้ก็ออกจะเสียมารยาทมากไปหน่อย สีหน้าถางเหวินเหยียนเปลี่ยนไป ความหมายที่ฮู่จิ้นพูดเขาเข้าใจดีอีกฝ่ายสงสัยที่พวกเขาปะปนเข้ามาในงานได้ยังไง
ซ่งซื๋อก็รู้สึกไม่ชอบใจ “หัวหน้าฮู่ ประธานเจิ้งเชิญพวกเรามา” ฮู่จิ้นตกใจ ในใจก็รู้สึกประหลาดใจ! ประธานเจิ้งก็คือเจิ้งก่วงอี้ ที่เป็นคนจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้ ทำไมเขาถึงเชิญถางเหวินเหยียนและภรรยามาล่ะ? หรือว่าอยากอบรมผลักดันพวกเขา สองคนนี้ รองหัวหน้าหลี่ก็ออกจากบริษัทไปแล้ว มีผู้จัดการหลายคนมากที่อยากได้ตำแหน่งนี้และชิงดีชิงเด่นกันในบริษัท หรือว่ารองหัวหน้าคนต่อไปจะเป็นถางเหวินเหยียน? ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้จริง ๆ งั้นถางเหวินเหยียนก็มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงจริง ๆ
ดูเหมือนว่าตัวเองจะดูถูกถางเหวินเหยียนคนนี้เกินไปหน่อย หลังจากนี้คงต้องสนิทกับเขาเอาไว้บ้างแล้ว ฮู่จิ้นเก็บความรู้สึกนึกคิดของตัวเองและเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา เขาชี้ไป ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้าง “นี่คือลูกชายของผมชื่อ ฮู่เหวิน พึ่งกลับมาจากต่างประเทศ”
พูดจบเขาก็หันไปพูดกับฮู่เหวินที่เป็นลูกชาย “ท่านนี้คือผู้จัดการถางของบริษัทเรา ความสามารถในการทำงานก็เก่งกาจมาก หลังจากนี้ลูกต้องเรียนรู้จากเขานะ”
ฮู่เหวินมองไปยังถางเหวินเหยียนอย่างเคารพ “ลุงถาง สวัสดีครับ! หลังจากนี้ผมอาจจะได้ทำงานกับคุณ เรื่องการทำงานผมต้องขอรบกวนให้คุณลุงถางชี้แนะแล้ว”
“คุณชายฮู่ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถ้าดูจากความสามารถแล้วใครจะสู้หัวหน้าฮู่ได้ ความสามารถของผมนี่ ไม่กล้าชี้แนะสั่งสอนใครหรอกครับ” ถางเหวินเหยียนไม่ว่ายังไงเขาก็เป็นแค่ผู้จัดการ ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น
ฮู่จิ้นชอบคนประจบสอพลอ พอได้ยินถางเหวินเหยียนพูดแบบนี้ สีหน้าก็ปิดบังความรู้สึกชอบใจไม่ได้
“หัวหน้าฮู่ คนนี้คือลูกสาวของผมเองชื่อถางโร้ว” เมื่อพูดถึงถางโร้ว ถางเหวินเหยียนก็ดูภูมิใจมาก
ฮู่จิ้นยิ้มและมองไปที่ถางโร้ว “ชื่อเสียงของคุณถางโร้ว ผมได้ยินมานานแล้ว ผู้จัดการถางมีลูกสาวที่เก่งมากจริง ๆ!”
“สวัสดีค่ะ คุณลุงฮู่!” ถางโร้วทักทายอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
ฮู่จิ้นอมยิ้มพยักหน้าและมองไปที่ลูกชายที่อยู่ด้านข้างตัวเอง หลังจากนั้นก็มองไปที่ถางเหวินเหยียนอีกครั้งและพูดขึ้นมาว่า “ผู้จัดการถาง ผู้จัดการซ่ง ตรงนั้นมีลูกค้าที่ทำงานร่วมกับบริษัทเรามายาวนาน ฉันจะแนะนำให้พวกคุณรู้จัก เด็กทั้งสองคนนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาเดินเที่ยวเล่นกันเองเถอะ ไปคุยกับพวกเขากับฉันเถอะ” คำพูดนี้ทำให้ใครก็ยากจะปฏิเสธ ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อก็เช่นกัน
“คุณลุงถาง คุณป้าซ่ง พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะดูแลน้องถางโร้วเป็นอย่างดี” ฮู่เหวินฉวยโอกาสพูดขึ้นมา ซ่งซื๋อรู้สึกเป็นห่วงถางโร้ว แต่ก็รู้สึกลำบากใจ
“คุณพ่อ คุณแม่ ไปเถอะ หนูดูแลตัวเองได้” ถางโร้วพูดเสียงเบา
“น้องถางโร้ว พวกเราไปหาอะไรกินตรงนั้นกันเถอะ!” ฮู่เหวินพูดเชิญชวน ถางโร้วขมวดคิ้ว เธอรู้สึกไม่สบายใจที่ฮู่เหวินเรียกเธอแบบนั้นแต่เพื่อเกียรติของพ่อแม่ เธอเลยพยักหน้าตอบ
“น้องถางโร้ว น้องอาจจะยังไม่รู้ พี่เป็นแฟนเพลงของน้อง” ฮู่เหวินหยิบแก้วไวน์แดงที่พนักงานถือมาสองแก้วและยื่นให้ถางโร้วหนึ่งแก้ว
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่ดื่มเหล้า” ถางโร้วปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ไม่เป็นไร ผู้หญิงดื่มไวน์แดงนิดหน่อยจะทำให้ผิวพรรณดี ตอนที่พี่อยู่ต่างประเทศพี่เคยเข้าร่วมวิธีการบ่มไวน์….” ฮู่เหวินพูดจาน่ารำคาญและจู้จี้จุกจิก เขาคุยโวโอ้อวดเรื่องของตัวเองเยอะมาก ถางโร้วได้แต่ยิ้มเบา ๆ เธอไม่ได้สนใจพวกเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ฮู่เหวินกลับไม่ใส่ใจและคุยโวโอ้อวดต่อ
“น้องถางโร้ว ไม่รู้ว่าน้องมีแฟนหรือยัง?” ทันใดนั้นฮู่เหวินก็ถามขึ้นมา ถางโร้วมองไปที่เขาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา ความหมายมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว เธอไม่อยากคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ฮู่เหวินกลับไม่ได้สังเกตเห็นและถามต่อว่า “พี่กลับมาจากต่างประเทศ ความคิดพี่รับวัฒนธรรมมาจากฝั่งตะวันตก พี่ชอบพูดและทำอะไรตรง ๆ ไปเลยไม่ปิดบัง พี่ชอบน้องมาก ครั้งแรกที่พี่ได้เห็นน้องก็รู้สึกว่าน้องคือผู้หญิงที่พี่ตามหามาตลอด”
ถางโร้วตกใจ เธอคิดไม่ถึงว่าฮู่เหวินจู่ ๆ จะสารภาพรักกับเธอ แถมตั้งแต่เจอกันครั้งแรกอีก เธอรีบคิดบอกปัดอีกฝ่ายทันที ถ้าหากว่าคนตรงหน้าคือพี่ฉู่ชวิ๋นก็คงจะดี พอคิดถึงฉู่ชวิ๋นทันใดนั้นถางโร้ว ก็เงียบลงไปเธอพูดเบา ๆ ว่า “คุณชายฮู่อย่าพูดล้อเล่นเลย คุณก็รู้ว่าพวกเราเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เรื่องความรักไม่ควรเอ่ยออกมา”
“แน่นอนพี่รู้เรื่องนี้ดี อาชีพดาราของน้องกฎเยอะมาก แต่พวกเราก็แอบไปมาหาสู่กันได้ แบบนี้ก็ไม่กระทบกับอาชีพของน้องแล้ว เป็นยังไง? นอกจากนี้พี่ยังให้เงินน้องเดือนละ หนึ่งล้านเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ด้วยนะ….” ถางโร้วโกรธมากจนทำให้ฮู่เหวินที่พูดเป็นต่อยหอยหยุดชะงัก
“หุบปาก คุณคิดว่าฉันเป็นตัวอะไร? ถึงตอนนี้ฉันจะยังไม่มีคนรัก แต่ถ้าจะคบกับใครสักคนก็ไม่มีทางคบกับคนที่น่าสะอิดสะเอียนแบบคุณแน่นอน คุณใช้เงินไปเอาอกเอาใจผู้หญิงคนอื่นเถอะ” ฮู่เหวินพอได้ยินแบบนี้ก็โมโหเหมือนกัน
“แม่งเอ๊ย เธอเสแสร้งอะไรอยู่? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ พวกเธอดาราเพื่อที่จะมีชื่อเสียง ไม่รู้ว่านอนกับใครมาแล้วกี่คน อย่ามาเสแสร้งทำตัวบริสุทธิ์กับฉันหน่อยเลย เงินเดือน หนึ่งล้านหยวนทุกเดือนก็เพียงพอที่ฉันจะเลี้ยงดูนักเรียน นักศึกษาสาว ๆ ได้เป็นสิบ ๆ คนแล้ว” ถางโร้วโกรธจนเบ้าตาเริ่มแดง น้ำตาคลอเลยรีบหันหลังเดินหนีออกมา
ฮู่เหวินรีบไปขวางทางเธอไม่ให้ไปและยิ้มอย่างน่ากลัว “ฉันจะบอกเธอนะ เชียนคุนกรุ๊ปช่วงนี้ตำแหน่งรองหัวหน้ายังว่างอยู่และพ่อของฉันเป็นหัวหน้า มีอำนาจในการตัดสินใจ ถ้าหากว่าเธอยอมเป็นของเล่นของฉันสักเดือน รับรองว่าฉันจะให้พ่อของเธออยู่ในตำแหน่งรองหัวหน้า เป็นยังไง?”
“คุณมัน……ไร้ยางอาย…” ถางโร้วรู้สึกเจ็บปวดที่ตัวเองไร้ประโยชน์แม้แต่คำพูดที่ด่าคนตรงหน้าก็เหมือนเหือดแห้ง
“ชายหญิงรักกันจะไร้ยางอายได้ยังไงกันล่ะ? จะว่าไป ลีลาบนเตียงของฉันก็ไม่เลวรับรองว่าจะทำให้เธอได้ขึ้นสวรรค์…..”
“ซ่า!”
ถางโร้วโกรธฮู่เหวินจนตัวสั่นและใช้มือที่ถือแก้วไวน์แดงสาดใส่เขา ฮู่เหวินหลบไม่ทันก็ถูกสาดเข้าไปเต็ม ๆ จนเขาต้องอับอายต่อหน้าผู้คนมากมาย
“พวกเธอคิดว่าผู้ชายคนนั้นจะจัดการดาราเด็กนั่นได้หรือเปล่า?
“ยังต้องพูดอีกเหรอ? ผู้หญิงสมัยนี้นิยมคลั่งไคล้พวกคนมีเงินจะตาย ดาราก็ไม่เป็นข้อยกเว้นเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นฉันกล้าพูดได้เลยว่าเมื่อผ่านไปครึ่งชั่วโมงพวกเขาทั้งสองคนจะต้องไปเปิดห้องแน่ ๆ”
“ผู้หญิงคนนี้ดูดีมาก ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เลวเลย!”
กลุ่มกลุ่มหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างไม่แยแสและมองไปที่ถางโร้ว พวกเขาคุยหยอกล้อกันโดนไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ต่อมาก็มีฉากที่ทำให้ทุกคนตกใจ คาดไม่ถึงว่าถางโร้วจะหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นมาและสาดใส่ร่างกายฮู่เหวิน
ฮู่เหวินลูบไวน์แดงที่อยู่บนหน้า เขารู้สึกโกรธจนไม่ทันได้คิดอะไรก็ยกมือขึ้นมาและตบลงไปบนหน้าถางโร้ว
“เพียะ!”
เสียงตบหน้าดังขึ้นมา ร่างกายถางโร้วเปราะบาง ใบหน้าของเธอที่รับฝ่ามือที่โกรธจัดของฮู่เหวินถูกตบจนล้มลงไปอยู่บนพื้น ใบหน้าที่งดงามเต็มไปด้วยรอยนิ้วมือทั้งห้าที่อยู่บนใบหน้า
“โร้วโร้ว….”
ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อกำลังพูดคุยกับคนอื่นอยู่ พอเห็นลูกสาวตัวเองโดนตบก็รีบวิ่งเข้ามา
ฮู่จิ้นเห็นแล้วก็ขมวดคิ้วและเดินเข้าด้วย
“เกิดอะไรขึ้นลูก?” เขาลูกชายตัวเปียกโชก ฮู่จิ้นก็ตำหนิติเตียนเสียงดัง
“พ่อ โสเภณีนี้มันสาดไวท์ใส่ผม” ฮู่เหวินตะโกนเสียงดังและชี้ไปยังถางโร้ว
“หุบปากและพูดให้ดี ๆ หน่อย!” ซ่งซื๋อจ้องมองไปยังฮู่เหวิน ถ้าไม่ใช่เพราะว่าถางเหวินเหยียนดึงเธอไว้ เธอคงโผเข้าไปตบฮู่เหวินแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” ฮู่จิ้นถามฮู่เหวิน
“พ่อ พ่ออย่าดูความน่ารักที่เป็นเปลือกนอกของเธอ จริง ๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ เธอให้ผมช่วยเธอแนะนำคนใหญ่คนโตที่นี่ เธอยอมทำทุกอย่างและยังพูดอีกว่าให้มีอะไรกับเธอฟรีได้ ถ้าผมทำตามที่เธอต้องการ” ฮู่เหวินชี้ไปที่ถางโร้วและพูดเสียงดัง
“พูดเหลวไหล ฉันไม่ได้พูดแบบนั้น” สีหน้าถางโร้วแดงขึ้นมาเธอจ้องมองฮู่เหวินอย่างโมโหและน้ำตาไหลไม่หยุด
“เธอรู้ดีอยู่แก่ใจ ทำไมฉันต้องพูดเหลวไหลด้วย? ที่ฉันพูดล้วนเป็นเรื่องจริง เพราะฉันไม่ตกลงกับเธอแถมยังจะบอกพ่อแม่ของเธอด้วย เธอก็พาลโกรธฉันเอาดื้อ ๆ” คำพูดที่ฮู่เหวินพูดก็มลายหายไปเขาแอบปิดบังความผิดและแอบเผยสายตาที่ชั่วร้ายออกมา
“เป็นแบบนี้นี่เอง…….”
“มิน่าล่ะดาราเด็กแบบนี้ถึงสามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงได้ คงใช้ร่างกายเข้าแลกโอกาสเข้างานมาสินะ”
“ผู้หญิงแบบนี้ ไม่รักนวลสงวนตัวเลยเพื่อที่จะมีชื่อเสียงก็ล้วนทำได้หมด” แขกที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ก็แอบพูดกระซิบกระซาบ ใบหน้าของถางโร้วซีดเผือด เธอจับแขนของซ่งซื๋อเพื่อขอความช่วยเหลือ
“คุณพ่อ คุณแม่ เขาพูดเหลวไหล หนูไม่ได้……”
“ไม่เป็นไร ๆ แม่เชื่อลูก” ซ่งซื๋อรู้สึกเจ็บปวดและรีบกอดถางโร้วให้อยู่ในอ้อมอก
“ผมก็เชื่อลูกสาวของผม ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ไม่เชื่อลูก ลูกสาวของผม ผมเชื่อใจเธอ เธอไม่ใช่คนแบบที่ฮู่เหวินพูดแน่นอน” ถางเหวินเหยียนหน้าเขียวเหมือนยักษ์และกัดฟันพูดออกมาเขาโกรธมากที่มีคนว่าร้ายลูกเขาแบบนี้
“ผู้จัดการถาง คุณก็อย่าโกรธไปเลย เด็กในตอนนี้ล้วนมีความคิดเป็นของตัวเอง เรื่องที่พวกเขาทำแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่พูดกับพ่อแม่หรอก” ฮู่จิ้นพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“หัวหน้าฮู่ ที่คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?” ถางเหวินเหยียนกำหมัดแน่น
“ความหมายของฉันก็คือ ผู้จัดการถางกำลังสั่งสอนลูกสาวไม่ดีพอ!” ฮู่จิ้นพูดต่อว่าแบบไม่เกรงใจ
“ไอ้บัดซบ แกกล้าดียังไง…….” ถางเหวินเหยียนรู้สึกโกรธจนตัวสั่นในใจอยากจะชกหน้าฮู่จิ้นให้รู้แล้วรู้รอด
“ผู้จัดการถาง ที่นี่คือภัตตาคารป่าไผ่สีม่วง คุณอยากตายหรือไง?” ฮู่จิ้นยิ้มเยาะและพูดขึ้นมา ถางเหวินเหยียนลดหมัดลง แม้ว่านี้จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงแต่กฎของที่นี่ไม่มีใครที่จะไม่รู้ ไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายในภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงแห่งนี้ เมื่อก่อนเคยมีแต่จุดจบของคนคนนั้นก็น่าเวทนานัก
“ผู้จัดการถาง ฉันว่าคุณควรรีบไปสั่งสอนลูกสาวของคุณเถอะ ไม่ว่ายังไงเธอก็ยังสาว ถึงเธอจะไม่สนใจตัวเองแต่ยังไงก็ต้องคำนึกถึงเกียรติของพ่อแม่ด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“หุบปากเน่า ๆ ของแกซะ” ถางเหวินเหยียนแผดเสียงอย่างโมโห
“ได้ ได้ ได้……ฉันจะเงียบปากก็ได้ แต่ว่าฉันยังต้องพูดอีกประโยคหนึ่ง เพื่อชื่อเสียงเชียนคุนกรุ๊ปของพวกเรา ฉันที่เป็นหัวหน้าใหญ่มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง ฉันรู้สึกว่าพวกคุณสองสามีภรรยาไม่เหมาะสมที่จะอยู่ในบริษัทอีกต่อไปแล้ว” ถางเหวินเหยียนและซ่งซื๋อหน้าถอดสี
“พวกคุณสองคนพ่อลูกทำเกินไปแล้วจริง ๆ สักวันกรรมจะตามสนอง คุณอยากไล่ให้พวกเราออกจากบริษัทงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ ฉันจะไปหาประธานเจิ้งเพื่อรายงานเรื่องนี้”
“ไปหาประธานเจิ้ง?” ฮู่จิ้นส่งเสียงเหอะอย่างเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยาม “พวกคุณคิดว่าประธานเจิ้งจะเชื่อใครมากกว่ากันระหว่างฉันกับพวกคุณสองคน?”